ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 38 ผู้อาวุโสตำหนักใน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 38 ผู้อาวุโสตำหนักใน โดย Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวตลอดร่างเงยหน้ามองเจดีย์ดาวอันสูงตระหง่าน เจดีย์ดาวแผ่รัศมีอันน่าคร้ามเกรงไปทั่วทั้งแปดทิศ

ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างเท้าเข้าสู่เส้นทางมิติในประตูทางเข้าเจดีย์ดาว

มิติม้วนพับและบิดเบี้ยว

คราวนี้ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเหินบิน เส้นทางมิติสายนี้ก็บิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกมาก็เห็นโลกทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง นี่ก็คือชั้นที่สามของเจดีย์ดาว

“พรึ่บๆๆ” ที่ส่วนลึกของดินแดนทะเลทรายมีลำแสงสีเทาอันไพศาลพุ่งออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนแล้วรวมตัวกันออกมาเป็นเงาร่างสายแล้วสายเล่า เพียงพริบตาเดียวก็มีสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาถึงหนึ่งร้อยคนเต็มๆ ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาบางคนก็กำยำ บางคนก็ผอมแห้ง บางคนก็มีหกแขน แม้กระทั่งอาวุธก็ยังแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ กันแต่จุดที่เหมือนกันก็คือทุกคนต่างสวมชุดเกราะสีเทา และบนเกราะบ่าของพวกเขาล้วนประดับด้วยชิ้นส่วนโค้งอันหนึ่ง

สิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทากว่าร้อยคนต่างก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวตลอดร่างมองดูคู่ต่อสู้ตรงหน้า ถ้าหากสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทานี้มีอยู่เพียงคนเดียว ตนเองก็คงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อใดที่รวมตัวกันได้ถึงสิบคนก็สามารถสร้างค่ายกลขึ้นมาได้ ทำให้พลังยุทธ์ของพวกเขาแต่ละคนต่างก็ยกระดับขึ้น พอรวมตัวกันได้ถึงร้อยคน…พลังยุทธ์ของทุกคนต่างก็สามารถยกระดับขึ้นไปได้อีก

นอกจากนี้พวกเขายังมีพละกำลังอันร้ายกาจที่ทำให้กฎเกณฑ์ที่เคลื่อนหมุนอยู่ตีกลับได้ เพียงแค่ถูกโจมตีก็จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ถ้าหากมีจำนวนน้อยก็สามารถขับออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่หากมีจำนวนมากก็จะยุ่งยากแล้ว

ก่อนหน้านี้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ เคราะห์ดีที่วิญญาณค่ายกลเจดีย์ดาวช่วยเขายับยั้งเอาไว้ มิฉะนั้นทุกครั้งที่พ่ายแพ้ พละกำลังอันร้ายกาจก็เพียงพอที่จะสังหารเขาได้เลยทีเดียว

“คราวนี้ไม่เหมือนกันแล้ว”

คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวมิได้หยิบเอาอาวุธเทพอากาศออกมา หากแต่เพียงแค่ยืนอยู่บนดินแดนทะเลทรายเท่านั้น

“ไป!”

นิ้วมือชี้ไป

เกราะพลในร่างกายลอยออกมาเป็นจำนวนมาก เกราะพลสีม่วงเข้มอันหนาแน่นลอยออกมาจากผิวกาย ภายใต้การควบคุมอย่างตั้งใจอันแกร่งกล้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหนี่ยวนำพละกำลังของกฎเกณฑ์โดยตรง ยามที่เกราะพลสีม่วงเข้มทุกสายลอยด้วยความเร็วสูงก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นปลาสีม่วงเข้มตัวแล้วตัวเล่า แล้วพวกมันก็บินไปทางสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาเหล่านั้นอย่างมืดฟ้ามัวดินในทันใด

“ฆ่ามัน!” ผิวกายของสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทากว่าร้อยตนต่างก็ห่อหุ้มด้วยพลังสีเทาอันร้ายกาจ พลังของทุกตนหลอมรวมเป็นหนึ่ง กลิ่นอายของแต่ละตนนั้นแกร่งกล้ามิใช่น้อย

พวกมันทั้งหมดเคลื่อนที่ในพริบตา แต่ละตนหายวับไปในทันใด

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนที่ในพริบตาแล้วหายวับไปเช่นเดียวกัน

