ตอนที่ 783-784

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.783 – ปัญหาใหญ่ของซือหยู
  “หลี่เอ๋อเจ้ารู้เรื่องพวกเขาบ้างหรือไม่? เจ้ารู้ไหมว่าใครจู่โจมพวกเขา?”
  น้ำเสียงของเจ้าตระกูลเฉาน่ากลัวขึ้นมา
  เฉาหลี่สั่นไปทั้งตัวนางส่ายหน้ามองรอบๆ ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นซือหยู นางถามด้วยความตกใจ
  “ชายแก่คนนั้นเป็นใคร?ทำไมข้าไม่เคยเห็นล่ะ?”
  “เขาคือซือหยูเซี่ยนแต่ไม่ต้องสนใจเขาหรอก ข้าถามเจ้า…เรื่องนี้มันฝีมือใคร?”
  “อะไรนะ?เขาคือชายสวมหมวกไผ่คนนั้นเรอะ? เป็นไปไม่ได้!”
  เฉาหลี่เบิกตากว้าง
  “เขาอยู่ในหุบเขาร้อยอสูรตอนที่ฝูงสัตว์อสูรแห่ออกมาต่อให้เขาแข็งแกร่งกว่าที่เห็น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรอด!”
  เฉาเอวี่ยหมิงเลิกคิ้วจ้องมองซือหยู
  “เจ้าจะบอกว่าอาจจะเป็นเขารึ?”
  “ข้าไม่แน่ใจนักแต่มันยังมีความเป็นไปได้ เพราะเขาอาจจะอยากแก้แค้นตระกูลเฉา เขาเป็นคนเดียวที่จะทำให้เฉาหลิงเจี้ยนกับคนอื่นๆกลับมาไม่ได้!”
  เฉาหลี่พูดอย่างเยือกเย็นนางพบว่าซือหยูค่อนข้างน่าสงสัย
  เฉาเอวี่ยหมิงแววตาดุร้ายเขาก้าวไปข้างหน้าและกระโดดไปที่เสาศิลาของตระกูลซือถู เขาสาวเท้ายาวๆไปยังซือหยู
  “เด็กตระกูลเฉาอยู่ไหน?”
  เขายืนเบื้องหน้าซือหยูเขาพยายามอย่างมากที่จะปล่อยรังสีพลังออกมากดดันอีกฝ่าย นายหญิงซือถูตกใจมาก นางใช้พลังจ้าวเทวะดับพลังของเฉาเอวี่ยหมิง
  นางขมวดคิ้วและด่าทอ
  “เฉาเอวี่ยหมิงเจ้าจะรังแกพวกเราเกินไปแล้ว!”
  เขามาที่เสาศิลาของตระกูลซือถูโดยตรงและเริ่มสืบสวนคนของนางโดยไม่ไว้หน้าตระกูลซือถูเลย!
  “นายหญิงซือถูเด็กตระกูลเฉาของข้าหายตัวไปหมด ถ้าเจ้าอยากจะขัดขวางไม่ได้ข้ารู้ความจริง ข้าก็จะสู้กับเจ้า!”
  เฉาเอวี่ยหมิงตาแดงก่ำเขาไม่ต่างกับสัตว์ป่ากระหายเลือด นายหญิงซือถูมองเขาตอนนี้และตัวสั่น นางกัดฟันแน่น
  ซือหยูเพียงยักไหล่เมื่อนางพยายามจะขวางเฉาเอวี่ยหมิงเขาทำใบหน้างุนงง
  “เจ้าตระกูลเฉาเป็นอะไรของท่าน! เด็กตระกูลเฉามีแต่ยอดฝีมือไร้เทียมทาน ทำไมถึงมาถามข้าว่าทำไมพวกเขาถึงกลับมาไม่ได้เล่า?”
  เฉาเอวี่ยหมิงตอบด้วยเสียงลึกล้ำ
  “เจ้าหนูข้าจะไม่พูดไร้สาระกับเจ้าอีกแล้ว ข้าเพียงจะถามเจ้า…พวกเขาอยู่ไหน?”
  ซือหยูมองเขาอย่างใจเย็น
  “ข้าไม่รู้”
  เฉาเอวี่ยหมิงปล่อยจิตสังหารมองคนตระกูลซือถูเขาถามพวกเขาอย่างเยือกเย็น
  “พวกเจ้าเห็นเด็กตระกูลเฉาบ้างไหม?”
