ตอนที่ 526 อับจนหนทางอยู่ในที / ตอนที่ 527 เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 526 อับจนหนทางอยู่ในที

 

 

           เหยียนอวี้มองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่งไป เขาถอนหายใจเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้ได้อย่างไร เขารู้แค่เพียงว่าหลังจากที่เขาออกมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้แล้ว เขาก็มุ่งตรงลงไปชั้นหนึ่งนั่งเก้าอี้ที่อยู่นอกอาคาร

 

 

           เขานั่งอยู่เป็นเวลานาน กว่าเขาจะได้สติกลับคืนมา ใบหน้าก็เย็นขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ไป๋จิ่งยกมือขึ้นมาลูบถึงได้รู้ตัวว่า ขณะที่เขาไม่รู้อะไรอยู่นั้น น้ำตาได้ไหลอาบหน้าแล้ว

 

 

           ถ้าเป็นไป๋จิ่งก่อนหน้านี้ ในใจเขาปฏิญาณอย่างหนักแน่นและจริงใจ อยากจะดีกับมั่วไป๋ อยากจะชดเชยทุกอย่างในตอนนั้น

 

 

           แต่ตอนนี้ได้ฟังสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมา ไป๋จิ่งกลับหวาดกลัวแล้ว

 

 

           เขาติดค้างมั่วไป๋มากเกินไป ต่อให้เขามอบทั้งตัวชดใช้คืนให้มั่วไป๋ เกรงว่าจะเติมเต็มอุโมงค์ใหญ่นี้ไม่ไหว

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น รู้สึกอับจนหนทางอยู่ในที

 

 

           ตอนนี้แม้แต่จะเผชิญหน้ากับมั่วไป๋ได้อย่างไร เขาก็ไม่รู้แล้ว

 

 

           หลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมด เขาควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนเผชิญหน้ากับมั่วไป๋

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าการที่เขาพูดต่อหน้ามั่วไป๋ว่า ‘ขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่คุณต้องการ ผมก็ให้คุณได้ทั้งหมด’ เป็นสิ่งที่โง่เขลาถึงขีดสุด

 

 

           เขาติดค้างมั่วไป๋ ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่มีทางจะให้ไหว

 

 

           ข้างๆ มีคนเดินผ่านมาอยู่ตลอดเวลา ไป๋จิ่งมองดูคนที่เดินผ่านไปผ่านมา นัยน์ตาก็ลุกวาว

 

 

           เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันแล้วไปยังร้านสะดวกซื้อที่ซื้ออมยิ้มวันนั้น เข้าไปซื้อลูกกวาดมาจำนวนหนึ่ง

 

 

           เขานั่งลงข้างๆ แกะเอาลูกกวาดออกมาใส่ไว้ในปาก

 

 

           ทั้งที่เป็นรสสตรอว์เบอร์รีหอมลิ้นชัดๆ แต่พอวางในปากแล้ว กลับขมฝาดไม่เหมือนเดิม กินได้ไม่ถึงรสหวานเลยสักนิด

 

 

           เขาก้มหน้ามองลูกกวาดในมือแล้วกำแน่นทันทีหลังจากนั้น

 

 

           หลังจากมั่วไป๋จรดพู่กันวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ กำลังจะเตรียมพักผ่อนสักหน่อย เขาก็เงยหน้ามองดูภายในห้องโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เวลานี้เองเขาถึงได้พบว่าไป๋จิ่งจะออกไปนานแล้ว ยังไม่ได้กลับมาสักที

 

 

           เขาครุ่นคิดพลางลุกขึ้น​มาจากโซฟา ยืดแขนยืดขาคลายอาการเหน็บชา ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่แล้วลงไปใต้อาคาร

 

 

           สถานที่ที่ไป๋จิ่งจะไปได้คงจะมีแค่ที่นี่แล้ว

 

 

           มั่วไป๋ลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ออกจากลิฟต์มาเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ได้เห็นไป๋จิ่งนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งขดตัวเล็กน้อยเหมือนเจ็บปวดทรมานมากจนขดตัวเข้าหากัน

 

 

           หัวใจมั่วไป๋กระตุกวูบ คิดว่าร่างกายเขาไม่สบาย จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

 

 

           เขาเพิ่งจะเดินไม่ถึงสองก้าว ก็เห็นไป๋จิ่งลุกขึ้นยืน เขาเห็นไป๋จิ่งเดินเข้าไปร้านสะดวกซื้อข้างๆ

