ตอนที่ 731 ทรมาน
“ช่างเถิด วันนี้ข้ามิได้มีอันใดมาก ทหาร ! พวกเจ้าเข้ามาต้อนรับอ๋องมู่ให้ดีหน่อย” หลังกล่าวจบแล้วฟางหลิงซู่ก็เดินออกไปทันทีเพราะตอนนี้เมิอยากเผชิญหน้ากับมู่จวินฮานเลย
อาจเพราะทำเรื่องที่รู้สึกผิดต่อมู่จวินฮานและอันหลิงเกอมากเกินไป หรือไม่ก็เพราะมู่จวินฮานดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ท้ายที่สุดคนที่ต้องจากไปจึงเป็นเขาเอง
มู่จวินฮานก็มิได้รู้สึกดี เพราะผ่านไปมิกี่อึดใจพวกทหารก็เข้ามาล้อมเอาไว้ พวกมันรู้ดีว่ามู่จวินฮานคืออ๋องมู่ผู้โด่งดังแห่งต้าโจว เมื่อเข้ามาอยู่ในเงื้อมมือของพวกตนก็ต้องทรมานให้สาแก่ใจ…
ในเวลานี้แววตาของมู่จวินฮานไร้ความเกรงกลัว หรือเรียกว่าไร้ความรู้สึกด้วยซ้ำเพราะสำหรับเขาแล้วการโดนทรมานมิอาจทำให้ยอมจำนนได้
ซึ่งเรื่องนี้ฟางหลิงซู่ก็รู้อยู่ เพียงแต่ยังไม่มีวิธีดีกว่านี้ในการรับมือกับมู่จวินฮานและมิอาจบอกมู่จวินฮานไปตามตรง ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ยกให้พวกทหารจัดการแทน
ขณะเดียวกัน ในสนามรบฝ่ายต้าโจวก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตอนนี้ฮ่องเต้ก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามู่จวินฮานมิได้อยู่ในสนามรบและกองทัพจำนวน 50,000 นายก็มาช้าเช่นกัน
“รายงาน ! อ๋องมู่หายตัวไป ตามที่สายข่าวมารายงานคือ กะ กองทัพห้าหมื่นนายได้ถอยทัพไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารมีสีหน้าหดหู่ หลังฮ่องเต้ได้ยินก็รู้สึกว่าพระวรกายสั่นตามไปด้วย
เดิมทีทรงคิดว่าการที่มู่จวินฮานยอมตามมาด้วยเป็นเพราะต้องการทำศึกร่วมกับพระองค์ แต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานจะกล้าออกคำสั่งให้ทหาร 50,000 นายถอยทัพเช่นนี้
ตอนนี้ฮ่องเต้อยู่บนที่สูงจึงทำให้นายทหารทุกนายพลอยได้ยินข่าวนี้ตามไปด้วยและเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที เดิมทีพวกเขาก็ทำศึกกันยากลำบากอยู่แล้ว หากมู่จวินฮานและกองทัพ 50,000 นายยังมาไม่ถึงอีก ศึกในครานี้ต้องพ่ายแพ้แน่นอน
“ข้าและต้าโจวเป็นหนึ่งเดียวกัน ! ” คราวนี้ฮ่องเต้ไม่ได้แสดงออกว่าคือโอรสมังกรอีกต่อไป
สุรเสียงแหบแห้งตามวัยดังกึกก้องไปทั้งสนามรบ พวกทหารเองก็ตะโกนตามมาติด ๆ
“ข้าและต้าโจวเป็นหนึ่งเดียวกัน ! ”
“ข้าและต้าโจวเป็นหนึ่งเดียวกัน ! ”
ในช่วงเวลานั้นทหารทุกนายตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน แม้พวกเขาสูญเสียอ๋องมู่และความหวังสุดท้ายไป แต่ฮ่องเต้ของพวกตนก็ยังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกัน เลือดในกายของทุกคนจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
