ภาคที่ 4 บทที่ 48 ความจริง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 48 ความจริง

จูเซียนเหยาค่อย ๆ เดินทางมายังห้องหนึ่งที่ฝั่งตะวันตกของเมืองปราสาทเก่า

เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบใบหน้างามสง่าของใครคนหนึ่งซึ่งนางเห็นในความทรงจำอยู่บ่อยครั้ง

“เยว่หลงซา !” นางผุดลุกขึ้นทันที

“เจ้าเพิ่งฟื้น อย่ารีบร้อนเช่นนั้นเลย” เยว่หลงซายิ้มบาง ก่อนประคองยาถ้วนหนึ่งส่งให้จูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาไม่รับมา หากแต่มองไปรอบกาย จากนั้นหันมามองเยว่หลงซาหวั่น ๆ “ข้าอยู่ที่ไหน ?”

“ก็อยู่ในเมืองปราสาทเก่า จะที่ไหนได้อีกเล่า ?” เยว่หลงซาตอบ

“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”

“พวกเรากำลังไล่ล่าเป้าหมายจากอารามนิรันดร์อยู่ อ้อใช่ ตอนนี้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังลับแห่งอาณาจักรหลงซาง พูดก็พูดเถอะ เจ้าเป็นตระกูลชั้นสูงจากต่างแดน แอบเข้ามาเช่นนี้นับว่าล่วงเกินเขตแดนของเรานะ” เยว่หลงซาหัวเราะ

จูเซียนเหยาส่งเสียงในลำคอไม่ตอบคำ

ในยุคนี้ เผ่าสัตว์อสูรยังเป็นภัย เผ่าพันธุ์ทั้งห้ายังมีอำนาจเหนือใคร ดังนั้นแม้เผ่ามนุษย์จะแบ่งออกเป็นเจ็ดอาณาจักร แต่ก็ยังเป็นมิตรเพราะมีศัตรูเดียวกัน ไม่เช่นนั้น จูเซียนเหยาก็คงลงมือไม่ได้ง่ายเช่นนี้

จูเซียนเหยาว่า “เช่นนั้นซูเฉินอยู่ไหน ?”

“เขาส่งเจ้าให้ข้า ฉะนั้นจะเป็นข้าที่บอกความจริงในอดีตให้เจ้าฟัง ส่วนเขาก็กลับไปทำธุระแล้ว”

“เจ้าน่ะหรือ ?” จูเซียนเหยาหัวเราะเสียงดูถูก “แล้วทำไมข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วย ? เป็นเจ้ากับซูเฉินที่โกหกข้าเมื่อครั้งนั้น ! ข้าต้องการความทรงจำของข้า ไม่ใช่ต้องการฟังเรื่องแต่งอีกเรื่อง !”

ประโยคสุดท้ายจูเซียนเหยาเอ่ยเสียงลั่นออกมา

เยว่หลงซาจึงตอบ “ข้าสัญญาว่าครั้งนี้ทุกอย่างเป็นความจริง”

จูเซียนเหยาคำราม “แล้วทำไมข้าต้องเชื่อ ?”

“เพราะเรื่องมันเลวร้ายมาก มากเสียจน… เจ้าอยากไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง”

“……”

……

……

“……นั่นล่ะคือเรื่องราวทั้งหมด”

หลังจากใช้เวลาสั้น ๆ เล่าเรื่องแล้ว เยว่หลงซาก็สรุปให้ “ความจริงนี่ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็บอกไปแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ตามแต่ใจเจ้าเลย หากต้องการเพิ่มข้าเข้ารายการแก้แค้น ข้าก็ไม่ใส่ใจ”

จูเซียนเหยายังคงนิ่งเงียบ

สำหรับนาง มันคงเป็นเรื่องแย่ที่คงไม่อาจเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้แล้ว

ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่นางกลัว นางตกหลุมพรางซูเฉิน ทำให้อาสิบเอ็ดต้องตาย ทำให้ตระกูลจูเข้าพัวพันกับอารามนิรันดร์และตระกูลสายเลือดชั้นสูงใหญ่ทั้งหก ที่มากไปกว่านั้น นางยังสอนวิชาลับตระกูลให้ซูเฉินจนสิ้น ทำให้เขามีวิชาตระกูลจูทุกอย่าง

