ตอนที่ 730 ข่มขวัญ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 730 ข่มขวัญ

สีหน้าของประมุขเผ่ายังคงเดิม จากนั้นเขาก็นำของสิ่งหนึ่งออกมานั่นก็คือถุงหอมที่อันหลิงเกอเคยมอบให้เขาและต่อมานางก็นำไปห้อยติดกายไว้เสมอ เรื่องนี้เขาย่อมจำได้ดี

เป็นไปตามที่ประมุขเผ่าคาดเอาไว้ว่าหลังจากที่มู่จวินฮานได้เห็นถุงหอมแล้วท่าทีต้องเปลี่ยนไป ส่วนมู่จวินฮานคาดมิถึงว่าเวลานี้ประมุขเผ่าจะยกอันหลิงเกอมาข่มขู่

เวลาเดียวกันคนที่รู้สึกตกใจก็คือฟางหลิงซู่ เพราะช่วงหลายวันมานี้เขาเลี่ยงมิให้อันหลิงเกอเข้าใกล้ประมุขเผ่า เหตุใดอีกฝ่ายจึงมีถุงหอมของนางได้ ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้อันหลิงเกอตกไปอยู่ในมือของประมุขเผ่าอีกครั้งแล้ว

“ตอนนี้นางอยู่ที่ใด ?” เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว มู่จวินฮานก็มิอาจอดกลั้นโทสะได้อีก

“อ๋องมู่มิต้องร้อนใจไปหรอก ตอนนี้นางยังสบายดีและยังเป็นแขกของเผ่าปิงชวน แต่เรื่องที่นางจะกลับมาอยู่ข้างกายเจ้าได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าอ๋องมู่ให้ความร่วมมือกับข้าหรือไม่ ? ”

หลังประมุขเผ่ากล่าวจบก็หันไปมองฟางหลิงซู่ราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น แม้รู้ว่าฟางหลิงซู่รู้สึกเช่นไรกับอันหลิงเกอ แต่เขามิอาจปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปได้

ตอนนี้ฟางหลิงซู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน คาดมิถึงว่าประมุขเผ่าจะทราบฐานะแท้จริงของอันหลิงเกอและยังใช้นางมาข่มขู่ตนกับมู่จวินฮานอีกด้วย

เพราะประมุขเผ่ารู้ว่าเขาและมู่จวินฮานสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายทุกอย่างได้ ดังนั้นไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นฟางหลิงซู่ก็เริ่มรู้สึกผิดและมีความคิดบางอย่างขึ้นมา

เขาไม่มีทางปล่อยให้ประมุขเผ่าทำร้ายอันหลิงเกอและต้องพานางหนีไปให้ได้

หากประมุขเผ่าทำตามที่พูดจริง เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว อันหลิงเกอก็จะถูกส่งมอบให้มู่จวินฮาน จากนั้นนางก็จะรับรู้เรื่องทุกอย่างและก็จะเกลียดชังเขา !

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา มิว่าอย่างไรเขาต้องพาอันหลิงเกอออกไปจากที่นี่ให้ได้ เดิมทีเขาคิดใช้นางกำจัดมู่จวินฮานแต่คาดมิถึงว่าจะถูกประมุขเผ่านำหน้าไปก่อน

เมื่อฟางหลิงซู่มีความคิดเช่นนี้ก็สายเกินไปแล้ว เพราะเมื่อกลับมาหาอันหลิงเกอที่วังก็มิพบนาง และมิรู้ด้วยว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ใด

แต่สิ่งที่ฟางหลิงซู่คาดมิถึงก็คืออันหลิงเกอถูกขังอยู่ในห้องขังด้านข้างมู่จวินฮาน เนื่องจากนางถูกวางยาจึงไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้และบนใบหน้าก็มีหน้ากากผืนหนาปกปิดอยู่

แม้แต่ฟางหลิงซู่ที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ยังมิรู้ว่านั่นคืออันหลิงเกอ