  เหล่าหนุ่มสาวตระกูลซือถูใบหน้าสับสนพวกเขาถูกตระกูลเฉาไล่ล่า ถ้าหากไม่มีซือถูจิว พวกเขาก็คงจะหนีไม่รอด พวกเขายังต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรมาตลอดทางเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ของตระกูลเฉาเลย!
  มีแค่ซือถูจิวที่หลบตาแม้ว่าเขาจะหมดสติ เขาก็รู้อยู่ลางๆว่าชายสวมหมวกไผ่ซือหยูเซี่ยนนั้นปรากฏตัวมาช่วยเขา
  หรือพูดอีกอย่างก็คือชายสวมหมวกไผ่คือคนสุดท้ายที่ได้เจอกับตระกูลเฉา ซือถูจิวหยุดคิดไม่ได้…หรือว่าเขาจะ…
  จ้าวเทวะมีสายตาชั้นยอดการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของซือถูจิวมิอาจรอดพ้นสายตาเขาได้
  ฟึ่บ!
  เฉาเอวี่ยหมิงพุ่งไปยืนหน้าซือถูจิวในทันทีเขาจับไหล่ซือถูจิวเอาไว้และตะโกนลั่น
  “เจ้ารู้อะไร?พูดมา!”
  ซือถูจิวตกตะลึงเขากำลังถูกพลังของจ้าวเทวะกดดัน เขาเข่าอ่อนจนเกือบล้มลงไปกับพื้น เขาคุกเข่าตอบ
  “ขะ…ข้าไม่รู้อะไรเลยพี่น้องข้าถูกตระกูลเฉาของท่านไล่ล่า ข้าบาดเจ็บหนักเพราะเฉาหลิงเจี้ยนจนหมดสติ พอตื่นมาข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว!”
  เมื่อทุกตระกูลได้ยินพวกเขาอ้าปากค้าง…
  เฉาเอวี่ยหมิงกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง?
  อะไรกัน?
  พวกเขาตามฆ่าตระกูลซือถูงั้นรึ?
  ตำหนักโลหิตสั่งห้ามเรื่องนี้เอาไว้ตระกูลเฉาอาจจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว
  “เหลวไหล!เจ้าใส่ร้ายตระกูลเฉา! เจ้าอยากตายเรอะ?”
  เฉาเอวี่ยหมิงมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยวและตะโกนเสียงดังนั่นทำให้ซือถูจิวกลัวจนสั่นไปทั้งตัว
  ซือถูหยางเองก็กลัวแต่นางก็กัดปากตอบ
  “ไร้สาระ!แค่พูดจะพิสูจน์ได้รึ? เด็กตระกูลซือถูเป็นสิบคนตาบอดจนไม่รู้ว่าถูกใครตามล่าเลยหรือยังไง?”
  เฉาเอวี่ยหมิงหันไปมองขู่นางส่วนด้านตระกูลชางก่วน หลังจากที่เจ้าตระกูลชี้แนะ ชางก่วนเฟยได้รวบรวมความกล้าพูดขึ้นบ้าง
  “ตระกูลชางก่วนของเรายืนยันความจริงได้ตะรกูลเฉาก็ไล่สังหารพวกเราเหมือนกัน พวกเขายังลอบฆ่าภูติระดับห้าของเราไป! จากนั้นเราก็เห็นพวกเขาไล่สังหารตระกูลซือถู!”
  เมื่อชางก่วนเฟยประกาศก้องเฉาเอวี่ยหมิงจึงพูดอะไรไม่ได้อีก
  เจ้าตำหนักคงฉานลืมตาช้าๆความเยือกเย็นฉาบดวงตานาง แต่นางก็ยังดูอ่อนโยนสง่างาม
  “ผู้คุมกฎจะสืบสวนเรื่องนี้ถ้ารู้ว่าตระกูลเฉาฝ่าฝืนกฎ พวกเขาจะต้องลูกลงโทษแน่นอน”
  นางพูดต่อ
  “ส่วนตอนนี้เจ้าตระกูลเฉาโปรดกลับเสาศิลาของตัวเอง ไม่นานผู้คุมกฎจะไปป่าขังภูติเพื่อตามหาคนตระกูลเจ้า เราค่อยมาหารือกันตอนนั้น”
  ปัญหาภายในมักจะเกิดขึ้นในตำหนักโลหิตอยู่แล้วดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากจะใช้กำลังคนเพื่อเรื่องเล็กน้อย และถ้าหากไม่มีคนตระกูลเฉากลับมาก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาตาย ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีแค่รอ ทิ้งให้เรื่องยืดเยื้อต่อไป
  แต่เฉาเอวี่ยหมิงไม่ยินดีจะยอมรับเขาจ้องมองซือหยูราวกับสัตว์ป่า เขารู้ว่าการหายตัวไปของเฉาหลิงเจี้ยนและคนอื่นๆเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน
  แต่เขามิอาจจัดการซือหยูได้ในตอนี้เขากลับไปที่เสาศิลาของตระกูลตัวเองอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้ในใจเขาก็ยังมีหวัง
  “หลี่เอ๋อเจ้าเข้าทดสอบต่อไปให้ผ่าน ข้าจะไปตามหาพวกเขาในป่า ถ้าหลิงเจี้ยนเป็นอะไร ไอ้เด็กนั่นต้องตาย!”