เลวร้ายมากเสียจนไม่อาจมากไปกว่านี้ได้แล้ว

แต่กระนั้น จูเซียนเหยาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป

มันเป็นความรู้สึกในใจตรงไหนสักแห่งที่นางเองก็อธิบายไม่ถูก

จูเซียนเหยาเชื่อว่าเยว่หลงซาไม่ได้โกหกนางในครั้งนี้ ทั้งยังเล่าความจริงทุกประการ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีส่วนสำคัญขาดหายไปอยู่

ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่เยว่หลงซาก็ไม่รู้

นางครุ่นคิดเงียบงันอยู่หลายอึดใจ

“ยังมีคำถามอีกหรือไม่ ?” เยว่หลงซาถามขึ้นเมื่อเห็นจูเซียนเหยาเงียบไป

จูเซียนเหยาคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าอยากพบซูเฉิน”

“จำเป็นด้วยหรือ ? เจ้าในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” เยว่หลงซาเอ่ยเสียงฉงน

“ข้าไม่ได้จะประมือกับเขา เพียงแต่อยากถามบางอย่าง”

“ข้าก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือว่าข้าชอบกินอะไร ? ปกติข้าอาบน้ำวันละกี่รอบ ? ข้าใช้ท่าทางพูดจากับคนอื่นอย่างไร ? เรื่องอะไรที่คุยกับซูเฉินบ้าง ? เขาได้บอกเรื่องเล็กน้อยไร้ความสำคัญเช่นนี้กับเจ้าหรือไม่ ?” จูเซียนเหยาเอ่ยถาม

เยว่หลงซาชะงักไป

แน่นอนว่านางไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้

นางรู้แต่เพียงเล่ห์กลและแผนชั่วที่ซูเฉินใช้ แต่ไม่รู้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

จูเซียนเหยาเอ่ย “ข้าอยากรู้”

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม ?” เยว่หลงซาอดถามขึ้นไม่ได้

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“…… ก็คงงั้น” เยว่หลงซาเหลือบมองนอกหน้าต่าง

ทอดสายตาออกไปไกล ๆ เห็นควันลอยโขมงขึ้นจากปราสาท จากนั้นแสงวาบหนึ่งก็ส่องพุ่งขึ้นฟ้า

“พวกเขากลับมาโลกจริงแล้ว” เยว่หลงซาว่า “ไปหาพวกเขาตอนนี้น่าจะดีที่สุด”

นางไม่ได้กล่าวว่าใครแพ้ใครชนะ

ทั้งเยว่หลงซาและจูเซียนเหยาต่างก็เป็นกังวลกับกรต่อสู้ครั้งนี้นัก

ระหว่างทางกลับปราสาทไหลน่าตะวันตก พวกนางก็ได้เห็นปัวเอ่อร์รีบล่าถอยออกมาจากปราสาท พวกลูกน้องล้มลุกคลุกคลานตามหลังกันมา

“เขายังไม่ตาย” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงประหลาดใจนัก

“อาจเพราะซูเฉินยังไม่อยากให้ตาย ปัวเอ่อร์เป็นหัวหน้าเผ่าเกล็ดทราย หากตายไปก็จะเกิดความปั่นป่วนขึ้นได้”

“แต่เช่นนั้นขากลับเราต้องโดนเผ่าเกล็ดทรายโจมตีแน่”

“ก็ดีไม่ใช่หรือ ? อย่างนั้นตระกูลจูกับอารามนิรันดร์จะได้ไม่ต้องรีบหันกลับมาตีกันอย่างไรเล่า” เยว่หลงซาตอบ

จูเซียนเหยาเงียบไปนานก่อนเอ่ยถามขึ้นอีก “เจ้าว่าเรื่องนี้เขาเองก็คิดไว้หรือไม่ ?”