“พรึ่บๆๆ”

ปลาสีม่วงเข้มกว่าพันตัวผลุบเข้าไปกลางอากาศแล้วสำแดงการไล่สังหารกลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ตอนนี้ไปถึงวิชาลับผู้ท่องขั้นที่ยี่สิบแปดมีความแข็งแกร่งในด้านการควบคุมอากาศมากยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาเหล่านี้  ปลาสีม่วงเข้มตัวแล้วตัวเล่าไล่สังหารสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาที่กำลังเคลื่อนที่ในพริบตาเหล่านั้น

สิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาเหล่านี้แต่ละตนต้านรับอย่างเย็นชา แต่ปลาสีม่วงเข้มแต่ละตัวช่างรวดเร็วคล่องแคล่วว่องไว พวกมันต้านทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ส่วนมากกลับเจาะทะลุเข้าไปในร่างกายของพวกเขา

ในอดีตด้วยร่างกายที่ทนทานของพวกมัน ทำให้เคล็ดวิชาสังหารหมู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลย

แต่คราวนี้ร่างกายของพวกมันราวกับกระเป๋าผ้าที่ขาดวิ่น ‘สวบๆๆ’ ฝูงปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดผ่านทะลุร่างของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง เคลื่อนกลับไปมาไม่หยุดหย่อน แม้ว่าจะมีการพร่องลงไปบ้าง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลดปล่อยเกราะพลออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมกำลังให้กับปลาสีม่วงเข้ม ภายใต้การโอบล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาเหล่านี้ต่างก็ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมาอย่างเดือดดาล แต่พวกเขาก็ถูกกดดันโดยสมบูรณ์แบบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของพวกมันจึงสาหัสขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านไปสิบอึดใจพวกมันก็เลือนหายไปในที่สุด ลำแสงสีเทาก็แทรกเข้าไปในพื้นดิน

“ชนะแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

ท้ายที่สุดก็ชนะแล้ว

ผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวด้วยระดับเทพอากาศขั้นกำเนิด

ยากเย็น ยากเย็นเกินไปแล้ว

นับตั้งแต่การประลองของศิษย์เทพแท้สิ้นสุดลง เขาก็ปลีกวิเวกบำเพ็ญมาห้าพันแปดร้อยล้านปี อันที่จริงก็สำเร็จวิชากระบี่ที่สามผลาญโลกาตั้งแต่ระยะเวลาหนึ่งพันสามร้อยล้านปีแล้ว เดิมทีเขาคิดจะผนวกรวมวิชากระบี่ที่สามผลาญโลกากับวิถีระลอกคลื่นของตนและปรัชญาคลื่นลมบทที่สิบที่ตนสร้างขึ้น แต่หลังจากทดลองดูแล้วก็พบว่ายากเย็นเกินไป

ดังนั้นในขณะที่คิดใคร่ครวญ ก็ทดลองดัดแปลงวิชา ‘กระบี่ที่สามผลาญโลกา’ ให้ง่ายขึ้น แปลงเป็นเคล็ดวิชาสังหารหมู่!

ตนอ่อนแอในด้านการโจมตีเป็นกลุ่มจริงๆ และหากต้องการสำแดงกระบวนสังหารและควบคุมเกราะพลจำนวนมากไปพร้อมๆ กัน การสำแดงวิชา ‘กระบี่ที่สามผลาญโลกา’ จำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองพลังจิตใจของตนเองเป็นอย่างมาก อย่างมากที่สุดตนก็สามารถทำให้เกราะพลห้าอันสำแดงกระบี่ที่สามผลาญโลกาออกมาได้ในเวลาเดียวกัน ทว่านี่ย่อมไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง! ศัตรูจะต้องต้านทานเอาไว้ได้อย่างแน่นอนเพราะมีจำนวนน้อยเกินไป ต่อให้ล้อมโจมตีเพียงคนเดียว สิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาเหล่านั้นก็มีการไหลเวียนพลังงาน สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้นหากต้องการสังหารก็จำเป็นต้องสังหารทั้งหมด จำเป็นจะต้องใช้กระบวนท่าที่กินบริเวณกว้างใหญ่มาก

