เมื่อเห็นว่าผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงฟื้นแล้ว เฉินเฉินก็อุทานขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าคิดว่าส่งผู้สืบทอดคนนี้ไปที่หน้าค่ายกลแล้วจับแขวนเอาไว้พร้อมกับจัดการให้หมดสภาพจะดีกว่า!”
“ไม่จริงน่า!”
เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้ กลุ่มคนแปลกๆก็หันไปมองเฉินเฉินพร้อมกันด้วยสายตาตื่นตกใจ
‘เขาพึ่งจะพูดเรื่องบ้าอะไรออกมา?’
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดี แต่พวกเขาส่วนใหญ่แค่อยากขู่ชิงเฮงด้วยชีวิตของลูกสาวเท่านั้นเอง แต่ว่าเฉินเฉิน…
‘ให้ตายเถอะ! นี่เขาคงไม่ใช่มนุษย์แล้ว!’
ในตอนนี้ ชิงเฉียนเข้าใจแล้วว่าเธออยู่ที่ไหน และในตอนที่เธอได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน เธอก็แทบจะเป็นลมตาย น้ำตาไหลลงมาจากแก้มของเธออย่างไม่สามารถควบคุมได้
“นายน้อยสาขา… พวกเราอาจจะมาจากสำนักอสูร แต่พวกเราก็ยังเป็นมนุษย์อยู่นะครับ” หนึ่งในผู้อาวุโสสำนักอสูรพูดในขณะที่จัดผ้าที่พันอยู่รอบตัวเขา
“มนุษย์เหรอ? การต่อสู้ระหว่างสองกองทัพมันต้องใช้วิธีการที่ต่ำทรามอยู่แล้ว พวกเจ้ามันใจอ่อนเกินไป ในเมื่อข้าจับแม่นางคนนี้มาได้ พวกเจ้าก็ควรจะทำตามคำแนะนำของข้าและส่งคำเตือนไปให้ชิงเฮงก่อนการต่อสู้วันพรุ่งนี้” เฉินเฉินพูดต่ออย่างเย็นชา “ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ลูกสาวของเขาก็จะถูกแขวนอยู่ระหว่างสองกองทัพเพื่อโดนเฆี่ยน! และถึงแม้ว่าเขาจะยอมจำนน พวกเราก็ต้องทำแบบนั้นเพื่อให้เขารู้ถึงผลที่ตามมาจากการดูถูกสำนักอสูร!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของเขา สมาชิกของสำนักอสูรก็ตีตัวออกห่างจากเขาโดยไม่รู้ตัว
‘นายน้อยสาขาคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว…ข้าอยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า’
ในตอนนี้เอง ชิงเฉียนแทบจะเป็นลม
…
มันคือช่วงกลางดึก
ชิงเฉียนถูกขังอยู่ในค่ายทหารค่ายหนึ่งพร้อมกับถูกปิดผนึกพลังปราณเอาไว้
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอกำลังจะเผชิญในวันพรุ่งนี้ ชิงเฉียนก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ ในตอนนี้ เธออยากจะตายๆไปซะ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแบกรับความอัปยศ
ในขณะที่กำลังมองเงาดำที่สะท้อนมาจากข้างนอกเป็นพักๆ ชิงเฉียนก็รู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง ณ ตอนนี้ เธอไม่สามารถขยับตัวได้เลย ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
เธอรู้ดีว่าพ่อรักเธอมากขนาดไหน และถ้าสำนักอสูรสร้างความอัปยศขนาดนั้นให้กับเธอและทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนั้นลงไป พ่อของเธอก็คงจะอ่อนไหวและพ่ายแพ้ในศึกนี้อย่างแน่นอน
แล้วความพ่ายแพ้ของพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพราะเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชิงเฉียนก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และลึกลงไป ความเกลียดชังที่เธอมีต่อสำนักอสูรก็รุนแรงยิ่งขึ้น
‘สำนักอสูรคือศูนย์รวมของพวกชั่วเกินมนุษย์ และเจ้านายน้อยสาขาที่สวมหน้ากากคนนั้นก็คือวายร้ายตัวฉกาจ!’