  เพราะเฉาหลิงเจี้ยนคือผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเฉาเป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องอยู่รอดปลอดภัย!
  เหล่าผู้เฒ่าเริ่มตรวจสอบเด็กบนเสาศิลาผู้เฒ่าหลี่ยิ้มมองหนุ่มสาวอย่างภูมิใจเมื่อตรวจซากศพสัตว์อสูรที่พวกเขาเก็บมา
  เมื่อถึงคราวซือถูหยางผู้เฒ่าหลี่ได้พูดอย่างใจดี
  “เจ้าเป็นภูติระดับหนึ่งเจ้าจะต้องสังหารสัตว์อสูรระดับเดียวกันสี่สิบตัว เจ้าได้มาพอหรือไม่? เอามาให้ข้าดูเร็ว”
  ซือถูหยางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และประกาศ
  “ข้าฆ่าแค่ตัวเดียวเอง”
  ผู้เฒ่าหลี่หน้าชาเขาหันไปมองนายหญิงซือถูด้วยความรู้สึกผิด เขาช่วยตระกูลซือถูไม่ได้เลยเพราะมีเจ้าตำหนักคงฉานคอยมองอยู่!
  ฟึ่บ!
  แต่เมื่อซือถูหยางเอาซากสัตว์อสูรภูติระดับสองออกมาผู้เฒ่าหลี่ก็เบิกตากว้างเล้กน้อย เขารีบคว้าตัวมันขึ้นมาตรวจสอบด้วยสร้อย
  ในตอนนั้นเองเศษแสงนับไม่ถ้วนได้ปรากฏบนซากสัตว์อสูร แสงนั้นแสดงถึงบาดแผลจากการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน
  “เสี้ยวแสงมีสีเดียวกันหมดพลังชีวิตมีโครงสร้างของซือถูหยาง มันถูกซือถูหยางฆ่าแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครช่วยนาง!”
  ผู้เฒ่าหลี่ประกาศข่าวน่าตกใจแก่ทุกคน
  ถ้าหากมีคนช่วยแม้จะเพียงเล็กน้อย เขาก็จะทิ้งร่องรอยพลังชีวิตเอาไว้บนตัวสัตว์อสูร แต่ร่องรอยทั้งหมดมีสีเดียวกัน นั่นหมายความว่าไม่มีใครช่วยนางเลย มันตรวจสอบได้ง่ายๆ
  ผู้คนล้วนตกใจเมื่อพบว่าซือถูหยางผ่านการสอบแต่ที่ตกใจกว่าก็คือเรื่องที่นางสังหารสัตว์อสูรที่มีพลังมากกว่าตัวเองทั้งระดับ!
  เจ้าตระกูลชางก่วนมองซือถูหยาง
  “ข่าวลือว่าลูกหลานหลักของตระกูลซือถูเชี่ยวชาญค่ายกลเป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อตกใจกับคำถาม
  “ค่ายกลหรือ?มันคือพรสวรรค์ที่ตำหนักโลหิตต้องการ หากเป็นจริง ยอดฝีมือสุดยอดก็เกิดขึ้นในตระกูลซือถูแล้ว!”
