บทที่ 461 เจ้ารู้จักข้าหรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 461 เจ้ารู้จักข้าหรือไม่

 

 

แร่หินบูชาเป็นก้อนศิลาที่ดูดซับพลังปราณธาตุจากธรรมชาติเอาไว้จำนวนมาก

 

 

ศิลาแต่ละก้อนจึงมีพลังมหาศาล

 

 

บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ก็สามารถดูดซับพลังจากศิลาบูชาเหล่านี้ได้เช่นกัน เพราะมันจะช่วยเพิ่มระดับพลังลมปราณได้รวดเร็วมากกว่าปกติ

 

 

และยังช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

 

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถแบ่งแยกออกเป็นได้สองประเภท ประเภทแรกคือผู้ที่นั่งสมาธิบำเพ็ญตบะรวบรวมพลังปราณธาตุจากดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติ ส่วนประเภทที่สองก็เป็นกลุ่มคนที่นิยมดูดซับพลังปราณธาตุจากแร่หินบูชาเหล่านี้

 

 

และถ้าพูดกันตามความจริง การดูดซับพลังจากแร่หินบูชาจะมีประสิทธิภาพมากกว่าดูดซับพลังด้วยตนเองจากธรรมชาติ

 

 

แต่ปัญหาก็คือแร่หินบูชาเหล่านี้นับเป็นของหายาก

 

 

หากไม่ใช่ตระกูลขุนนางหรือมีฐานะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี ก็ไม่มีทางได้ครอบครองศิลาบูชาเหล่านี้เด็ดขาด

 

 

ดังนั้น ศิลาบูชาที่อู๋เฟิ่งกูนำมากองให้พวกเขา จึงเป็นของขวัญที่นับว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง

 

 

ถ้านำไปขาย…

 

 

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที

 

 

ถ้านำไปขาย เขาก็คงกลายเป็นมหาเศรษฐีในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

 

 

ยามอยู่ที่โลกใบเก่า หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาสามัญ ครอบครัวไม่ได้ร่ำไม่ได้รวย เขาไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง หลายครั้งจึงเกิดความขัดสนทางเงินทองอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้…

 

 

เพราะฉะนั้น เขาจึงมีความคิดที่จะนำแร่หินบูชาเหล่านี้ออกไปวางจำหน่าย

 

 

แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์หลายอย่างยังไม่เป็นใจ ทำให้บัดนี้หลินเป่ยเฉินยังไม่อาจทำตามความต้องการของตนเองได้

 

 

เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้กับกองแร่หินบูชาตรงหน้า จากนั้นเขาก็หยิบพวกมันขึ้นมาทั้งหมดและผลักไปกองอยู่ตรงหน้าติงซานฉือ

 

 

“อีกสามวันต่อจากนี้ อาจารย์ก็ต้องไปประลองกับจูปี้ฉีแล้ว อาจารย์นำศิลาเหล่านี้ไปดูดซับพลังเถิดขอรับ”

 

 

รอยยิ้มของหลินเป่ยเฉินมีแต่ความจริงใจ ใสซื่อและอบอุ่น

 

 

ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

 

 

เป็นไปได้อย่างไรที่หลินเป่ยเฉินจะไม่นำก้อนศิลาบูชาเหล่านี้ไปขาย

 

 

แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูให้ดี แม้หลินเป่ยเฉินจะสามารถทำเงินได้มากมายจากการรับงานโฆษณาระหว่างการประลอง แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่เคยขี้เหนียวต่อผู้ที่เป็นมิตรสหายกับเขาเลย

 

 

ดังนั้น ทุกคนจึงรู้สึกซาบซึ้งใจ

 

 

ทว่า พวกเขาก็รู้ดีว่าระดับพลังของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ยังไม่คงที่ และเขาก็จำเป็นต้องใช้ศิลาบูชาเหล่านี้เช่นกัน

 

 

“เจ้าไม่เก็บเอาไว้ให้ตนเองสักหน่อยหรือ”

 

 

ติงซานฉือพูดด้วยความตื้นตันใจ

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับอาจารย์”

 

 

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างวางมาด “ยังไงข้าก็มีเหมืองแร่หินอยู่แล้ว ศิลาที่มอบให้แก่ท่านเหล่านี้ เป็นเพียงเศษขยะในสายตาข้าเท่านั้น”

 

 

ความซาบซึ้งใจบนสีหน้าของทุกคนสลายหายวับไปทันที

 

 

เพี๊ยะ!