เยว่หลงซาหัวเราะ “เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้น ? หรือว่าไม่เล่า ?”

จูเซียนเหยาไม่ตอบ

เมื่อทั้งคู่มาถึงปราสาทไหลน่าตะวันตก จ้าวจิ่งเหวินก็เดินออกมาทักทาย “คุณหนู เห็นท่านไม่เป็นไรข้าดีใจนัก”

“ซูเฉินเล่า ?”

“เขาอยู่ข้างใน กำลังหารือกันว่าจะออกไปอย่างไรขอรับ” จ้าวจิ่งเหวินถอนหายใจ

ถึงตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าโหยวเทียนหย่างตัวปลอม แท้จริงคือซูเฉิน เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกทีเดียว

จูเซียนเหยารีบสับเท้าเดินเข้าห้องไป

จ้าวจิ่งเหวินเอ่ย “คุณชายโหยวกลับมาแล้ว ท่านอยากไปพบหรือไม่ ?”

จูเซียนเหยาชะงักไป ก่อนจะตอบหลังฉุกคิดครู่หนึ่ง “ให้เขาพักสักหน่อย… เขากับข้าเป็นเพียงสหายกัน เข้าใจหรือไม่ ?”

“ขอรับ !” จ้าวจิ่งเหวินก้มหน้าลง

ในเมื่อโหยวเทียนหย่างที่เอาชนะใจนางไม่ใช่โหยวเทียนหย่างตัวจริง ความรู้สึกของจูเซียนเหยาจึงหายไปคล้ายกับหมอกควัน

สมาชิกตระกูลจูที่หวังว่าให้ทั้งคู่ครองครู่กันคงได้แต่ถอนหายใจ

เมื่อเข้าห้องโถงใหญ่มา นางก็เห็นจูไป๋อวี่ ฉือหมิงเฟิง ซูเฉิน และคนอื่น ๆ กำลำนั่งหารือเรื่องราวกันอยู่

เมื่อจูไป๋อวี่เห็นว่าจูเซียนเหยากลับมาแล้ว เขาก็ถอนหายใจโล่งอก “เซียนเหยา กลับมาแล้วหรือ ? ดีจริง”

เขารออยู่ที่นี่ก็เพื่อรอจูเซียนเหยา

“ในเมื่อคุณหนูกลับมาแล้ว เช่นนั้นคำสัญญาก็สิ้นสุด ข้าคงไปได้แล้วกระมัง ?” ซูเฉินเอ่ยถาม

“ข้าไม่ได้บอกว่าไปได้ !” จูเซียนเหยาควัดสายตาจ้องซูเฉินด้วยความโกรธ

“อะไรกัน ? อยากแก้แค้นล้างหนี้งั้นหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะตอบ

“เปล่า เพียงแต่จะให้เจ้าทำตามสัญญาจนถึงที่สุด”

“นางไม่ได้บอกความจริงเจ้าหรือ ?”

“มันไม่พอ !” จูเซียนเหยาว่าพลางเดินเข้าไป “ข้าต้องรู้เรื่องทุกอย่างในสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่หลวงเพียงไหน ! มีเพียงเช่นนั้นถึงจะเรียกว่าความจริงโดยสมบูรณ์”

“ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่หลวง ? ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเลยหรือ ?” ซูเฉินอึ้งไป “เรื่องเช่นนั้นพูดเอาสองสามประโยคไม่ได้หรอก”

“เช่นนั้นเดินทางไปก็เล่าไป !” จูเซียนเหยาตอบ

เดินทางไปก็เล่าไป ?

ทุกคนชะงักไป

นี่พวกเขาจะเดินทางไปด้วยกันหรือ ?

“อะไร ? เจ้าไม่กล้าไปกับข้าหรือ ?” จูเซียนเหยาถาม

“…… เปล่า”

แม้จะไม่อยาก แต่ซูเฉินก็ได้แต่ทำใจแข็งตอบตกลงไป

มีเพียงจูไป๋อวี่เท่านั้นที่มุ่นคิ้วมองเหตุการณ์

ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกลางไม่ดีเอาเสียเลย