ฮ่องเต้ก็ทราบดีว่าหากไม่มีอ๋องมู่และทหาร 50,000 นายแล้ว ทุกอย่างที่ทำในเวลานี้จะเป็นเพียงการถ่วงเวลาและการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ขณะทอดพระเนตรขวัญกำลังใจของเหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามที่เพิ่มสูงขึ้น พระองค์ก็รู้ว่าอีกฝ่ายทราบข่าวนี้แล้ว
จากนั้นฮ่องเต้ชำเลืองไปทางโหวอันและแม่ทัพนายอื่นที่ติดตามพระองค์มายังสนามรบพลางทอดพระเนตรทหารที่อยู่เบื้องล่าง หากแพ้ศึกในครานี้ต้าโจวก็คงล่มสลายไปด้วย
ถึงมู่จวินฮานจะสั่งให้ทหารถอยทัพ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็วางแผนไว้เรียบร้อยหมดแล้วนั่นก็คือให้นายทหาร 50,000 นายและทหารรักษาเมืองช่วยกันเฝ้าระวังเมืองหลวงไว้ให้มั่น
มิว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องประชาชนมิให้เกิดอันตรายและมิให้ต้าโจวล่มสลายไปทั้งอย่างนี้
อีกอย่าง หลังเปิดศึกกับต้าโจวแล้ว กองทัพของเผ่าปิงชวนก็ได้รับความสูญเสียมากมายเช่นกัน ขอแค่พวกมันมิได้ครอบครองตราอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพทหาร 50,000 นาย เผ่าปิงชวนก็มิอาจเอาชนะต้าโจวได้อย่างสมบูรณ์
อีกทั้งมู่จวินฮานก็เขียนจดหมายถึงไป๋หลี่เฉินแล้ว ขอแค่ไป๋หลี่เฉินส่งกำลังสนับสนุนมา ราชสำนักต้าโจวก็จะมิล่มสลายแน่นอน
ทว่าฮ่องเต้มิทรงทราบแผนการนี้ของมู่จวินฮาน รู้เพียงว่าพวกพระองค์ทุกคนจะยืนหยัดอยู่ในสนามรบแห่งนี้จนถึงลมหายใจสุดท้าย แม้ต้องตายก็จะตายอย่างมีเกียรติ !
แม้ในเวลาปกติอันอิงเฉิงชอบโวยวายเพราะเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่เช่นนี้ เขาก็ยินดีที่จะสละชีวิต
ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าศึกครานี้มิได้ทำเพื่อปกป้องต้าโจวอีกต่อไป แต่เป็นการลดทอนกำลังของเผ่าปิงชวนลงเท่านั้น
และสิ่งที่พวกเขาทุกคนพอจะทำได้ก็คือใช้ชีวิตของตนไปบั่นทอนกำลังของเผ่าปิงชวน ทำให้พวกมันท้อถอยแล้วยอมตัดใจมิทำอันตรายต่อต้าโจวอีก
อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่ามู่จวินฮานได้มอบอำนาจทางทหารให้แก่ชิงเฟิงแล้วก่อนที่จะออกไปช่วยอันหลิงเกอ
มู่จวินฮานเชื่อมั่นว่าชิงเฟิงมีความสามารถมากพอที่จะสั่งการเหล่าทหาร มีความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญและกลยุทธ์หลักแหลม
ส่วนตอนนี้ร่างกายของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ทว่าหัวใจของเขายังแข็งแกร่งดังเดิมแม้รับรู้ถึงความพ่ายแพ้ของศึกในครั้งนี้แล้วก็ตาม เขารู้ว่าขอแค่ทหารชั้นยอด 50,000 นายยังอยู่ ต้าโจวก็ไม่มีวันล่มสลาย
ตอนนี้อันหลิงเกอก็อยู่ไม่ไกลจากมู่จวินฮาน นางหดตัวซุกอยู่ในมุมหนึ่งและมองเขาอยู่เช่นนั้น