 

 

ติงซานฉือยกมือตบศีรษะของลูกศิษย์สุดที่รักเสียงดังถนัดหู “เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับอาจารย์ได้อย่างไร เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! “

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

 

 

เขาแค่ถ่ายทอดความในใจออกมาก็เท่านั้น

 

 

“ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับอาจารย์”

 

 

เด็กหนุ่มรีบพูดออกมา

 

 

เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

 

ควับ!

 

 

สายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นหันขวับจ้องมองไปที่ประตู

 

 

จูปี้ฉีผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงยืนหน้าเครียดอยู่ข้างประตูไม้สีขาว มวลอากาศรอบกายปั่นป่วน บรรยากาศภายในตำหนักไม้ไผ่เหมือนกับมีเมฆดำแผ่ปกคลุมทันที

 

 

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

 

 

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

 

 

เด็กหนุ่มจะไม่ประหลาดใจเลย หากกระบี่สุราโลหิตตอบว่ามาที่นี่ก็เพื่อฆ่าล้างบางพวกเขาให้หมดทุกคน…

 

 

 

ดวงตาของจูปี้ฉีจ้องมองร่างหลินเป่ยเฉินเขม็งด้วยความไม่อยากเชื่อ เจียงจี้หลิวยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ในภาวะบาดเจ็บสาหัส แต่หลินเป่ยเฉินกลับฟื้นฟูอาการบาดเจ็บขึ้นมาได้สมบูรณ์ดีแล้ว …ภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจของชายชราเกิดความเจ็บปวดมากขึ้นทวีคูณ จนเขาต้องรีบปัดเป่าความคิดว้าวุ่นออกไปจากสมอง

 

 

จูปี้ฉียังคงไม่ตอบคำใด แต่เลื่อนสายตาหันไปจ้องมองติงซานฉือ

 

 

ก่อนจะยกมือขึ้น

 

 

แล้วม้วนกระดาษสีแดงปานโลหิตก็ลอยขึ้นมาในอากาศ

 

 

มวลอากาศรอบกายปั่นป่วน

 

 

พลังกดดันอันหนักหน่วงแผ่ออกมาจากม้วนกระดาษม้วนนั้น

 

 

ติงซานฉือเดินเข้าไปรับม้วนกระดาษแต่โดยดี

 

 

ครืน!

 

 

มวลอากาศรอบกายยิ่งปั่นป่วนมากกว่าเดิม

 

 

ราวกับมีผู้คนกำลังต่อสู้กันด้วยพลังลมปราณอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ติงซานฉือยังคงมีสีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่คลี่ม้วนกระดาษออกอ่านข้อความ

 

 

เมื่ออ่านจบ ติงซานฉือก็ต้องเงยหน้ามองไปที่จูปี้ฉี

 

 

ปรากฏว่านี่ก็คือสัญญาลงนามยินยอมรับความตายอีกหนึ่งฉบับ

 

 

กระบี่สุราโลหิตยิ้มมุมปากเหมือนไม่ได้ยิ้ม

 

 

พลัน ติงซานฉือยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้พลังลมปราณของตนเองกดจนเป็นรอยบนม้วนกระดาษ แล้วชื่อของเขาก็ไปปรากฏอยู่บนนั้น!

 

 

อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินได้ลงนามในสัญญายอมรับความตายเรียบร้อยแล้ว

 

 

ครืน!

