บทที่ 369 เริ่มต้นการอยู่คนเดียว

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

หัสดินกวาดตามอง แล้วหันกลับมา “ไปบริษัท”

ในที่สุดคนทั้งสองก็ไปกันคนละทิศทาง ถนนเดียวกันแต่ทิศทางต่างกัน ความสัมพันธ์เจ็ดปีในที่สุดได้หยุดชะงักลง

จากเด็กสู่ผู้ใหญ่ และจากมหาลัยถึงชีวิตจริง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้

ตอนที่เรนนี่ได้ยินข่าวเรื่องที่พวกหย่ากันก็กำลังอาบน้ำอยู่ หัสดินโทรมาบอก

ได้ยินข่าวนี้ มุมปากของเธอก็ยกขึ้น เอาฟองสบู่ที่อยู่บนร่างล้างออก เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมผ้าไหม

เพื่อที่จะแยกเขากับยู่ยี่ออกจากกัน เธอใช้เวลาแรมปี จนตอนนี้ได้ยินข่าวที่คนทั้งสองหย่ากัน นอกจากความเบิกบานแล้วกลับเป็นความคาดหมายที่คิดไว้

หลายปีมานี้ เธอศึกษานิสัยใจคอของหัสดินอย่างทะลุปรุโปร่ง เขารังเกียจอะไร หลีกเลี่ยงอะไร ชอบอะไร

เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์เวลาอยู่ต่อหน้าเขา เธอเริ่มลงมือตอนสี่ปีที่แล้ว ไปเลือกซองจดหมายเอง แล้วก็ส่งจดหมายที่ละฉบับๆให้กับเขา

ตอนนั้นเธอได้ยินรุ่นพี่พูดว่าวันๆยู่ยี่ชักสีหน้าให้หัสดินทุกวัน ยังคงจับเรื่องนอกใจในตอนนั้นไม่ปล่อย หัสดินเป็นคุณชาย ถึงเงียบมาตลอดอย่างนี้ แต่วันๆกลับต้องมาเดาอารมณ์ เป็นที่ระบาย ประคองความรักมาสองเดือนกว่าๆ ในที่สุดความอดทนของเขาก็เสื่อมถอยลงพอสมควร แล้วก็ค่อยๆเกิดความรำคาญและไม่เป็นสุข

เธอรู้ว่าหัสดินในตอนนี้ในใจต้องการความสงบ ความเงียบ ดังนั้นเธอจงใจเขียนจดหมายให้กับเขา

แต่เนื้อหาในจดหมายไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลย เพียงแค่เริ่มจากสถานะความเป็นเพื่อน สถานที่ที่สวยงาม อาหารอร่อย ขนบธรรมเนียมต่างๆ แล้วก็เรื่องตลก เบื้องหลังของจดหมายทุกฉบับเธอตั้งใจหาเรื่องตลกๆเขียนลงไป

สำหรับผู้ชายแล้ว เธอต้องมีแผนการ ต้องการให้เขาสนใจเธอ แต่อย่าให้การผูกมัดเขา ผู้ชายต่างก็ไม่ชอบการผูกมัดทั้งนั้น ปล่อยได้ปล่อย รัดได้รัด

เธอก็ใช้แผนการนี้ แย่งชิงเขามาได้ทีละขั้นๆ ผู้หญิงน่ะก็ต้องลงมือกับจุดอ่อนของผู้ชายให้ถูก

เธอชัดเจนกับตัวเองมาตลอดว่าต้องการอะไร ทำอย่างไรถึงให้ได้มา!

เธอบอกว่ายู่ยี่ไม่ใช่คู่แข่งของเธอ สิ่งที่ยู่ยี่กับหัสดินมีคือใจ แต่เธอมีมากกว่าคือแผนการในใจ

แม้ว่าจะขาดไปแค่คำเดียว แต่ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมาก ไม่มีใครรับประกันได้ว่าใจของใครจะไม่เปลี่ยนหรืออยู่ยงคงกระพัน

สำหรับแผนการที่อยู่ในใจกลับเลือกลงมือในส่วนที่เป็นจุดอ่อน ครั้งแรกอาจไม่บรรลุเป้าหมาย งั้นก็ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ต้องมีสักครั้งที่เขาจะตกหลุมพราง

หลุมพรางก็เหมือนเหยื่อล่อ เพียงแต่มีครั้งแรกแล้วก็จะค่อยๆเสพติดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่….

อีกฝั่งนึง

ยู่ยี่ไม่ได้วางแผนที่จะอยู่บ้านสิรไพบูรณ์ เชอร์รีนกลับไม่ยอมเพราะเธอเพิ่งจะแท้งลูก ร่างกายยังอ่อนแอมาก ในเวลานี้เธอต้องการพักผ่อนและได้รับการดูแลจากคนอื่นๆ

“ฉันจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้หรอก ต่อจากนี้ฉันยังต้องอยู่ตัวคนเดียว จะว่าไปฉันดูแลตัวเองได้” ยู่ยี่ยืนหยัด

แม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เธอก็รู้จักแยกแยะ แต่การรบกวนคนอื่นอย่างนี้ให้รู้สึกว่าลำบากใจมาก

“งั้นก็อยู่ต่ออีกเดือนนึง รอให้ร่างกายของเธอดีขึ้นแล้วค่อยไป ฉันจะไม่ขวางเธอเลย”