แล้วก็ดัดแปลงวิชา ‘กระบี่ที่สามผลาญโลกา’ ให้ง่ายขึ้น

การดัดแปลงให้ง่ายขึ้นนั้นง่ายดายกว่าการปรับเปลี่ยนแก้ไขวิถีระลอกคลื่น แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงยังต้องการให้ยามที่สำแดงมีความผ่อนคลายกว่านี้  ยิ่งสำแดงได้ยิ่งใหญ่ขึ้นก็ยิ่งดี นี่ช่างยากเย็นเหลือเกิน

เขาดัดแปลงให้ง่ายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยอาศัยแนวคิดของวิชากระบี่ที่สามผลาญโลกาเป็นพื้นฐาน แล้วดัดแปลงให้ง่ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง พยายามทำให้ง่ายที่สุด ทั้งยังพยายามทำให้พลานุภาพยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี

ในที่สุด…

ในตอนนี้ก็สร้างกระบวนสังหารโจมตีหมู่… ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ออกมาได้

“ไปดูชั้นที่สี่สักหน่อยดีกว่า” แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ไปตามหลุมอากาศขนาดใหญ่ในท้องฟ้าเบื้องบน บินเข้าสู่เจดีย์ดาวชั้นที่สี่ ซึ่งที่นั่นเป็นโลกแห่งทิวเขายาวต่อเนื่องกันอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้านในมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตตนหนึ่งเท่านั้น คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยเคล็ด ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ล้อมโจมตีอย่างสุดกำลัง อีกทั้งในมือยังกุมอาวุธเทพอากาศบุกสังหารอย่างสุดตัวสุดพลัง ก็ทำได้เพียงแค่ทำร้ายศัตรูอย่างกระท่อนกระแท่นเท่านั้น แต่ตนเองกลับเผชิญกับพลังสีแดงโลหิตอันร้ายกาจขุมนั้น ถูกทะลุทะลวงจนบาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีที่วิญญาณค่ายกลเจดีย์ดาวช่วยตนยับยั้งเอาไว้แล้วขจัดออกไป

“ยังอ่อนแออยู่ดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าการที่เป็นเทพอากาศขั้นกำเนิดคนหนึ่งแล้วสามารถบุกมาจนถึงชั้นที่สามได้ก็ล้ำเลิศมากแล้ว การคิดจะเข้าสู่ชั้นที่สี่นั้นยังห่างชั้นอยู่ไม่น้อย

“ควรจะออกไปเดินดูสักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้ว่าตนมาถึงจุดคอขวด การจะยกระดับอีกนั้นก็เป็นเรื่องยากแล้ว ต่อให้อีกหลายพันล้านปีก็เกรงว่ายังยากที่จะยกระดับไปอีกสักกี่มากน้อย นอกเสียจากจะใช้เวลายาวนานกว่านี้ อย่างเช่นอีกสักสิบเท่าในการหยั่งรู้ แต่ทว่า ‘เวลา’ สำหรับตนนั้นช่างทรงคุณค่ายิ่งนัก ถึงแม้ว่าตำหนักกาลเวลาจะสามารถเร่งความเร็วของเวลาได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็มหาศาลเช่นกัน

ขั้นกำเนิด ภายในใช้เวลาบำเพ็ญห้าพันแปดร้อยล้านปี ซึ่งเป็นเวลาห้าสิบแปดล้านปีของโลกภายนอก แต่ตนก็สิ้นเปลืองไปสองหมื่นเก้าพันแต้มความดีความชอบ เกือบจะเท่ากับศิลาปฐมโลกาสามก้อน!