  คำตอบนั้นเขียนอยู่บนใบหน้านายหญิงซือถูนางมองบุตรสาวอย่างลึกล้ำ ผู้เฒ่าหลี่ก็ยิ้มแย้มตรวจดูผลสอบของเด็กตระกูลซือถูต่อไป
  ทั้งหมดนั้นมีสิบแปดคนมีสิบสองคนที่ผ่านการสอบ จำนวนนี้มากกว่าจำนวนการสอบหลายปีที่ผ่านมา
  นั่นก็เพราะฝูงสัตว์อสูรที่ทำให้มีสัตว์อสูรระดับต่ำจำนวนมากร่อนเร่ไปทั่วการสังหารจึงง่ายดายขึ้น มิเช่นนั้นคนที่ผ่านการสอบคงจะน้อยกว่านี้ อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง
  แต่ตัวตนของซือหยูยังคงทำให้หลายตระกูลหวาดกลัวพวกเขาไม่กล้าจะใช้อุบายสกปรกกับตระกูลซือถู นี่คือเหตุผลสำคัญที่ตระกูลซือถูสอบผ่านหลายคน
  สุดท้ายก็ถึงคราวซือหยูกับคนของเขาอีกสองคนจื่อเสวียนโยนกวางสายฟ้าม่วงภูติระดับสองไปอย่างเรียบเฉย ผู้เฒ่าหลี่ตรวจดูและงุนงง เขาไม่เห็นบาดแผลของมันเลย มันตายด้วยวิธีที่แปลกประหลาดมาก แต่พลังชีวิตที่หลงเหลือก็เป็นของจื่อเสวียน นางจึงผ่าน
  หวนหยิงหยิงก็ผ่านเช่นกันผู้เหล่าหลี่ตรวจดูสัตว์อสูรของนางและเบิกตากว้างเล็กน้อย เขาถามยืนยัน
  “โจมตีวิญญาณรึ?”
  เขาหายใจเข้าลึกและมองหยวนหยิงหยิงเขายิ้มอย่างใจดี ผู้เฒ่าหลี่หันไปมองซือหยู
  “เอาสัตว์อสูรของเจ้าออกมา”
  ซือหยูมองรอบๆ
  “ที่ไม่พอหรอกผู้เฒ่าหลี่ดูแหวนมิติของข้าก็แล้วกัน”
  ทุกคนตกใจเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาพวกเขาสงสัย…ที่ไม่พองั้นเรอะ? เขาฆ่าสัตว์อสูรไปกี่ตัวกัน?
  ผู้เฒ่าหลี่ตกตะลึงเมื่อเขารับแหวนมิติไปมองดูก็เบิกตากว้าง มีสัตว์อสูรมากมายอยู่ในแหวนจริงๆ มันมีแค่สามสิบตัว แต่ว่าแต่ละตัวนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์!
  และที่อ่อนแอที่สุดยังเป็นภูติระดับสามมีเสือดาวเพลิงเก้าตัวที่ซือหยูสังหารอย่างง่ายดาย! ส่วนสัตว์อสูรระดับสี่นั้นมีถึงสิบห้าตัว!
  ผู้เฒ่าหลี่ตกตะลึงเมื่อเห็นสัตว์อสูรระดับห้าสี่ตัวถ้าเขารู้ว่าซือหยูล่าพวกมันแค่วันเดียวเพราะมีเหตุผลหลายประการ เขาก็คงจะตกใจยิ่งกว่า!
  ผู้เฒ่าหลี่สูดหายใจเข้าลึกเขามักจะไม่เห็นการสังหารสัตว์อสูรระดับสูงจำนวนมากมายขนาดนี้!
  พวกเราเจอเด็กมีพรสวรรค์ตัวจริง!ผู้เฒ่าหลี่คิด เขาพยายามจะเก็บความตื่นเต้นในใจเอาไว้
  เมื่อผู้เฒ่าหลบี่เริ่มนับคะแนนของซือหยูเขาก็พบซากศพสีแดงในบรรดาสัตว์อสูร มันคือหมาไม้แดง!
  “หมาไม้แดงเรอะ?”
  ผู้เฒ่าหลี่ตกตะลึงเขาคิดย้อนกลับไป
  “หมาไม้ปรากฏตัวในส่วนลึกของป่าขังภูติเท่านั้น!แล้วยิ่งกว่านั้น…”
  ผู้เฒ่าหลี่หยุดพูดไปกลางประโยคราวกับเขาคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
  “นี่มันหมาไม้แดงเนตรปีศาจไม่ใช่เรอะ?”
