บทที่ 49 คู่แข่ง
ด้วยไม่มีอะไรมาขัดขวางอีก การหารือจึงจบลงและทุกคนก็เริ่มออกเดินทางทันที
แต่ก่อนออกเดินทาง ซูเฉินยังไม่ลืมเอาซาเค่อไปด้วย
ตระกูลจูเห็นซูเฉินหมกมุ่นกับการทดลองเช่นนี้ไม่คุ้นตาอย่างอารามนิรันดร์ จูเซียนเหยาจึงเอ่ยถามขึ้น “จะเอาเขาไปด้วยทำไมหรือ ?”
ซูเฉินตอบกลับเรียบง่าย “ทดลอง”
จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินเงียบ ๆ ดูสับสนอยู่บ้าง
นางไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเดจาวูเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน
คำตอบราวกับติดอยู่ที่ปลายลิ้น หากแต่นางก็จำมันไม่ได้
หรือความหมกมุ่นเรื่องการทดลองของซูเฉินมันจะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่หายไปของนางกัน ?
นางไม่อาจรู้ แต่ยิ่งนางเลี่ยงไม่อยากคิด นางก็ยิ่งคิดมากขึ้นไปอีก
จูเซียนเหยายังไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องรู้สึกเช่นนี้ด้วย
หรือจะเป็นเพราะปฏิสัมพันธ์ที่นางเคยมีต่อซูเฉินในอดีต ? หรือจะเป็นดอกรักที่นางหว่านไว้ผ่านจุมพิตนั่น ? หรือจะเป็นหนึ่งในความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาหลอกหลอนนางเอง ?
จูเซียนเหยาไม่อาจรู้คำตอบ แต่นางรู้ว่านางจะไม่ยอมปล่อยซูเฉินไปเช่นนี้แน่
เรื่องที่นางอยากรู้เรื่องอดีตเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น จูเซียนเหยาเพียงแต่อยากอยู่กับซูเฉินเท่านั้น
มันเป็นความต้องการจากลึก ๆ ในหัวใจของนาง
และนางไม่อาจต้านทานมันได้
นางมองซูเฉินอยู่เช่นนั้น เงาร่างของโหยวเทียนหย่างก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ “เหยาเหยา”
“อะไรหรือ ?” จูเซียนเหยาตอบทั้งที่ไม่หันกลับไป
“สายเลือด… สายเลือดของข้าตื่นขึ้นแล้ว”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
“ข้า…. ข้าปกป้องเจ้าได้แล้วนะ” โหยวเทียนหย่างว่าพลางลูบท้ายทอย
จูเซียนเหยาเหลือบมอง จากนั้นกลับไปสนใจซูเฉินที่กำลังง่วนกับการเก็บของต่อ “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปกป้อง”
“แต่…. ข้า…” เจ้าอ้วนน้อยไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอยากเอ่ยคำบางคำ แต่กลับเค้นออกมาไม่ได้
จูเซียนเหยาหันกลับมามองเขา โหยวเทียนหย่างจึงได้แต่หดตัวกลับไปอย่างเชื่อฟัง จูไป๋อวี่ถอนหายใจแล้วตบไหล่อีกฝ่ายหมายจะปลอบ “ช่างมันเถอะ บางอย่างเราก็บังคับไม่ได้”
“อาหก เหยาเหยาไม่ชอบข้าเพราะข้าขี้เหร่หรือ ?” โหยวเทียนหย่างถามจูไป๋อวี่ด้วยนัยน์ตาปริ่มน้ำตา
จูไป๋อวี่นึกไปถึงจุมพิตที่จูเซียนเหยามอบให้ซูเฉินตอนที่กำลังจะเปิดทางเข้าแดนลับ
หาก ‘โหยวเทียนหย่าง’ คนนั้นเป็นคนเดียวกับคนนี้ จูเซียนเหยาก็คงยอมทิ้งคลังสมบัติไม่ยอมจูบแล้วกระมัง
เขาถอนใจอีกครา “เชื่อข้าเถอะเทียนหย่าง ตอนที่ข้าบอกเจ้าว่าที่บุรุษไม่อาจชนะใจสตรีได้ไม่ใช่เพราะเรื่องหน้าตา แต่เป็นเพราะสภาวะอารมณ์ต่างหาก”
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไปเช่นกัน
โหยวเทียนหย่างยืนอึ้งไป เขาหันกลับไปจ้องปาเลี่ยหยวน “ข้านิสัยไม่ดีหรือ ?”