…
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉินก็พยายามติดต่ออาจารย์ของเขาในสำนักเทียนหยุนอย่างลับๆ
ตอนนี้เขาได้รับความไว้ใจจากสำนักอสูรอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถหาโอกาสออกมาเดินเล่นโดยไม่มีใครมารบกวนเขาได้ประมาณสองสามกิโลเมตร
“ท่านอาจารย์ วันพรุ่งนี้ไปช่วยสำนักพยัคฆ์ขาวและสำนักอื่นๆเพื่อดึงดูดยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณจากสำนักอู๋ซินไปทางนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้หน่อยครับ”
หลังจากที่เขาส่งข้อความนั้นไป เซี่ยวอู่โยวก็ตอบกลับในเวลาไม่นาน
“ได้สิ แต่เจ้าจะหนีออกมาจากสำนักอสูรได้เมื่อไหร่?”
เฉินเฉินเงียบไปซักพัก สีหน้าของเขาค่อยๆจริงจังยิ่งขึ้น เขาตอบกลับ “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทั้งสองรัฐกำลังวุ่นวายกันอยู่ เพื่อให้สำนักเทียนหยุนรอดพ้นจากช่วงเวลานี้ได้ พวกเราต้องใช้พลังส่วนของสำนักอสูรด้วย ข้ามันไร้พรสวรรค์ แต่ข้าเต็มใจที่จะรอหาโอกาสเพื่อเคลื่อนไหวในสำนักอสูร ข้าอยากจะตามหาความหวังให้สำนักเทียนหยุนครับ!”
“ศิษย์เอ๋ย.. นี่เจ้า…” เซี่ยวอู่โยวรู้สึกตื้นตันอย่างมาก
“ท่านอาจารย์ อย่าคิดมากไปเลยครับ สำนักเทียนหยุนเป็นบ้านของข้า และเพื่อสำนักของเรา ข้าไม่ได้เสียใจเลย!”
หลังจากที่พูดเช่นนี้ เฉินเฉินก็เก็บเหรียญสื่อสารและเดินไปทางค่ายอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เศร้าโศกและทุกข์ใจ
“ระบบ ใครเป็นคนที่รักความยุติธรรมมากที่สุดในรัศมี 30 เมตร?” เฉินเฉินถามในระหว่างที่เดินตรงไปทางค่ายหลัก
“ในเต็นท์ที่อยู่ทางซ้ายหกเมตรค่ะ…”
“งี่เง่าชะมัด!” เฉินเฉินรู้สึกอับอายและหงุดหงิด หลังจากถุยน้ำลายออกมา เขาก็เข้าไปในเต็นท์ที่ใหญ่ที่สุด
ไม่นานนัก พวกคนสำคัญของสำนักอสูรก็เริ่มอุทานด้วยความหวั่นเกรง
…
วันต่อมา เรื่องเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้
ในทันทีที่สำนักอสูรประกาศการกระทำที่ไร้ยางอายนั้นและพาชิงเฉียนมาแสดงตัว ทั้งสำนักชิงหลิงก็พากันตื่นตระหนก ชิงเฮง ยอดฝีมือระดับแก่นทองคำ รู้สึกโมโหมากจนเขาแทบกระอักเลือดออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าต่อสู้กับสำนักอสูรด้วยพลังทั้งหมด ถ้าลูกสาวของเขาถูกแขวนและโดนทำร้าย เขาก็อาจจะคลั่งตายไปด้วย
สำนักชิงหลิงต่อต้านอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยความสลดใจ และไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้หนักแค่ไหน ความพยายามของพวกเขาก็สูญเปล่า หลังจากการต่อสู้สั้นๆ กำแพงเมืองก็ถูกสำนักอสูรทำลายและพวกเขาก็ต่อสู้ในขณะที่ล่าถอยไปด้วย ครึ่งวันต่อมา แม้กระทั่งสำนักชิงหลิงก็ยังตกอยู่ในกำมือของสำนักอสูร
ชิงเฮง เจ้าสำนักชิงหลิง สามารถหลบหนีไปได้ภายใต้การคุ้มกันของเซียนสำนักอู๋ซิน