  เขาตกใจเมื่อจ้องมองซากศพหมาไม้แดงเนตรปีศาจเขาตกใจโดยไร้เหตุผล
  ผู้เฒ่าหลี่รีบละสายตาจากหมาไม้มองซือหยูเขาพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
  “สอบรอบสองเสร็จเมื่อไรเจ้าจะต้องรออยู่คนเดียว เจ้าตำหนักคงฉานจะมีเรื่องหารือกับเจ้า”
  ซือหยูตกใจกับคำพูดแปลกๆเขาถาม
  “ข้าทำอะไรผิดรึ?”
  ผู้เฒ่าหลี่ลังเลก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
  “ใช่…แล้วทำผิดร้ายแรงเข้าแล้วเจ้าไม่ควรจะฆ่าหมาไม้แดงเนตรปีศาจ มันมีสถานะพิเศษ ปัญหาใหญ่มาถึงตัวเจ้าตั้งแต่ฆ่ามันแล้ว”
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเมื่อได้ยินข่าวร้าย
DND.784 – มัจฉาข้ามประตูมังกร
  ซือหยูตั้งใจจะไว้ชีวิตมันแต่มันรนหาที่ตายเอง จะโทษเขาไม่ได้ที่ไร้เมตตา
  “ย่อมได้”
  ซือหยูพยักหน้า
  หลังจากตรวจผลของทุกคนเสร็จเหล่าผู้เฒ่าเริ่มนับคะแนนของแต่ละคน พวกเขายื่นคะแนนให้กับเจ้าตำหนักคงฉาน ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็รวบรวมผลจนหมด
  เจ้าตำหนักคงฉานยิ้มจางๆเมื่อเห็นผลคะแนน
  “ข้าไม่คิดเลยนอกจากฝูงสัตว์อสูรจะไม่ได้สร้างความสูญเสียมากแล้ว คนที่ผ่านก็ยังมีเยอะกว่าปีก่อนๆมากทีเดียว!”
  หลังจากที่นับนางพบว่ามีคนผ่านราวสี่สิบคนในการทดสอบครั้งนี้ ขณะที่ปีก่อนๆจะไม่มากไปกว่ายี่สิบคน!
  “โดยเฉพาะตระกูลซือถูคนตระกูลนี้ได้คะแนนไปกว่าครึ่งของการทดสอบ”
  เจ้าตำหนักคงฉานมองตระกูลซือถูและยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
  คำพูดและสีหน้าของนางทำให้หลายคนอิจฉาการเหลือบมองทำให้เห็นว่าตระกูลซือถูเป็นที่พึงพอใจต่อนาง
  “ข้าจะประกาศลำดับคะแนนแต่ข้าจะประกาศแค่ห้าลำดับแรก…”
  เจ้าตำหนักคงฉานกล่าว
  “ชางฉีหลินลำดับห้า นางล่าสัตว์อสูรภูติระดับสามยี่สิบตัวและได้แปดร้อยคะแนน”
  นางยิ้มและกล่าวต่อไป
  “เฉินหยูลำดับสี่ เขาล่าสัตว์อสูรระดับสามยี่สิบสามตัวและได้เก้าร้อยยี่สิบคะแนน ฉางฟาน ลำดับสาม เขาล่าสัตว์อสูรระดับสี่ยี่สิบตัวและได้สองพันคะแนน”
  ฉางฟานพยักหน้าเบาๆยังพอรับได้ที่เขาได้ลำดับสาม
  “เฉาหลี่ลำดับสอง นางล่าสัตว์อสูรระดับห้ายี่สิบตัวและได้หนึ่งหมื่นคะแนน”
  เมื่อได้ฟังคะแนนทุกคนส่งเสียงแตกตื่น นั่นก็เพราะนางได้ล่าสัตว์อสูรยี่สิบตัวที่ระดับพลังเทียบเท่านาง!
  เฉาหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยนางไม่อยากจะเชื่อที่นางได้ลำดับสอง นางหันไปมองซือหยูและคิดว่าจะต้องเป็นเพราะเขา
  เจ้าตำหนักคงฉานประกาศต่อไป
  “ซือหยูลำดับหนึ่ง เขาล่าสัตว์อสูรระดับสามเก้าตัว สัตว์อสูรระดับสี่สิบห้าตัว และสัตว์อสูรระดับห้าห้าตัว รวมเป็นสามพันสิบคะแนน”
  ลำดับแปลกๆทำให้ทุกคนตกตะลึงเพราะเขาได้เพียงสามพันคะแนน แต่เขากลับมีลำดับสูงกว่าคนที่ได้หมื่นคะแนน! ทุกคนสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น! แม้แต่นายหญิงซือถูก็สับสนและตกใจ
  “พวกเจ้ามีข้อสงสัยในคะแนนหรือไม่?ถ้าไม่แล้วล่ะก็ เราจะเริ่มการทดสอบต่อไป ณ ตอนนี้”
  เจ้าตำหนักคงฉานพูดอย่างไร้อารมณ์
  เฉาหลี่กัดฟันรวบรวมความกล้า
  “ท่านเจ้าตำหนักทำไมคนที่คะแนนน้อยกว่าข้าถึงมีลำดับสูงกว่าข้าล่ะ? สำนักอื่นตั้งลำดับเอาไว้ล่วงหน้ารึ?”