ปาเลี่ยหยวนลูบท้ายทอยตนเอ่ยตอบ “นายน้อย ท่านเป็นคนดี แต่ตอบตามตรง…. หากให้ข้าเลือกนายท่านได้เอง ข้าก็คงจะเลือกนายน้อยตัวปลอมผู้นั้น”
โหยวเทียนหย่างก้มหน้าลง พึมพำว่า “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง สีหน้าผิดหวังนัก
เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็เดินเข้ามาหาโหยวเทียนหย่างพลางเอ่ย “ข้าจะแนะนำเจ้าอย่าง นับว่าเป็นคำขอโทษที่ทำผิดต่อเจ้ามานานก็ได้กระมัง หากข้าเป็นเจ้า เขาพูดว่าเช่นนั้นข้าเตะเขาลอยแล้ว”
โหยวเทียนหย่างเอ่ย “เลี่ยหยวนเป็นคนดี แค่เวลาพูดไม่คิดเป็นบางครั้งเท่านั้น”
ซูเฉินตอบ “ข้ารู้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ เขาอาจทำอะไรไม่คิดได้ แต่เขาต้องเคารพเจ้า ความเคารพนี้ไม่ใช่นิสัยของเขา แต่เป็นความรู้และความเคยชิน กระทั่งสุนัขยังเรียนรู้ได้ หากเจ้ากำราบลูกน้องตนเองยังไม่ได้ แล้วจะไปสู้ใครได้ ?”
ซูเฉินพูดจบก็เดินจากไป
โหยวเทียนหย่างชะงักค้าง จากนั้นหันไปเหลือบมองปาเลี่ยหยวน
ปาเลี่ยหยวนพยักหน้า “ข้าว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผลนะขอรับนายน้อย”
ผัวะ !
ปาเลี่ยหยวนถูกอัดกระเด็นไป
โหยวเทียนหย่างเก็บหมัดกลับ บนใบหน้าอวบอ้วนคือสีหน้าจริงจัง “ข้าจะเรียนรู้ให้ดีที่สุด !”
————————————
ซูเฉินนั่งอยู่ภายในรถลากอูฐหมาป่า กำลังอ่านตำราอย่างขะมักเขม้น
มันเป็นตำราที่ได้มาจากคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ บันทึกเรื่องการศึกษาจิตใจของคนเอาไว้
ซูเฉินตั้งใจอ่านมากจนลืมไปเลยว่าตรงกันข้ามยังมีคนอีกคนนั่งอยู่ คือจูเซียนเหยา
จูเซียนเหยาไม่โกรธ ทั้งยังรินชาถ้วยหนึ่งให้ซูเฉินแล้วเอ่ยเสียงค่อยขึ้น “เจ้าอ่านตำราคงเหนื่อย พักดื่มชาสักหน่อยเถอะ”
ไม่ว่าใครเห็นภาพฉากนี้คงได้ขยี้ตามองไม่อยากเชื่อแน่
ไหนว่าอยากได้ความจริง ?
ไหนว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต ?
หญิงสาวแต่งงานแล้วผู้นี้จู่ ๆ โผล่มาจากที่ใดกัน ?
หากโหยวเทียนหย่างอยู่ด้วยก็คงตวาดลั่นออกมาแล้ว
ทว่าโหยวเทียนหย่างนั้นไม่ได้อยู่บนรถด้วย เป็นเยี่ยเม่ยต่างหาก
หญิงสาวนั่งอยู่ด้านข้างซูเฉิน มีจูเซียนเหยานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางจ้องจูเซียนเหยาด้วยความโกรธพร้อมกับบุ้ยปากจนปลายังต้องภูมิใจ
นางไม่รู้ว่าทำไมนางถึงไม่ชอบจูเซียนเหยานัก อาจเพราะเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ต้นงั้นหรือ ? หรือเป็นเพราะอย่างอื่น ?
หญิงสาวจิตใจเรียบง่ายผู้นี้ไม่อาจคิดหลายเรื่องในคราวเดียวกันได้ ทำอะไรจึงมักใช้สัญชาตญาณเป็นหลัก
หากไม่ชอบ เช่นนั้นก็คือไม่ชอบ ยังจะต้องมีเหตุผลอะไรอีกเล่า ?