 

 

           เห็นเขาถือลูกกวาดเดินออกมา

 

 

           เห็นเขาแกะเอาลูกกวาดออกมาชิ้นหนึ่งวางไว้ในปาก เขายกมุมปากขึ้นเหมือนกำลังยิ้มอยู่

 

 

           แต่จากมุมที่มั่วไป๋มองเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋จิ่งไม่น่าดูเอาเสียเลย

 

 

           เขาคิดว่าความยึดติดที่ตัวเองมีต่อไป๋จิ่ง ต่อให้ทำใจปล่อยวางลงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายก็จะเมินเฉยได้เอง

 

 

           แต่นาทีนี้มั่วไป๋ถึงได้ค้นพบ ว่าตลอดชีวิตนี้แท้ที่จริงแล้วตัวเองก็ไม่มีทางที่จะเมินเฉยได้ไหว

 

 

           ดั่งเช่นเวลานี้ เขาเห็นไป๋จิ่งขดตัวเข้าหากัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากเดินเข้าไปสวมกอดไป๋จิ่งไว้

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งเอาลูกกวาดที่เหลือทั้งหมดใส่เข้าในกระเป๋าเสื้อ เขาจัดแจงมุมเสื้อแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

 

 

           เขาออกมานานพอสมควรแล้ว ควรจะกลับไปได้แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนขึ้นแล้วหมุนตัวหันกลับไป เขาก็เห็นมั่วไป๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

           ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางคือทางเดินที่ผู้คนเดินสวนไปมา เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นปลายจมูกของไป๋จิ่งก็รู้สึกเจ็บทันที

 

 

           เขากำมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ้มหัวเราะเบาๆ

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็ขยับตัว ไป๋จิ่งคิดว่าเขาจะเดินออกไป มั่วไป๋ก็จะเดินออกไปจริงๆ ไม่ได้กลับไปห้องพักผู้ป่วย แต่เดินมุ่งหน้ามาหาเขาแทน

 

 

           แสงไฟสาดส่องกระทบใบหน้าที่เย็นชาของมั่วไป๋ แต่ไป๋จิ่งกลับรู้สึกว่าขอบตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อยแล้ว     

 

 

 

 

ตอนที่ 527 เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ

 

 

           มั่วไป๋เดินทะลุผ่านกระแสผู้คน เดินเข้ามาหาไป๋จิ่งทีละนิดๆ

 

 

           ระยะห่างสั้นๆ เพียงไม่ถึงสิบก้าว ราวกับใช้เรี่ยวแรงที่มีของมั่วไป๋ไปทั้งหมดแล้ว

 

 

           เขายืนอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง เชิดริมฝีปากล่างขึ้นเบาๆ “ลูกกวาดของฉันล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาสักที

 

 

           ใช้เวลาอยู่หลายนาที เขาถึงได้มีท่าทีตอบสนองกลับมา รีบร้อนหยิบลูกกวาดที่เพิ่งจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อออกมายัดใส่มือมั่วไป๋อย่างลนลาน “พอไหม ไม่พอผมจะไปซื้อมาอีก”

 

 

           มั่วไป๋มองดูลูกกวาดในมือพลางหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่ง เขาแกะซองออกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พร้อมเอาลูกกวาดใส่เข้าไปในปาก

 

 

           ได้ลูกกวาดแล้ว เวลานี้เองมั่วไป๋ถึงได้หมุนตัวหันกลับเดินออกไป

 

 

           เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา แต่กลับเห็นไป๋จิ่งยังยืนบื้ออยู่ที่เดิม

 

 

           มั่วไป๋เอียงหน้ามอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ “ไม่เดินไปด้วยกันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ต่างจากเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น รีบเอ่ยขานรับทันที “มา มาแล้ว”

 

 

           เสียงฝีเท้าเขาปะปนไปกับเสียงพูด อีกนิดจะสะดุดเท้าตัวเองล้มแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามมั่วไป๋อยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนกลับห้องพักผู้ป่วยไปด้วยกัน

 

 

           มั่วไป๋กลับห้องมาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขานั่งลงบนโซฟากินลูกกวาด ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ มองดูเงาร่างของมั่วไป๋ หัวใจก็ปรวนแปร

 

 

           ‘เขา…อยากจะกอดเขา

 

 

           อยากมาก อยากมากๆ…’

 

 

           ผ่านไปหลายนาที มั่วไป๋ลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำ

 