ตนเองมีสมบัติล้ำค่าน้อยนิด ไม่สามารถสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ได้

……

“เตร๊งๆๆ”

เสียงระฆังของตำหนักทวีสูญดังขึ้น ก้องไปทั่วทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทวีสูญ

ผู้อาวุโสตำหนักในและเหล่าประมุขวังที่อยู่ภายในวังทวีสูญแต่ละท่านต่างก็เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักทวีสูญ แม้กระทั่งผู้อาวุโสตำหนักนอกและเหล่าศิษย์เทพแท้ที่ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปก็ยังพากันมองไปทางตำหนักทวีสูญอย่างสงสัย

นี่มันเรื่องอันใดกัน

เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นแล้วหรือ ทุกครั้งที่เสียงระฆังของตำหนักทวีสูญดังขึ้น ล้วนต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างที่สุด

ภายในตำหนักทวีสูญ

บริเวณตำแหน่งสูงที่อยู่ด้านหน้าสุด บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งเคียงไหล่กันอยู่ตรงตำแหน่งสูงนั้น

ด้านบนของอัฒจันทร์ทั้งสองฝั่ง

มีประมุขวังนั่งอยู่แปดท่าน

ทั้งสองฟากของตำหนักใหญ่ มีบรรดาผู้อาวุโสตำหนักในยืนอยู่ ในขณะนี้สายตาของพวกเขาล้วนจับอยู่บนร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวที่ยืนอยู่ตรงกลางตำหนักใหญ่

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวตลอดร่างยืนอยู่ที่นั่น

“วันนี้ให้ทุกท่านมารวมตัวกันก็เพราะวังทวีสูญของข้ามีเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง” บรรพชนเทียนอวี๋ที่นั่งอยู่ด้านบนพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไปเขาก็คือผู้อาวุโสตำหนักในคนที่สามสิบเก้าแห่งวังทวีสูญของข้า”

“ผู้อาวุโสตำหนักในหรือ”

บรรดาชนชั้นสูงแห่งวังทวีสูญในที่นั้น รวมถึงเหล่าประมุขวังต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างประหลาดใจ

นี่เพิ่งจะผ่านไปนานสักเท่าใดกันเชียว

การประลองของศิษย์เทพแท้เพิ่งจะผ่านไปห้าสิบแปดล้านปีเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองเทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เป็นถึงผู้อาวุโสตำหนักในแล้วหรือ ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็มองออกว่าระยะเวลาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ในการบำเพ็ญอย่างจริงจังก็ผ่านมากกว่าห้าพันล้านปีแล้ว คาดว่าคงอาศัยความช่วยเหลือของตำหนักกาลเวลา แต่นี่ก็ยังคงเป็นระยะเวลาที่แสนสั้นอยู่ดี

นอกจากนี้แม้ว่าวังทวีสูญจะมีกฎเกณฑ์อยู่ว่าเทพอากาศขั้นกำเนิด เพียงแค่สามารถผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้ภายในหมื่นล้านปี ก็สามารถเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนก็จะอาศัยตำหนักกาลเวลาในการบำเพ็ญยาวนานกว่านั้น

นอกจากนี้ก็ไม่มีข้อกังขาใดเลยแม้แต่น้อย

ระดับความยากที่ขั้นกำเนิดจะผ่านชั้นที่สามได้นั้น ยากเย็นยิ่งกว่าการที่ขั้นรวมเป็นเอกภาพจะผ่านชั้นที่ห้าเสียอีก! ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญก็ยังเป็นเพียงขั้นกำเนิดคนหนึ่งเท่านั้นแน่ใจได้เลยว่าความร้ายกาจที่ขั้นกำเนิดสามารถผ่านชั้นที่สามได้ ยามที่ไปถึงขั้นรวมเป็นเอกภาพแล้ว การผ่านชั้นที่ห้าจะต้องเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายยิ่งเป็นแน่

“ในที่สุดก็มีสหายเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสิ”

“ผู้อาวุโสตงป๋อ” พวกเขาแต่ละคนมองตงป๋อเสวี่ยอิง วังทวีสูญเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้เนิ่นนานที่นี่ก็มีผู้อาวุโสตำหนักในสามสิบแปดคน! แน่นอนว่าไม่นับผู้ที่ตายในการต่อสู้

“ตงป๋อเสวี่ยอิง ต่อจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญของข้า หวังว่าจะร่วมรักษาปกป้องกฎเกณฑ์ของวังทวีสูญของข้าไปกับเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ อารักขาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเฉพาะในสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้าเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋อมยิ้มมองลงไปยังเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ลำแสงสีทองสามสายก็ลอยตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วรับขึ้นมาพลางเอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิงจะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเลยขอรับ”

(ตอนสุดท้ายของบท)

……………………………….