 

 

บนท้องฟ้าด้านนอก ไม่รู้ว่ามีเมฆดำมารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ปรากฏสายฟ้าแลบแปลบปลาบ มีเสียงฟ้าคำรามดังครืนครันเป็นระยะ

 

 

ราวกับว่าฟ้าดินได้เป็นพยานในการลงนามครั้งนี้

 

 

“ประเสริฐ”

 

 

จูปี้ฉีพยักหน้าชมเชย ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

 

 

สัญญาลงนามยอมรับความตายไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือชื่อของคนที่ลงนามในสัญญาต่างหาก

 

 

“สามวันหลังจากนี้ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นที่ท่าเรือ ข้าจะรอรับคำชี้แนะจากท่าน” เสียงของจูปี้ฉีดังกังวานในอากาศขณะที่ตัวคนหายลับไปจากตำหนักไม้ไผ่

 

 

ทันใดนั้น บังเกิดสายลมกระโชกแรงทั่วผืนฟ้า

 

 

แล้วพายุฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

 

บรรยากาศที่น่าเศร้าหมองอยู่แล้วเมื่อมีม่านฝนตกกระหน่ำอยู่ที่ด้านนอก ความเศร้าทั้งมวลก็ยิ่งทับถมทวีคูณ

 

 

“เลือกเวลาตกได้ดีจริงๆ”

 

 

ไป๋ชินหยุนพูดด้วยความประหลาดใจ

 

 

สายฝนของฤดูใบไม้ร่วงมักมาพร้อมความหนาวเย็น

 

 

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงแล้ว

 

 

“ฝนตกหนักแบบนี้อากาศเย็นขึ้นแน่ๆ”

 

 

หลิวฉีไห่ถอนหายใจออกมาบ้าง

 

 

พวกเขาเป็นสักขีพยานในการลงนามของติงซานฉือต่อสัญญายอมรับความตายฉบับนั้น

 

 

นี่คือการตัดสินใจของอดีตเซียนกระบี่

 

 

ทุกคนไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหรือเข้าไปก้าวก่าย

 

 

อันที่จริง พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าสัญญาฉบับนี้ไม่มีความสำคัญเลย เพราะในการประลองอีกสามวันข้างหน้า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่แต่ละฝ่ายจะจบการประลองด้วยความปลอดภัย ชายชราทั้งสองคนตั้งใจที่จะเอาชีวิตกันอยู่แล้ว เพียงแต่จูปี้ฉีเขียนสัญญาฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้อย่างเป็นทางการเท่านั้น…

 

 

นี่คือการต่อสู้แห่งเกียรติยศ การต่อสู้ระหว่างความเป็นและความตาย

 

 

การต่อสู้ที่ไม่มีวันหมดไป

 

 

การต่อสู้ที่จบลงเพื่อเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่…

 

 

ทุกคนที่เลือกฝึกวิทยายุทธ์ ล้วนรับทราบถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี

 

 

เมื่อมีการต่อสู้ ก็ต้องมีความตาย

 

 

ติงซานฉือถอนสายตาออกจากม้วนสัญญามรณะและหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาวิตกกังวล ซึ่งทำให้หัวใจของชายชรารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

 

 

ในชีวิตนี้ ติงซานฉือเคยรับลูกศิษย์เพียง 2 คนเท่านั้น

 

 

คนแรกคือเฉาพั่วเถียน

 

 

คนที่สองคือหลินเป่ยเฉิน

 

 

เฉาพั่วเถียนเคยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดมือกระบี่ดาวรุ่งอัจฉริยะประจำเมือง แต่สุดท้ายก็ทรยศหักหลังเขา

 

 

ส่วนหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มเสเพลสมองเสื่อม แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ เจ้าเด็กคนนี้กลับยิ่งส่องแสงเป็นประกายมากขึ้นเท่านั้น

 

 

คนดีกลับกลายเป็นคนชั่ว

 

 

คนชั่วกลับกลายเป็นคนดี

 

 

ดังนั้น โลกนี้จึงไม่มีอะไรแน่นอน

 

 

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ… หลินเป่ยเฉินไม่เคยทอดทิ้งเขา

 

 

ติงซานฉือยิ้มกว้างพร้อมกับเก็บศิลาบูชาเหล่านั้นใส่กระเป๋าของตนเอง

 

 

ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปสู่ม่านฝนด้านนอก

 

 