อย่างไรก็ตาม สำนักอสูรไม่ได้หยุดพักเลย พวกเขามุ่งหน้าต่อไปยังสถานที่ที่สาขาที่ห้า ซึ่งเป็นสาขาอาวุธกำลังต่อสู้กับสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์
สำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากสำนักอู๋ซิน และความภัคดีที่สำนักนี้มีต่อสำนักอู๋ซินก็มากยิ่งกว่าสำนักชิงหลิง อันที่จริง สำนักนี้สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นมือขวาของสำนักอู๋ซินได้เลย และการต่อสู้ที่นี่ก็รุนแรงที่สุด
หลังจากสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของสำนักอสูร เซียนของสำนักอู๋ซินที่แต่เดิมรับหน้าที่ช่วยเหลือสำนักชิงหลิงก็ได้เดินทางขึ้นเหนือเพื่อสนับสนุนสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ในขณะเดียวกัน ที่มุมห่างไกลมุมหนึ่งของสนามรบ ชายที่สวมหน้ากากชั่วร้ายได้เดินเข้าไปหาผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงอย่างช้าๆ สายตาของเขานั้นทั้งเย็นชาและโหดร้าย
“ในฐานะนายน้อยของสาขาที่หนึ่งแห่งสำนักอสูร ข้าต้องทำในสิ่งที่ข้าพูดไว้ และเนื่องจากข้าบอกว่าข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าและจับเจ้าแขวนพร้อมกับทำร้ายเจ้า ข้าก็จะรักษาคำพูดของข้า!”
ในขณะที่มองชายสวมหน้ากากที่กำลังเข้ามาใกล้เธออย่างช้าๆ ผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงก็ร้องไห้ไม่หยุด แม้กระทั่งอารมณ์ของเธอก็พังทลายไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะของชายสวมหน้ากากเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่ในตอนนี้เอง เงาสีขาวก็พุ่งผ่านพวกเขาและชนเข้ากับชายสวมหน้ากากด้วยเสียงดังสนั่น และส่งชายสวมหน้ากากกระเด็นไปหลายสิบเมตร!
หลังจากนั้นในทันที ร่างสีขาวนั้นก็อุ้มผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงหนีไปโดยไม่พูดอะไรเลย และพวกเขาก็หายไปในเวลาไม่นาน
“ไล่ตามไป!” ชายสวมหน้ากากตะโกนดังลั่น ไม่นานนัก คนของสำนักอสูรจำนวนหนึ่งก็ไล่ตามพวกเขาไป
หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลืออย่างกะทันหัน ผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงก็ปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ในขณะที่มองชายหนุ่มผู้สันโดษที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ เธอก็อดถามออกมาไม่ได้ “ท…ท่านเป็นใครกัน?”
“ข้ามีชื่อว่าเฉินจี โค้ดเนม 9-5-4-2-7!”
“เอ๊ะ? โค้ดเนม นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?” ผู้สืบทอดสำนักชิงหลิง ชิงเฉียนถามด้วยความสับสน
“ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ข้านั้นมีความเลื่อมใสในสำนักอู๋ซินและแอบแฝงตัวเข้ามาในสำนักอสูรเป็นเวลากว่าสิบปี!”
