บทที่ 460 หายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 460 หายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ติงซานฉือรับช่วงอธิบายต่อ “อีก 7 วันหลังจากนี้ จะมีนักบวชจากวิหารของทางการ ถูกส่งมาโจมตีวิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่ง และการที่วิหารประจำเมืองของเราจะสามารถป้องกันตัวเองได้ ก็มีแต่ต้องพึ่งพาพลังขององค์เทพีกระบี่แต่เพียงผู้เดียว หรือมิเช่นนั้น ก็ต้องอาศัยพลังของผู้ที่ถูกเลือกประจำวิหารถ่ายทอดคำสั่งจากองค์เทพี เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าวิหารเทพประจำเมืองแห่งนี้ ได้รับการคุ้มครองจากเทพีกระบี่จริงๆ แต่หากปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้น เลือดก็จะไหลนองวิหารเทพด้วยการสังหารหมู่อย่างโหดร้ายทารุณที่สุด…”

“เหลวไหลเกินไปแล้วนะขอรับ”

เด็กหนุ่มร่างอ้วนเซียวปิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

“นั่นสิ แบบนี้เท่ากับต้อนให้วิหารเทพของพวกเราจนมุมชัดๆ”

เถียนเถียนพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ “หากมีกฎเช่นนี้อยู่จริง นั่นมิหมายความว่าวิหารใหญ่ที่มีอำนาจอยู่ในมือ จะสามารถกวาดล้างวิหารเล็กๆ ได้ตามอำเภอใจเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการหรือขอรับ ดีไม่ดี การเที่ยวกล่าวหาผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ อาจจะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในภายหลังก็เป็นได้”

“ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าว่าอีกไม่นาน ศาสนาของพวกเราได้ล่มสลายแน่”

ฉุยหมิงโหลวก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาด้วยความไม่อยากเชื่อเช่นกัน

ส่วนบรรดาเด็กหนุ่มและเด็กสาวผู้มีสถานะเป็นลูกศิษย์ในสถานศึกษา เพิ่งจะเคยได้ยินกฎข้อนี้เป็นครั้งแรก

ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขารับทราบเพียงแต่ว่าวิหารเทพประจำเมือง มีหน้าที่เผยแพร่คำสอนของวิหารเทพกระบี่ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และขจัดปัดเป่าสาวกปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในเมือง ในสายตาของกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาว วิหารเทพประจำเมืองจึงเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่เมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวไม่รู้เลยว่ากฎที่ฟังดูไม่ยุติธรรมข้อนี้แหละ คือสิ่งที่ช่วยเหลือให้ความศรัทธาต่อเทพีกระบี่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน

ติงซานฉือยังคงเป็นคนที่ช่วยคลายความสงสัยให้แก่ทุกคน “แน่นอนว่าการขออนุมัติกระทำการตรวจสอบวิหารเทพและอัญเชิญเทพีกระบี่นั้น ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ การจะได้รับอนุมัติหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสองอย่าง หนึ่งคือการลงนามรับรองโดยหัวหน้านักบวชระดับสูง ถ้าไม่มีหัวหน้านักบวชจากวิหารหลวงลงนามรับรอง การตรวจสอบก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ หรืออีกหนึ่งหนทางที่เป็นไปได้ก็คือ ผู้ที่จะทำการตรวจสอบต้องเป็นร่างทรงเทพเจ้าระดับสูงประจำวิหารเทพในเมืองใดเมืองหนึ่งเท่านั้น หากขาดองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถทำการตรวจสอบวิหารได้เด็ดขาด และการตรวจสอบวิหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็มีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต”

“งั้นก็หมายความว่าเจ้าคุณชายเหลียนซานอะไรนั่น มันได้รับการอนุมัติมาจากวิหารหลวงแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”

ไป๋ชินหยุนเปลี่ยนจากยกมือกอดอก เป็นยกมือขึ้นมาจับคางตนเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ว่าแต่ทำไมวิหารหลวงถึงมีความเห็นว่าวิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่งของพวกเรา สมควรที่จะต้องได้รับการตรวจสอบด้วยล่ะเจ้าคะ ในเมื่อพวกเราไม่ได้กระทำการผิดปกติอะไรเลยสักหน่อย?”