ด้วยเหตุนี้แม้ฟางหลิงซู่ค้นหาตัวนางไปทั่ววังหรือทั่วเผ่าปิงชวนก็มิสามารถพบร่องรอยของอันหลิงเกอและทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก

ด้วยความจนปัญญา ฟางหลิงซู่จึงไปหาประมุขเผ่าเพื่อต่อรองเงื่อนไขด้วย เมื่อประมุขเผ่าเห็นฟางหลิงซู่ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่าหากต้องการให้ฟางหลิงซู่ทำงานเพื่อเผ่าปิงชวนก็ต้องทำให้ฟางหลิงซู่ตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดให้ได้เสียก่อน

ประมุขเผ่ารู้ดีว่าสายสัมพันธ์ทั้งหมดที่ฟางหลิงซู่มีก็คืออันหลิงเกอและรู้ว่าในใจของอันหลิงเกอมีมู่จวินฮานเป็นตำแหน่งสูงกว่าฟางหลิงซู่มากนัก

ด้วยเหตุนี้ประมุขเผ่าจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ขึ้นมาโดยให้อันหลิงเกอซ่อนใบหน้าแท้จริงไว้และทำให้นางพูดไม่ได้ จากนั้นก็นำตัวไปขังไว้ในห้องขังข้างมู่จวินฮาน เพราะเมื่อเป็นเยี่ยงนี้มิว่าจะมีการเคลื่อนไหวใด นางก็จะรับรู้ได้ตลอด

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ? ” ประมุขเผ่ามองฟางหลิงซู่ที่กำลังคุกเข่าลง มิต้องบอกก็รู้ว่าฟางหลิงซู่ต้องการมาถามเรื่องอันหลิงเกอ ดูท่าคงออกไปตามหาอันหลิงเกอทั้งวันทั้งคืนมาแน่นอน

“กระหม่อมโง่เขลาจึงขอวิงวอนให้ท่านประมุขเผ่ามอบอันหลิงเกอคืนด้วยเถิด” ฟางหลิงซู่มิเคยคุกเข่าให้ผู้ใดมาก่อน ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอันใดอีกแล้ว

“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าก็คงรู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อไป ขอเพียงเจ้านำตราอาญาสิทธิ์มาได้ ข้าก็จะนำสิ่งที่เจ้าต้องการมาไว้ตรงหน้าให้เอง เจ้าเห็นว่าอย่างไร ? ”

คำพูดของประมุขเผ่าฟังแล้วแสนอบอุ่นจนฟางหลิงซู่อดเชื่อมิได้ ในความเป็นจริงแล้ว ประมุขเผ่าไม่ได้จะทำตามสิ่งตนกล่าวไว้ แต่ก็มั่นใจว่าฟางหลิงซู่ต้องไปทำร้ายมู่จวินฮานแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นอันหลิงเกอที่อยู่ห้องขังด้านหน้าก็จะรับรู้เรื่องทั้งหมด นางก็จะไม่อยากอยู่กับฟางหลิงซู่อีก และนี่ถือเป็นการตัดห้วงความรักให้ฟางหลิงซู่อย่างสมบูรณ์

ระหว่างทางนั้นฟางหลิงซู่ก็พยายามคิดว่าจะทำเช่นไรเพื่อนำตราอาญาสิทธิ์มาจากมู่จวินฮานเพราะอีกฝ่ายมิยอมกล่าวอันใดเลย ตอนนี้ก็ไม่สามารถนำอันหลิงเกอมาข่มขู่ได้แล้วด้วย

ทันใดนั้นฟางหลิงซู่ก็คิดขึ้นได้ว่าในเมื่อมู่จวินฮานตกอยู่ในกำมือของตนแล้ว ข่าวสารภายนอกก็มิอาจรู้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าใช้อุบายไปกระตุ้นก็อาจจะได้ผล