“ท่านมาจากสำนักอู๋ซินเหรอ?” ชิงเฉียนถามด้วยความดีใจและความประหลาดใจ เหมือนกับว่าเธอได้เห็นแสงเล็ดลอดเข้ามาในความมืดอันไร้สิ้นสุด
ในขณะที่มองผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงผู้ใสซื่อ เฉินเฉินก็รู้สึกผิด
‘ข้ามันคนที่ไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว ข้าหลอกลวงคนที่ซื่อสัตย์แล้วจริงๆ’
“อืม ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อสำนัก” เฉินเฉินพยักหน้าอย่างจริงจังหลังจากที่ปลอบตัวเองอย่างเงียบๆ
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากสาขาใหญ่ของสำนักอู๋ซินนั้นมักจะมีความลึกลับอยู่เสมอและมีข่าวลือว่าพวกเขามีดินแดนลับ นอกจากนี้ข่าวลือยังบอกว่ามีค่ายกลที่มองไม่เห็นอยู่รอบสำนักอู๋ซินด้วย
แม้กระทั่งศิษย์ของสำนักอู๋ซินที่อยู่ข้างนอกก็จำเป็นต้องได้รับการชี้นำไปยังตำแหน่งของสำนัก
ด้วยเหตุนี้เอง ครั้งนี้เขาจึงต้องหลอกชิงเฉียน
“ใช่ ข้าเป็นสายลับของสำนักอู๋ซินที่แอบแฝงตัวเข้ามาในสำนักอสูร เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีและชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่บ่อยๆ ดังนั้นข้าก็เลยทนเห็นเจ้าได้รับความอัปยศเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ ข้าต้องช่วยเจ้า ต่อให้มันมีความเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนของข้าก็ตาม!”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่แสดงอยู่บนหน้าของเฉินเฉิน ชิงเฉียนก็รู้สึกตื้นตันอย่างมาก
ในโลกนี้ มีวายร้ายอย่างชายสวมหน้ากาก แต่ก็ยังมีคนดีเหมือนกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้
มันช่วยเรียกความมั่นใจที่เธอมีต่อโลกใบนี้กลับมา
ตูม!
ก่อนที่เธอจะได้ขอบคุณเขา แรงอัดฝ่ามือก็พุ่งมาจากที่ไกลๆและเข้ามาหาเธอจากข้างหลัง!
“ระวังด้วย!” เฉินเฉินตะโกน และปกป้องเธอเอาไว้ในขณะที่ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างกะทันหันแล้วเขาก็กระอักเลือดออกมา
“ท่าน… ท่านไหวไหม?”
“ข้า…ข้าไม่เป็นอะไร รีบหนีกันเถอะ!” เฉินเฉินตะโกนก่อนที่จะเร่งฝีเท้า
ศิษย์สำนักอสูรเองก็หยุดไล่ตาม และแค่มองพวกเขาจากไปเฉยๆ
ชายสวมหน้ากากได้ถอดหน้ากากของเขาออก และในตอนนั้นเองก็ได้เห็นว่าเขาคือหยวนฉิงเทียน
“ทำไมศิษย์พี่ถึงทำตามใจชอบแบบนี้อยู่ตลอด? ท่านทำให้เธอกลัวและจากนั้นก็ช่วยเหลือเธอ นี่ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่?”
ในขณะที่ส่ายหัว หยวนฉิงเทียนก็หายตัวไปในความว่างเปล่า
…
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เฉินเฉินหนีออกไปพร้อมกับชิงเฉียน เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นผลมาจากยาหลอกลวงที่ใช้สำหรับสร้างภาพลวงตาว่าได้รับบาดเจ็บ
“เฉินจี… เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? แบบนี้ข้ากลัวนะ!” หัวใจของชิงเฉียนปั่นป่วนใขณะที่เธอส่งพลังชีวิตเข้ามาในร่างกายของเฉินเฉินอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ชิงเฉียนก็เอาแต่ตำหนิตัวเองและรู้สึกผิด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาปกป้องเธอจากการโจมตีด้วยฝ่ามือ ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นที่แฝงตัวเข้ามาในสำนักอสูรได้เป็นสิบๆปีจะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ได้ยังไง?
“เซียนหญิง… หยุดเสียพลังปราณโดยเปล่าประโยชน์เถอะ การโจมตีนั้นได้ทำลายจุดตันเถียนของข้าและพลังปราณก็กำลังปั่นป่วนในร่างกายของข้า ข้าคงจะอยู่ต่อไปได้ไม่นาน โถ่ ข้าอยากจะกลับไปที่สำนักแล้วบอกท่านอาจารย์ว่าข้าไม่ได้ทำให้เขาอับอายจริงๆ…”
หลังจากพึมพำเรื่องพวกนี้ออกมา เฉินเฉินก็ตาเหลือกแล้วสลบไป