  เจ้าตำหนักคงฉานส่ายหน้าเบาๆ
  “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกลำดับถูกตัดสินตามคะแนนเท่านั้น”
  “แล้ว…ทำไม…”
  เฉาหลี่ไม่อยากจะยอมรับลำดับแปลกๆเช่นนี้
  เจ้าตำหนักคงฉานพูดอย่างใจเย็นแต่หนักแน่น
  “เป็นเพราะว่าซือหยูเซี่ยนสังหารสัตว์อสูรตัวอื่นที่มิได้กล่าวถึงในการสอบเขาสังหารสัตว์อสูรภูติระดับหกไปหนึ่งตัว”
  อะไรนะ?ทุกคนรวมถึงนายหญิงซือถูตกใจเรื่องกับเรื่องนี้มาก
  ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
  สายตาทุกคู่หันไปมองซือหยูพวกเขายังคงยึดติดกับตอนที่ซือหยูเสมอให้กับเฉาหลิงเจี้ยน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประเมินอัจฉริยะผู้นี้ต่ำไป!
  แม้แต่เฉาหลี่ก็มิอาจสังหารสัตว์อสูรภูติระดับหกได้ด้วยตัวเอง!เฉาหลี่ตกใจมาก นางมองซือหยูด้วยความกลัวเป็นครั้งแรก
  เพราะเฉาเอวี่ยหมิงบอกให้นางได้ลำดับที่หนึ่งทั้งสองการทดสอบในทุกวิธีทางนางจึงยังไม่ยอมแพ้แต่โดยดี
  “เจ้าตำหนักคงฉานสัตว์อสูรภูติระดับหกไม่มีคะแนนในการทดสอบ ต่อให้เขาสังหารมัน เขาก็ไม่ได้คะแนนอยู่ดี ข้าเกรงว่าลำดับนี้จะไม่เหมาะสม”
  เฉาหลี่รวบรวมความกล้าพูดออกไป
  ผู้คนเอามือป้องปากดูเหมือนว่าตระกูลเฉาอยากจะได้ลำดับหนึ่งโดยยอมแลกกับทุกอย่าง เพราะเฉาหลี่ถึงกับกล้าตั้งคำถามต่อเจ้าตำหนักคงฉาน!
  เจ้าตำหนักคงฉานมองนางอย่างใจเย็นและไม่ได้พยายามขู่นางอย่างที่หลายคนคิดนางกลับอธิบายด้วยเหตุผลที่ดี
  “การทดสอบในป่าขังภูติมีเพื่อทดสอบพลังของผู้สอบหากเขาสังหารสัตว์อสูรภูติระดับหกได้ เขาก็ต้องได้ที่หนึ่งเป็นแน่นอนอยู่แล้ว”
  นางพูดต่อ
  “ถ้าเจ้ามีพลังระดับนั้นเราก็จะให้เจ้าเป็นที่หนึ่ง เจ้ายังมีข้อสงสัยอีกหรือไม่?”
  เฉาหลี่ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความละอายนางเงยหน้าจ้องมองซือหยูอย่างดุร้าย แต่ก็ไม่พูดอะไร
  “ถ้าเจ้าไม่มีปัญหาก็เริ่มการทดสอบต่อไปได้มันเรียกว่า ‘มัจฉาข้ามประตูมังกร’ ผู้เฒ่าหลี่โปรดประกาศกฎการสอบ”
  นางพูดส่งให้ผู้เฒ่าหลี่
  ผู้เฒ่าหลี่ตะโกนเสียงดัง
  “ทุกท่านออกไปจากเสาศิลากันเถอะ”
  ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
  ทุกคนออกจากเสาศิลาและมองเสาจากระยะไกลพวกเขาเห็นสนามกว้างที่ตั้งไว้ตรงกลางเสาศิลาทั้งเก้า ในตอนนั้นเอง เกิดรอยแยกเปิดออก ไอวารีพวยพุ่งออกมา
  พวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยไอวารีหลายคนรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวจะระเบิด แม้แต่หายใจก็เป็นเรื่องยาก
  ซือหยูเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อไอวารีกระทบตัวเขาพบว่ามันหนักอย่างมาก และมิใช่เพียงร่างกายที่สัมผัสได้ ไอวารีนี้ยังส่งผลถึงดวงวิญญาณของเขาอีกด้วย
  ครืน!