ฉุยหมิงโหลวแทรกขึ้นมาว่า “มีความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ ทางวิหารที่หนุนหลังคุณชายเหลียนซาน มีร่างทรงเทพเจ้าระดับสูงอยู่ในสังกัด”

“นั่นแหละ”

ฉู่เหินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นมากที่สุด เพราะการตรวจสอบเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ไม่ใช่สิ มันไม่มีเหตุผลเลยที่ทางวิหารหลวงจะต้องอนุมัติการตรวจสอบวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งสักนิด เพราะวิหารของพวกเรามีภาพลักษณ์ที่ดีมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีร่างทรงเทพเจ้าอยากจะตรวจสอบด้วยตนเอง การตรวจสอบก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่วันเช่นนี้แน่”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ไม่ยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิมหรือขอรับ?”

ฉุยหมิงโหลวถามด้วยสีหน้าเหมือนคนหมดแรง “เมื่อมีการเผชิญหน้ากับร่างทรงเทพเจ้าของฝ่ายนั้น ก็หมายความว่าพวกเราไม่มีทางให้หันหลังกลับได้อีกแล้ว”

“ดังนั้น นักบวชในวิหารของพวกเราจึงจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากเทพีกระบี่จริงๆ น่ะสิ มีแต่การสร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ขึ้นมาเท่านั้น วิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่งถึงจะถือว่าผ่านการตรวจสอบและสามารถอัญเชิญเทพเจ้าลงมาได้สำเร็จ”

หลิวฉีไห่ว่า

บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงและเศร้าใจ

วิหารเทพประจำเมืองหยุนเมิ่ง เป็นเพียงวิหารเล็กๆ อยู่ห่างไกลความเจริญ มีหัวหน้านักบวชคือนักพรตหญิงชิน วิหารแห่งนี้มีนักบวชในสังกัดไม่เกิน 100 คน และส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงเด็กสาวอ่อนประสบการณ์ ซ้ำยังมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นธรรมดาสามัญ

ไม่เคยมีใครเป็นนักบวชกึ่งนักรบ หยิบจับกระบี่ออกไปต่อสู้อย่างจริงจังมาก่อน

แล้วพวกนางจะสามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

หากไม่มีการสนับสนุนจากวิหารเมืองข้างเคียง วิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งก็คงปราศจากหนทางที่จะหนีรอดการสังหารหมู่แล้วจริงๆ

ให้ตายสิ

ทุกคนอยากรู้เหลือเกินว่าร่างทรงเทพเจ้าผู้ต้องการตรวจสอบวิหารประจำเมืองของพวกเขานั้น เป็นใครมาจากไหนกันแน่? และเพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?

บัดนี้ บรรยากาศในตำหนักไม้ไผ่เต็มไปด้วยความเศร้า

เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็รู้สึกว่าอาหารและสุราที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้มีรสชาติอร่อยเลิศล้ำอีกแล้ว ไม่มีใครมีอารมณ์อยากจะรับประทานอาหารอีกต่อไป

แต่จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากชั้นบนของตัวบ้านพัก

หลินเป่ยเฉินวิ่งลงบันไดมาในสภาพที่ทรงผมยุ่งเหยิง “โอ๊ย หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย…”

หลินเป่ยเฉินกระโจนเข้ามาหาเนื้อย่างชิ้นใหญ่และเริ่มต้นสวาปามด้วยความหิวโหย

“อ้าว หลินเป่ยเฉิน เจ้าตื่นแล้วรึ?” ไป๋ชินหยุนตะโกนด้วยความดีใจ “บัดนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็… รู้สึกอร่อยน่ะสิ อร่อยมากเลยล่ะ…”

หลินเป่ยเฉินกินไปด้วยพร้อมกับพยักหน้าทักทายทุกคนไปด้วย

หลังจากรับประทานอาหารภายใต้การจ้องมองของสายตาจำนวนมากอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเด็กหนุ่มก็หันหน้ามาถามติงซานฉือว่า “อาจารย์ขอรับ ศิษย์สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว หลังจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ของอาจารย์แล้วนะขอรับที่ต้องเอาชนะให้ได้เช่นกัน ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความมั่นใจในการระเบิดศีรษะเจ้าหัวหมูเน่านั่นสักกี่ส่วน?”

เจ้าหัวหมูเน่า?

ติงซานฉือต้องใช้เวลานึกอยู่นานทีเดียว กว่าจะเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินกำลังหมายถึงจูปี้ฉี

“ข้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้แน่นอน”

ติงซานฉือยิ้มแย้ม

เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังไม่มีความมั่นใจถึงขนาดนี้

แต่ว่าบัดนี้…

ระดับพลังของติงซานฉือได้เลื่อนขึ้นมาแล้ว

“ศิษย์จะต้องไปให้กำลังใจอาจารย์แน่นอนขอรับ”

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะสอบถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น “การประลองของพวกท่านในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากคนทั่วทั้งมณฑล ไม่ทราบว่าจะมีการถ่ายทอดสดไหมขอรับ?”