พลังลมปราณแผ่ออกมารอบร่างกาย สายฝนที่กำลังจะตกลงมากระทบถูกชายชราพลันกระจายไปรอบทิศทาง ด้วยเหตุนี้ ติงซานฉือจึงหายตัวไปจากคลองสายตาของทุกคนโดยที่เสื้อผ้าไม่เปียกฝนแม้แต่หยดเดียว

 

 

“ข้าขอไปกักตัวฝึกวิชาก่อน ตลอดเวลาสามวันนี้ ไม่ต้องตามหา”

 

 

เสียงของติงซานฉือลอยออกมาจากในม่านฝน

 

 

คนอื่นๆ ก็ขอตัวกลับเช่นกัน

 

 

ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ ไม่มีใครถามหลินเป่ยเฉินเกี่ยวกับพลังลำแสงสีเงินที่พุ่งออกมาจากมือของเขา ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่ใช้จัดการเจียงจี้หลิวและใช้สังหารกระบี่พเนจรเลยสักคำ

 

 

เพราะพวกเขารู้ดีว่ามันคงเป็นความลับที่หลินเป่ยเฉินไม่อยากบอกใคร

 

 

เมื่อเห็นว่าฝนยิ่งมายิ่งโหมกระหน่ำ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินจึงว่าจ้างรถม้านำฮันปู้ฮวยกลับไปส่งบ้าน

 

 

หลินเป่ยเฉินกางร่ม เดินออกไปตากฝนเพียงลำพัง

 

 

เขาเดินออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม

 

 

มุ่งหน้าตรงไปที่วิหารประจำเมือง

 

 

ถึงตอนนั้นสติของเขาจะใกล้ดับวูบลงไปเต็มที แต่เด็กหนุ่มก็ยังจำได้ดีถึงประโยคที่ว่า ‘การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า’ ซึ่งสังเกตได้จากปฏิกิริยาของทุกคน หลินเป่ยเฉินก็จึงมั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน

 

 

อีก 3 วันหลังจากนี้ อาจารย์ของเขาจะต้องประลองกับศัตรูคู่อาฆาตโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน

 

 

อีก 7 วันหลังจากนี้ คนจากวิหารของเมืองอื่นจะมาโจมตีวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งเพื่อทำการตรวจสอบเทพเจ้า

 

 

สถานการณ์ดูย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เรื่องราวเลวร้ายเหล่านี้ สามารถทำให้ผู้คนจมตัวอยู่ในความเศร้าและรู้สึกหมดหวังได้ไม่ยาก

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินไปบนถนนพร้อมกับความโดดเดี่ยว ความคิดของเขาล่องลอยไปกับสายลม

 

 

เด็กหนุ่มก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า แต่เป็นก้าวเดินที่มั่นคง

 

 

เวลาผ่านไป 1 ก้านธูป เขาก็สามารถมองเห็นวิหารเทพประจำเมืองบนยอดเขาได้ไกลตา

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินไปบนถนนที่ทอดขึ้นสู่ตัวภูเขา

 

 

บนถนนที่อยู่ห่างจากตัววิหารประมาณ 2 ลี้ เด็กหนุ่มพลันต้องหยุดชะงักฝีเท้าและขมวดคิ้วหน้าตาถมึงทึง

 

 

เพราะเส้นทางข้างหน้ามีชายฉกรรจ์ในชุดดำ 5 คนยืนขวางทางอยู่

 

 

“ถนนถูกปิดแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออกทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าจะมาสวดภาวนาหรือมาขอพร มาทางไหนขอให้กลับไปทางนั้น อย่าได้ก่อกวนสร้างความวุ่นวาย มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”

 

 

ชายฉกรรจ์ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

หลินเป่ยเฉินยกร่มที่ปิดบังใบหน้าขึ้นเล็กน้อย

 

 

เด็กหนุ่มยิ้มอวดใบหน้าหล่อเหลาของตนเอง

 

 

“พวกเจ้า… รู้จักข้าหรือไม่?”

 

 

พลัน สีหน้าของชายฉกรรจ์ชุดดำทั้งห้าแปรเปลี่ยนไปทันที