  สนามกลางเปิดออกเต็มที่เผยให้เห็นหลุมวงกลมขนาดใหญ่มันดูเหมือนกับกำแพงบ่อน้ำ วารีใสสะอาดอยู่ที่ก้นบ่อนี้ แม้ว่ากำแพงจะสั่นอย่างแรง วารีภายในก็สงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น
  “เริ่มได้…”
  ผู้เฒ่าหลี่ประกาศ
  วารีเริ่มลดหายไปต่อหน้าสายตาสงสัยของเหล่าหนุ่มสาวมันลดลงจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างดูดมันไปฃ
  จากนั้นจึงเกิดภาพอันน่าทึ่งน้ำในบ่อเริ่มพุ่งออกจากยอดเสาศิลาทั้งเก้า วารีไหลลงมาเคลือบเสาทั้งต้น! เกิดขั้นบันไดปรากฏบนแต่ละเสา มันทอดยาวตั้งแต่ใต้เสาจนถึงยอด
  มีบันไดทั้งหมดเก้าสิบเก้าขั้นเสาทั้งเก้าต้นได้ดูดน้ำในบ่อเพื่อปล่อยออกมาจากบนยอด
  “มัจฉาข้ามประตูมังกรมีกฎดังต่อไปนี้…เจ้าต้องเริ่มขึ้นเสาศิลาจากขั้นล่างสุดห้ามใช้พลังชีวิตเพื่อบินขึ้นไป ใครที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกขับออกจากการสอบ หากผ่านสิบขั้นแรกจะนับว่าผ่านการสอบ แต่เจ้ายังจะได้คะแนนหนึ่งพันคะแนนต่อบันไดแต่ละขั้น เริ่มการสอบได้…”
  สีหน้าของเหล่าหนุ่มสาวหม่นหมองเมื่อได้ฟังการสอบที่สองนี้น่ากลัวกว่าการสอบแรกมาก โอกาสตายมีสูงกว่าถึงสองเท่า!
  พวกเขาจะต้องขึ้นบันไดขณะที่ต้องทนรับวารีที่มอบความเจ็บปวดถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว พวกเขาจะถูกวารีพัดลงและถูกสังหารทันที!
  มันโหดร้ายและอันตรายยิ่งกว่าป่าขังภูติ!หลายคนที่ผ่านการทดสอบแรกเริ่มลังเล พวกเขาไม่กล้าจะก้าวไปข้างหน้า
  ฟึ่บ!
  แต่ขณะที่หลายคนยังลังเลบางคนก็ก้าวเข้าไปอย่างมั่นใจ สาวน้อยชุดขาวกระโดดไปยังโคนเสาราวกับผีเสื้อและก้าวขั้นแรก
  สาวน้อยผู้นี้มีผิวเรียบเนียนและงดงามมากนางคือชางฉีหลินที่ได้ลำดับห้าในการสอบที่แล้ว
  เมื่อนางก้าวขั้นแรกวารีที่ไหลมาจากยอดเสานั้นได้ไหลลงมารุนแรงยิ่งกว่าเดิมราวกับพิรุณกระหน่ำ ร่างกายของนางชุ่มโชก หยดวารีเหล่านั้นไม่ต่างกับศิลาหนังอึ้งที่หล่นทับตัวนาง นางร้องครางด้วยความเจ็บปวด
  เมื่อวารีไหลซึมผ่านเสื้อผ้าร่างกายของนางก็ยิ่งหนักขึ้นมาก ราวกับว่านางแบกหินหมื่นกิโลอยู่!
  ความตกใจปรากฏบนใบหน้ามั่นใจของนางเมื่อครู่นางเงยหน้ามองขั้นบันได ยิ่งนางไปไกลเท่าไหร่ วารีก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเท่านั้น! และเมื่อก้มลงมองก็เห็นแอ่งน้ำไร้ขอบที่ทำให้นางรู้ทันทีว่าถ้าหากนางลื่นตกลงไป นางจะต้องตายอย่างน่าสยดสยองแน่นอน!