ไป๋ชินหยุนรู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดดักคอว่า “นี่เจ้าวางแผนจะรับงานโฆษณาอีกแล้วหรือ?”

หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มหวานให้กับติงซานฉือ “อาจารย์ขอรับ การรับงานโฆษณาไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยนะขอรับ เพียงพูดไม่กี่ประโยค ท่านก็ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำแล้ว อาจารย์ไม่สนใจจะรับงานโฆษณาบ้างหรือขอรับ?”

เพี๊ยะ!

ติงซานฉือยกมือตบศีรษะหลินเป่ยเฉินเสียงดังสนั่นลั่นห้อง “เจ้าลูกเต่าบัดซบ คิดว่าอาจารย์คนนี้จะมีนิสัยเห็นแก่เงินเหมือนเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“เอ้า”

หลินเป่ยเฉินยกมือกุมศีรษะ พูดด้วยความไม่พอใจ “แล้วมันไม่ดีหรือขอรับ หากการประลองของท่านได้รับการถ่ายทอดสดไปทั่วมณฑล หลังจากที่ศิษย์หักส่วนแบ่งค่านายหน้าไปแล้ว อาจารย์ก็จะได้รับค่าโฆษณาถึง 8 หมื่นเหรียญทองคำเลยนะขอรับ”

“เยอะขนาดนั้นเชียวหรือ?”

เสียงพูดของติงซานฉือเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

“ใช่แล้วขอรับ… อาจารย์นึกดูสิว่าเงินจำนวนนั้นจะสามารถนำไปซื้อทรัพยากรสำหรับฝึกวิชาได้มากมายขนาดไหน”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาอีกครั้งและกล่าวว่า “เฮ้อ อาจารย์นี่ไม่มีพรสวรรค์ในด้านการหาเงินเลยนะขอรับ สงสัยโฆษณาที่ติดต่อเข้ามาเหล่านั้น… ศิษย์คงต้องคิดหาทางปฏิเสธเสียแล้ว”

“ไม่ต้อง”

ติงซานฉือยกมือโบกสะบัดและพูดหน้าตาเฉย “เจ้ายังจำเป็นต้องใช้เงิน นี่เป็นโอกาสหาเงินของเจ้าเช่นกัน เอาเป็นว่าโฆษณาพวกนั้น… ให้เวลาอาจารย์ได้ตัดสินใจหน่อยนะ”

“อาจารย์ก็เป็นไปกับลูกศิษย์ด้วยหรือนี่…”

ไป๋ชินหยุนพึมพำด้วยความละเหี่ยใจ

ติงซานฉือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

แต่จังหวะที่อดีตเซียนกระบี่วัยชรากำลังจะพูดบางอย่างออกมา เถ้าแก่สวนแตงโมร่างอ้วนอู๋เฟิ่งกูก็ได้เดินเข้ามาในตำหนักไม้ไผ่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการค้าอีกหลายคน

พวกเขามาเพื่อรับรองการลงนามในสัญญาโอนถ่ายเหมืองแร่หินบูชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ใช้เวลาเพียง 1 ก้านธูป การลงนามในสัญญาหลายฉบับก็เป็นอันเสร็จสิ้น

อู๋เฟิ่งกูตัดสินใจได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องได้รับส่วนแบ่งจากเด็กหนุ่มแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีทางที่พ่อค้าคนอื่นจะมาฉกฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้ได้อีก

เมื่อการลงนามเสร็จสิ้น อู๋เฟิ่งกูก็ทิ้งศิลาบูชาไว้ให้พวกเขาเป็นจำนวนถึง 10 ชั่ง ก่อนที่เถ้าแก่ร่างอ้วนจะเดินจากไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้น

เมื่อเห็นสัญญาที่กองอยู่เบื้องหน้าพร้อมด้วยของตอบแทนจากเถ้าแก่สวนแตงโม หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่ส่งเสียงครางออกมาอย่างมีความสุข

นี่แหละ

รสชาติของความร่ำรวย

นับจากนี้ไป เขาจะเป็นคนรวยแล้ว

หลินเป่ยเฉินไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครหลอกเงินอีกต่อไป

เขาไม่เชื่อว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะสามารถหลอกเงินเขาได้จนเหมืองแร่หินบูชาต้องล้มละลายเด็ดขาด