 

           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็เดินก้าวใหญ่เข้าไป เอื้อมมือโอบกอดมั่วไป๋ไว้ในอ้อมอก

 

 

           นี่คือกอดครั้งที่สองหลังจากที่พวกเขาเจอหน้ากันอยู่โรงพยาบาล

 

 

           ถ้าบอกว่าการกอดครั้งแรกคือการควบคุมอารมณ์และเก็บเอาไว้ในใจ

 

 

           แล้วครั้งนี้คือการใช้เรี่ยวแรงที่อยากจะสลักมั่วไป๋เข้าสู่เลือดเนื้อของตัวเอง กอดเขาไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนัก

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ถามไป๋จิ่งว่า ทำไมต้องกอดตัวเองด้วย

 

 

           เขาไม่พูดจา ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมือ

 

 

           ไม่รู้ว่ากอดนี้อยู่นานเท่าไหร่แล้ว ไป๋จิ่งเสียงแหบพร่าเจือความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด “ผมถามเหยียนอวี้มาแล้ว…”

 

 

           เขาเปิดประเด็นมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินประโยคเปิดมา เขาก็เข้าใจได้ในพริบตา

 

 

           ทั้งสองคนตกอยู่ในห้วงความเงียบงันอีกครั้ง เวลาผ่านไปนานแล้ว มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “ไป๋จิ่ง พวกเราเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ”

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งนอนอยู่เตียง ดวงตาอดที่จะจดจ้องมาที่มั่วไป๋ไม่ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่ไป๋จิ่งกลับไม่ได้มีความง่วงใดๆ ทั้งสิ้น เขาแทบอยากจะแอบปีนขึ้นเตียงของมั่วไป๋แล้วรั้งคนเข้ามากอดไว้ในอก

 

 

           ไม่ทำอะไร แค่เพียงกอดอย่างเรียบง่าย

 

 

           แต่ไป๋จิ่งไม่กล้าทำ ไม่กล้าปีนขึ้นเตียงของมั่วไป๋ ยิ่งไม่กล้ากอดเขา

 

 

           อย่างเดียวที่กล้าทำคือเคลื่อนไหวดวงตาของตัวเอง มองมั่วไป๋ด้วยใจถวิลหาให้ดีที่สุด ไล่สายตาทีละนิดๆ แม้แต่เส้นผมก็ไม่ปล่อยผ่าน

 

 

           ไม่นานก่อนหน้านี้ มั่วไป๋พูดว่า “ไป๋จิ่ง พวกเราเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ”  

 

 

           ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คน กลับทำให้หัวใจไป๋จิ่งที่ตายแล้วไปครึ่งหนึ่งกลับมามีชีวิตได้เพียงชั่วพริบตา

 

 

           แม้กระทั่งมือที่กอดมั่วไป๋ไว้ก็ห้ามอาการสั่นสะท้านไม่อยู่ อีกนิดเกือบจะเสียหน้าเพราะกอดไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

           คืนนี้ไป๋จิ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่ทั้งคืน

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับนอนหลับได้อย่างสนิท

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา มั่วไป๋ตื่นขึ้นมาจากนิทรา เขานอนยืดแขนยืดขาอยู่บนเตียง แต่กลับไม่ระวังไปแตะโดนของอุ่นร้อน

 

 

           ในใจเขารู้สึกแปลกๆ รีบลืมตาขึ้นทันที ก็เห็นไป๋จิ่งนั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ จ้องมาเขาอย่างไม่ละสายตาไปไหน

 

 

           มั่วไป๋ตอบสนองกลับมา “นายนั่งตรงนี้ทำอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยอย่างอายๆ “ไม่มีอะไร ก็แค่ดูไปเรื่อยๆ”

 

 

           ได้ยินคำตอบนี้ มั่วไป๋อดจะมองบนใส่ไม่ได้ เขาไม่ใช่วัตถุอะไรสักหน่อย มีอะไรน่าดูกัน

 

 

           เพียงแต่ว่าเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร แต่หลับตาลงเอามือมากดที่ขมับ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าซีดขาวของเขา ทั้งยังเห็นเขากดขมับ เจ้าตัวก็เข้าใจได้ในทันที

 

 

           เขาส่งมือไปทำหน้าที่แทนมั่วไป๋โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

           มั่วไป๋เห็นมีคนอาสามาทำหน้าที่แทนตัวเอง เขาก็ปล่อยให้ไป๋จิ่งทำ