ฟางหลิงซู่ขบกรามแน่นแล้วรีบเร่งฝีเท้า แต่ในขณะที่เดินผ่านห้องขังด้านข้างของมู่จวินฮาน ฟางหลิงซู่ก็อดหันไปมองมิได้เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องขังมิหยุด แต่คนผู้นั้นมิกล่าวอันใดออกมาสักคำ

นักโทษในห้องขังมีผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ามีหน้ากากผืนหนาปิดบังเอาไว้ แม้แต่แยกบุรุษหรือสตรีก็แยกมิออกเลยก็ว่าได้ ฟางหลิงซู่จึงได้แต่ส่ายศีรษะและคิดในใจว่านักโทษที่อยู่ในคุกแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชังทั้งนั้น

แต่ฟางหลิงซู่มิรู้ว่านักโทษผู้นั้นก็คืออันหลิงเกอ และเมื่อวานนางรู้ว่าประมุขเผ่าจะใช้นางเพื่อหลอกจับตัวมู่จวินฮาน

พอเห็นฟางหลิงซู่ในเวลานี้ อันหลิงเกอก็อยากให้เขาช่วยออกไป แต่สภาพของนางแม้แต่ฟางหลิงซู่ก็ยังจำมิได้ แววตาของอันหลิงเกอจึงเปื้อนไปด้วยความผิดหวัง มิรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

เวลาต่อมาฟางหลิงซู่ก็เปิดประตูห้องขังของมู่จวินฮานออก ส่วนมู่จวินฮานที่ไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาหนึ่งวันแล้วใบหน้าจึงดูไร้ชีวิตชีวาและริมฝีปากก็แห้งผาก

ส่วนอันหลิงเกอสามารถมองเห็นมู่จวินฮานได้จากกรงเหล็กที่อยู่ตรงกลาง พอได้เห็นเขาในเวลานี้ นางก็รู้สึกปวดใจ

สภาพย่ำแย่ของมู่จวินฮานถือเป็นความเจ็บปวดในสายตาของนาง

ดูเหมือนตอนนี้มู่จวินฮานก็สังเกตเห็นอันหลิงเกอแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นช่างคุ้นตายิ่งนักจึงมองอยู่นานมาก

แต่ตอนนี้ฟางหลิงซู่เข้ามายืนตรงเบื้องหน้าและปิดกั้นการมองเห็นของเขาไว้

มู่จวินฮานจึงดึงสายตากลับแล้วเหลือบมองฟางหลิงซู่ด้วยสายตาเย็นชา เขาสั่งให้ทหารถอยทัพได้ แต่อย่างไรก็ไม่มีทางมอบตราอาญาสิทธิ์ให้ศัตรูเด็ดขาด

“มิต้องพูดมาก” มู่จวินฮานไม่รอให้ฟางหลิงซู่ได้กล่าวอันใดก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาไม่มีทางถอยอีกและไม่มีวันปล่อยให้ตราอาญาสิทธิ์ตกอยู่ในมือเผ่าปิงชวนแน่นอน

“ที่ข้ามาในวันนี้เพราะอยากคุยกับท่านดี ๆ ” ฟางหลิงซู่มองมู่จวินฮาน ตอนนี้เขาเองก็มิได้ลังเล แต่พอเห็นท่าทางของมู่จวินฮานแล้วก็รู้ทันทีว่าไม้แข็งใช้มิได้ผลจึงต้องใช้ไม้อ่อนแทน

“หืม ? เจ้าช่างจิตใจดียิ่งนัก” เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มู่จวินฮานตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ยังฉีกยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าฟางหลิงซู่จึงทำให้ฟางหลิงซู่รู้สึกสับสนเล็กน้อย

เมื่อเห็นท่าทางของมู่จวินฮานแล้ว ฟางหลิงซู่ก็เริ่มสงสัยว่าหรือมู่จวินฮานจะมีปัญญาหนีออกไปได้ เมื่อคิดเช่นนั้นฟางหลิงซู่ก็ไม่รีบพูดอันใดออกมาเนื่องจากมิอยากให้ความลับรั่วไหล