เมื่อนางเห็นจูเซียนเหยารินชาให้ซูเฉิน นางเองก็หยิบผลไม้ลูกหนึ่งส่งให้เขาด้วย “เอ้า กินนี่สิ”
ซูเฉินกัดผลไม้จิบชา “ขอบใจ”
แล้วก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อ
จูเซียนเหยากับเยี่ยเม่ยเหลือบมองกัน ก่อนเป็นเยี่ยเม่ยที่ส่งเสียงฮึ่มและสะบัดหน้าไปอีกทาง
เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนั้น จูเซียนเหยาก็เลิกคิ้วสูง
สตรีตระกูลจูไม่กลัวเรื่องเช่นนี้หรอกนะ
แท้จริงแล้วจูเซียนเหยาเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเช่นกัน นางเพียงแค่อยากใกล้ชิดกับซูเฉินมากกว่าเดิม เข้าใจเขาให้มากกว่าเก่า คิดแล้วว่าหากเยี่ยเม่ยไม่เป็นศัตรูกับนางเช่นนี้ นางก็คงจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปแล้ว ทว่าท่าทีของเยี่ยเม่ยกลับจุดความอยากแข่งขันในตัวนางขึ้นมา (ในที่สุดนางก็หาเหตุผลให้ตนเองได้สักที !)
นัยน์ตานางเคลื่อนกลับไปมา ก่อนนางจะเอ่ยถามขึ้น “รู้อะไรจากตำราของขาปี่เอ๋อซือบ้างหรือยัง ?”
ซูเฉินม้วนตำราเก็บแล้วถอนหายใจ “ขาปี่เอ๋อซือสมกับที่เป็นหัวหน้าเผ่าวิญญาณจริง การทดลองเรื่องจิตของเขาเรียกได้ว่าแทบเป็นระดับเซียน ประสบการณ์มากมาย พวกเราชาวมนุษย์เทียบกันแล้วด้อยกว่าเขามาก ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาอยากมาตั้งห้องทดลองที่นี่ นอกจากภาพฉายพลังงานสูญแล้ว เขายังอยากศึกษาความลับเบื้องหลังการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตด้วย”
“การถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ? หมายถึงวิญญาณไร้ชีพหรือ ?”
“ใช่แล้ว เขาใช้การทดลองกับวิญญาณไร้ชีพเพื่อทำให้เข้าใจจิตวิญญาณของคนมากขึ้น”
“เช่นนั้นแล้วหากเจ้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของเรื่องจิตวิญญาณกระจ่างแจ้งเมื่อไร พลังจิตก็จะเพิ่มขึ้นอีกกระมัง ?” จูเซียนเหยาถาม
ซูเฉินหัวเราะ “สิ่งนี้เป็นเพียงความรู้ที่ทำให้เข้าใจเรื่องรอบตัวมากขึ้นเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการบ่มพลังหรือเรื่องเพิ่มพลังจิตหรอก”
จูเซียนเหยาเม้มปาก “เช่นนั้นก็หมายความว่ามันไร้ประโยชน์น่ะสิ ?”
“ก็อาจไม่ใช่” ซูเฉินตอบเสียงลึกลับ “ทว่าในสายตาข้า ข้ามองมันว่ามีประโยชน์นัก”
“เช่นอะไรบ้าง ?” จูเซียนเหยาเผยสีหน้าตื่นเต้นขึ้น
ซูเฉินยังทำตัวลึกลับต่อไป “ตอนนี้มันเป็นความลับ”
จูเซียนเหยาหน้าคว่ำทันใด
คนทั้งสองยังคุยต่อสนุกสนาน ทว่าเยี่ยเม่ยกลับไม่อาจพูดแทรกได้สักคำ ทำได้เพียงนั่งมองด้วยความขุ่นใจ บีบมีดสั้นในมือแน่นแล้วเฉือนมันลงพื้นไม้ของรถไปเรื่อย
ในใจนางก็สาปแช่งคำแล้วคำเล่า แทงให้ตาย…… แทงให้ตาย…… แทงให้ตายไปเลย……
เปรี๊ยะ !
แล้วพื้นรถม้าก็พลันปริแตก