นางรู้ว่ามู่จวินฮานทำเพื่อนางจึงโดนจับตัวมา จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าตนช่างต่ำต้อยและมิรู้จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร พอมองบาดแผลและใบหน้าอันซีดเซียวของเขาก็ทำให้ใจนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด อันหลิงเกอสัมผัสได้ว่าในใจเขายังมีนางอยู่
ทันใดนั้นฟางหลิงซู่ก็เดินเข้ามา
อันหลิงเกอมิเคยรู้มาก่อนว่าฟางหลิงซู่มีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่ นางเห็นเขาใช้ตะขอเหล็กในมือฝังบนร่างของมู่จวินฮาน แต่เขายังมิหยุดมือเพียงเท่านั้นเพราะยังใช้ตะขอเหล็กสองอันดึงไหล่ทั้งสองข้างของมู่จวินฮานไว้
ทำให้กระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้างของมู่จวินฮานต้องรับน้ำหนักทั้งตัว แต่มู่จวินฮานไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงอันหลิงเกอที่ตอนนี้ดวงตาเปียกชื้นไปด้วยน้ำใส
นางพยายามเขย่ากรงเหล็กมิหยุดโดยหวังว่าฟางหลิงซู่จะหยุดมือ
แต่ฟางหลิงซู่มิได้สนใจอันหลิงเกอเลย เขายังยกตัวมู่จวินฮานขึ้นต่อไป ตอนนี้เลือดบริเวณด้านบนของมู่จวินฮานไหลรินสู่พื้นมิหยุดแต่ก็ยังไม่ส่งเสียงใดออกมา
“ยังมิยอมพูดอย่างนั้นหรือ ? ” น้ำเสียงของฟางหลิงซู่น่ากลัวยิ่งนัก ทำให้อันหลิงเกออดตัวสั่นมิได้ นางไม่เคยเห็นฟางหลิงซู่ในด้านนี้มาก่อน นางจำได้ว่าเขารับปากจะมิทำร้ายมู่จวินฮาน
“เจ้าไม่ทำร้ายนางอยู่แล้ว” แม้ตอนนี้มู่จวินฮานเป็นห่วงอันหลิงเกอแต่จะปล่อยให้ฟางหลิงซู่มองออกมิได้ เขาจึงทำเป็นปากดีและมิยอมเอ่ยอันใดที่เหมือนเป็นห่วงนางออกมา
เมื่อฟางหลิงซู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเยี่ยงนี้ ความแค้นในใจก็ปะทุออกมาทันที เขากำหมัดแน่นแล้วต่อยไปที่ใบหน้าของมู่จวินฮาน เดิมทีตัวมู่จวินฮานถูกแขวนไว้กลางอากาศ หลังถูกเขย่าหลายครั้งก็กระทบไปถึงบาดแผลและทำให้เลือดไหลออกมาเยอะกว่าเดิม
อันหลิงเกอร้องไห้แต่ไม่มีเสียงจะเปล่งออกมา นางได้แต่มองทุกอย่างเงียบ ๆ ส่วนฟางหลิงซู่ก็มิได้สนใจนางเพราะยังทรมานมู่จวินฮานต่อไป
“ใช่ ข้าไม่ทำร้ายนาง แต่นางเคยเป็นของข้าหรือเปล่า ? นางมิเคยเป็นของข้าเลยสักครั้ง ! ” ตอนนี้เสียงของฟางหลิงซู่แหบพร่าเล็กน้อย แต่คราวนี้มิใช่การเสแสร้งเพราะความริษยาในใจของเขาระเบิดออกมาแล้ว
มู่จวินฮานมิได้ตอบสนอง เขาจ้องใบหน้าแสนดุร้ายของฟางหลิงซู่อยู่เยี่ยงนั้น แต่เขามักรู้สึกว่าเวลาฟางหลิงซู่เป็นเช่นนี้ช่างน่าตลกยิ่งนัก ทั้งที่ฟางหลิงซู่ก็รู้อยู่แล้วว่าการทรมานใช้มิได้ผลแต่ก็ยังมิยอมแพ้
“นางน่ะหรือ ? ในใจของนางมิเคยมีข้าอยู่เลย ใจของนางมีเพียงเจ้ามาโดยตลอด มู่จวินฮาน ! ” ฟางหลิงซู่พูดเหมือนหัวใจกำลังจะแตกสลายเสียตอนนี้ เขาระบายความโศกเศร้าเสียใจทั้งหมดไปที่ตัวมู่จวินฮาน ทั้งหมัดที่ชกออกไป ทั้งทุบตีด้วยตะขอเหล็กจนทำให้ตะขอจมลึกไปถึงกระดูกของมู่จวินฮาน