ยู่ยี่ยังคงส่ายหน้า เธอตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง หยุดไม่อยู่ เชอร์รีนก็ไม่ขวางเธอกลับพูดว่า “หาเวลาไปขอบคุณคุณฉันทัชบ้างนะ คืนนั้นที่เกิดเรื่อง เลขาของเขานำตัวเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แล้วเขาก็ตามไปทีหลัง เลือดของเธอที่ไหลออกมาก็เปื้อนเบาะที่นั่งของเขา

เธอตกใจ แล้วพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองรับรู้แล้ว

เชอร์รีนยังคงไม่วางใจเลยไปหาห้องเป็นเพื่อนเธอ ห้องก็โอเค ทำเลก็ดี จราจรสะดวก

สุดท้ายแล้วก็เช่าอพาร์ทเม้นท์ในใจกลางเมือง ห้องนึงมีสองห้อง คนเดียวอยู่พอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่ พอดีๆ หลังจากนั้นเชอร์รีนก็ควักเงินตัวเองหาแม่บ้านมาดูแล กำชับว่าเพิ่งจะแท้งลูกให้เธอนั้นดูแลทุกๆเรื่อง

ยู่ยี่คิดถึงคำพูดนึง ผู้ชายอาจจะไม่ได้เป็นผู้ชายของคุณตลอดไป แต่ว่าเพื่อนสนิทจะยังคงเป็นเพื่อนสนิทของคุณตลอดไป

ได้รู้จักกับเชอร์รีน เธอคิดว่าเป็นความโชคดีของชีวิตเธอ ความโชคดีของเธออาจไม่ได้มากมาย แต่อย่างน้อยในด้านเพื่อนก็เพียงพอ

เชอร์รีนก็เหมือนกัน ตอนนั้นเธอต้องการยืมเจ็ดแสน ยู่ยี่ไม่ได้พูดว่าอะไร ตอนเช้าเธอยังไม่ลุก เธอจึงขับรถมาส่งเธอที่ชั้นล่าง ยังถามเธออีกว่าเงินพอไม่พอ ความรู้สึกนี้ เธอจำได้แม่น

ในที่สุดก็ได้ปักหลักเรียบร้อยแล้ว เชอร์รีนถึงออกไป นาโนได้ยินข่าวนี้ก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้ามาให้

นี่เป็นการอยู่คนเดียวจริงๆครั้งแรกหลังจากเว้นช่วงไปสี่ปี เงียบและสงบ เสียงของนาฬิกาควอตซ์ได้ยินชัดเจน

เธอบังคับให้ตังเองไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น บังคับให้ตัวเองเข้านอน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ขนาดการนอนยังต้องใช้การบังคับ

เธอในตอนนี้รู้สึกกลัวยามกลางคืน….

อีกฟากนึง

ออกัสและดนัยกำลังกินอาหารค่ำในร้านอาหาร ต่างก็พากันรับสายของหัสดินชวนให้ไปบาร์

ออกัสปฏิเสธไปตรงๆและวางสาย แต่ดนัยหาข้ออ้างวางสายลง “ถ้าวันนี้ฉันกล้าไปกินข้าวกับเขา มีหวังนาโนเอาฉันตายแน่ ยู่ยี่ดีจริงๆก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าอะไร!”

“ความสัมพันธ์และการแต่งงานของคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเข้าไปร่วมได้นะ พวกเราเป็นแค่ผู้ดูอยู่ข้างๆ คนนำคือเขา ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร ก็เป็นการเลือกของเขา การเลือกนี้จะเอาผลลัพธ์อะไรมาให้ ก่อนที่จะได้เลือกเขาคงจะคิดตกแล้ว…”

“ตอนนี้เขาถูกเรนนี่ยั่วซะขนาดนั้น จะยังรู้อะไร….”

ออกัสยิ้มน้อยๆ “ดังนั้นนั่นเป็นการเลือกของเขา….”

ทางหัสดินหาคนไปบาร์ด้วยกันไม่ได้ จริงๆแล้วในกลุ่มเพื่อนก็มีออกัสและดนัยที่เข้ากันได้ พวกเพื่อนๆคนอื่นๆเขาไม่ยอมชวนและไม่อยากชวน

ไปบาร์คนเดียวไม่อยากไป อพาร์ทเม้นท์ก็ไม่อยากกลับ ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลง หลังจากนั้นก็หันหัวรถกลับไปชานเมือง

เรนนี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอยิ้มทักทายตามมรรยาทของเพื่อนเชิญเขาเข้ามา แล้วก็โทรหาร้านข้าวจองโต๊ะ เป็นอาหารบ้านๆที่เจอได้ทั่วไป รสชาติใช้ได้

คนทั้งสองกำลังคุยกัน พูดคุยเรื่องราวแต่ก่อน เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มหาลัย พูดไปหัวเราะไป….

จะต้องพูดว่า เรนนี่เป็นคนฉลาดจริงๆ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้า เมื่อไหร่ควรถอย เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งยั่ว

วันที่สอง หลังจากที่ยู่ยี่กินข้าวเสร็จแล้ว ก็ซื้อตะกร้าผลไม้แล้วไปบ้านของฉันทัช

น้ำใจเขาที่ช่วยเธอเยอะอย่างนี้ เธอควรที่จะขอบคุณเขา ยืนอยู่หน้าบ้าน เธอกดกริ่ง

ชั่วครู่นึง ประตูบ้านเปิดออก ฉันทัชกระดกคิ้วขึ้น เขามีแผงอกที่ล่ำสันอยู่แล้ว เสื้อยืดคอลึกขับให้มันอิ่มเอิบขึ้น กางเกงสีเทาควันบุหรี่ ออร่าที่สง่าและล้ำเลิศกระจายออกมาพร้อมทั้งความสุขุมและความเซ็กซี่