  “ข้าไม่สอบแล้ว!”
  นางกัดฟันและชักเท้าขวากลับนางตัดสินใจก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจ
  นางกลับไปในจุดเริ่มต้นด้วยความโศกเศร้าในใจของนางยังคงปวดร้าว… การทดสอบโหดร้ายมาก! พวกเขายังเห็นศิษย์จากภายนอกอยู่ในสายตาหรือไม่?
  ว่ากันว่าการรับศิษย์ภายในไม่ต้องผ่านการทดสอบเช่นนี้ขณะที่คนนอกต้องผ่านการทดสอบอันตรายที่ทำให้เสียชีวิตไปหลายคน!
  เมื่อคนที่ได้คะแนนสูงในการสอบครั้งแรกยอมแพ้มันก็ทำให้หลายคนที่คิดจะลองถอดใจและจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
  “ข้าจะลอง”
  หยวนหยิงหยิงมองซือถูหยางก่อนจะลองเข้าสอบ
  ซือถูหยางรู้สึกว่าหยวนหยิงหยิงมองยั่วนางนางจึงยืดอกขึ้น
  “ข้าก็จะลอง!”
  นายหญิงซือถูกำหมัดแน่นนางตากระตุกแต่ก็ไม่คิดจะหยุดลูกสาว แต่เจ้าตำหนักคงฉานก็พูดขึ้นมาแล้ว
  “เจ้าสองคนไม่ต้องทดสอบครั้งที่สองก็ได้มีผู้เฒ่าศิษย์นอกอยากจะเจอเจ้า ยินดีด้วย ผู้เฒ่าหลี่ พาตัวพวกนางไป”
  เจ้าตำหนักคงฉานยิ้มเบาๆ
  สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังคำพูดของนางความริษยาปรากฏบนใบหน้าพวกเขาทันที…
  หลายคนที่นี่ต้องเสี่ยงชีวิตผ่านการทดสอบถึงตายขณะที่สาวน้อยสองคนไม่ต้องเข้าสอบเพราะผู้เฒ่าตำหนักนอกสนใจนางงั้นเรอะ?
  มันไม่ยุติธรรมเลยแต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเหล่าผู้เฒ่านั้นก็คือคนในตำหนักโลหิต
  “มีผู้เฒ่าสนใจซือถูหยางสินะนางคือผู้ใช้ค่ายกลที่หาได้ยาก นางจะมีตำแหน่งสูงในตำหนักโลหิตแน่…”
  บางคนอธิบาย
  “แต่หยวนหยิงหยิงเป็นใครกัน?ทำไมนางถึงถูกเลือกล่ะ?”
  หลายคนถามแบบเดียวกัน…
  “นางควรจะมีพรสวรรค์ใช่หรือไม่?การทดสอบแรกมีผู้เฒ่าแอบดูหลายคน ถ้าหากมีคนเผยพรสวรรค์เหนือธรรมดาออกมา ผู้เฒ่าก็จะเลือกรับเข้าตำหนัก นางจะต้องผ่านด้วยวิธีนี้แน่”
  บางคนเริ่มคาดเดา
  หญิงสาวทั้งสองตกใจกับข่าวอันน่ายินดี
  “พี่ซือข้าสอบผ่าน!”
  หยวนหยิงหยิงเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจนางมองซือหยูด้วยความขอบคุณ
  นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ในอดีต ทั้งโลกของนางคือตระกูลหยวนคับแคบ และสิ่งที่นางต้องการก็มีเพียงแต่การได้รับการยอมรับจากตระกูล
  นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!ชีวิตนางเปลี่ยนไปเพราะซือหยู!
  “แม่สาวน้อยเจ้าไปก่อนเถอะ บ่มเพาะพลังให้ดี เราจะได้เจอกันอีกครั้ง”
  ซือหยูลูบหัวนางความอบอุ่นปรากฏในดวงตา
  ซือถูหยางหน้ามุ่ย
  “พี่ซือลาก่อน ข้าจะตามหาพี่ในตำหนัก”
  ซือหยูหัวเราะเบาๆและอำลาสาวน้อยทั้งสองเมื่อไม่มีทั้งคู่อยู่ ซือหยูก็ไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว
  “ข้าต้องรีบสอบให้ผ่าน…”
  ซือหยูพูดและบินไปยังโคนเสา