“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าพวกมนุษย์เอ๋ย ในที่สุดเรื่องของพวกเจ้าก็จบลงเสียที”
ทันทีที่สายตาของทุกคนมองไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็มองเห็นกิเลนครามผู้ซึ่งหลับใหลแน่นิ่งก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ลืมตาและยืนผงาดอย่างช้า ๆ
“กิเลนคราม เจ้าได้ยินทุกอย่างที่เราคุยกันเมื่อครู่และเจ้าน่าจะทราบถึงตัวตนของข้าแล้ว เพราะฉะนั้น…ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมให้พวกเราสืบทอดมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นไปแต่โดยดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ในเมื่อจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นเป็นลูกน้องของบรรพชนเทพมายา เขาก็น่าจะจงรักภักดีต่อเทพมายาอย่างสุดหัวใจ เช่นนั้นนางจึงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อกิเลนครามทราบถึงตัวตนของนาง มันจะยอมมอบมรดกให้แต่โดยดี
แต่ทว่า…การคาดเดาของนางผิดไปอย่างสิ้นเชิง กิเลนครามส่ายหน้าเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็น “หากท่านต้องการมรดกของนายท่าน มันก็ง่ายมาก ท่านเพียงต้องเอาชนะข้าให้ได้ก็พอ”
ในอดีต จอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นได้กำชับกับกิเลนครามไว้แล้วว่าหากมีผู้ใดต้องการรับมรดกของเขาไป ไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใครก็จะต้องเอาชนะมันให้ได้เสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หากเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัว ก็ควรที่จะทดสอบความแข็งแกร่งดูก่อน เขาต้องการเห็นว่าเทพมายาคนใหม่แข็งแกร่งพอที่จะนำผู้คนออกไปกอบกู้ทุกอย่างที่เคยสูญเสียไปเมื่อพันปีก่อนรึไม่
“เหอะ เจ้ากิเลนสามหาว หากไม่ใช่เป็นเพราะข้าผู้นี้ยังไม่ได้วิวัฒนาการล่ะก็ ข้าจะซัดเจ้าให้น่วมด้วยตัวเองเลย !”
หานอวี้แค่นเสียงและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าพลังของกิเลนครามก็ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งและมังกรน้อยในตอนนี้มิอาจเทียบได้เลย
“มังกรทองห้าเล็บรึ ?”
เมื่อได้ยินเสียงของหานอวี้ กิเลนครามก็หันขวับไปมองมันทันทีและยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าเทพมายาคนใหม่จะมีอสูรมายาระดับสูงเช่นนี้ ทว่าหากเทียบกับท่านซิวแล้ว มันก็ยังด้อยกว่ามากนัก”
คำพูดของกิเลนทำให้ฉินอวี้โม่จุดประกายบางอย่างขึ้นมา
ฟึ่บ !
เพลิงกลุ่มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนมือของนาง แม้ว่าดูไม่โดดเด่นสะดุดตาเท่าไหร่นัก ทว่ามันก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาล
“เอ๋…?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย กิเลนครามก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
“เจ้ากิเลนคราม ข้าน่าจะเรียกซิวออกมาและจัดการกับเจ้าซะ ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ นางคิดว่ากิเลนครามตัวนี้น่าจะคุ้นเคยกับกลิ่นอายของซิวเป็นอย่างดีรวมถึงเพลิงทรงพลังของมัน ในเมื่อมันต้องการต่อสู้ นางก็ไม่มีปัญหาที่จะใช้พลังของซิวเพื่อยับยั้งมัน
“มะ…ไม่…ไม่จำเป็นหรอก ข้าก็แค่หยอกล้อกับท่านเทพมายาเท่านั้นเอง”
กิเลนครามส่ายหน้าทันที เพียงได้ยินชื่อของซิวก็ทำให้มันขนหัวลุกเต็มที
มันยังคงจดจำได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของซิวเป็นอย่างดี ในตอนแรกที่ได้พบกัน นายของมันก็มิได้ยอมจำนนต่อเทพมายาและเกิดการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองฝ่าย
ในฐานะอสูรมายาที่แกร่งกล้า แน่นอนว่ากิเลนครามก็มีความหยิ่งผยองเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ซิวซึ่งเป็นอสูรมายาประจำตัวของเทพมายาก็ปรากฏตัวและโจมตีมันเข้าอย่างจัง
ซิวทรงพลังอย่างที่สุดจนมันยังจำได้ดีมาถึงทุกวันนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเทพอสูรผู้นั้น มันไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้แม้แต่น้อย แรงกดดันเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้มันสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าการยอมมอบมรดกให้โดยดีในตอนนี้จะเป็นการขัดคำสั่งของนายมันในอดีต อย่างไรก็ตาม นายของมันก็รับรู้ถึงพลังของซิวอย่างชัดเจน หากว่านายของมันยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงจะพึงพอใจกับเทพมายาคนใหม่ผู้นี้เป็นอย่างมาก
“มังกรทองห้าเล็บ ข้ายังมีเศษเสี้ยวพลังงานหลงเหลืออยู่ การลงทัณฑ์สายฟ้าของเจ้าน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเอง !”
กิเลนครามจ้องตรงไปที่หานอวี้พร้อมรอยยิ้ม จู่ ๆ มันก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานและพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของเด็กชายตัวน้อยทันที
“ท่านแม่ ข้าจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อน”
หานอวี้กล่าวกับฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว มันจำเป็นต้องดูดซับและย่อยสลายพลังงานมหาศาลที่เพิ่งได้รับมาอย่างกะทันหัน
“ศิษย์พี่เฟิง ท่านรับมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นนี่เถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับฉินเฟิงเพื่อให้เขาสืบทอดมรดกของจอมยุทธ์พเนจรในตำนาน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟิงก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะรับมรดกนี้ด้วยตัวเอง
“ศิษย์พี่เฟิง การที่ท่านรับมรดกนี้ไป มันจะช่วยให้ท่านทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้ ในตอนนั้นหากต้องสู้กับฉินเหยียน ท่านก็จะสามารถปกป้องข้าได้ หากเป็นข้าหรือว่าคนอื่น ๆ ที่รับมรดกนี่ไป มันจะไม่ส่งผลดีเท่ากับการที่ท่านรับมันไปในตอนนี้ เราจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า”
ฉินอวี้โม่อธิบายกับฉินเฟิงด้วยรอยยิ้มก่อนกล่าวกับคนอื่น ๆ เช่นกัน “เพื่อประโยชน์ของแผนการในอนาคตข้าจึงจะให้ศิษย์พี่ฉินเฟิงรับมรดกสืบทอดนี้ไป ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนจะเข้าใจและไม่คัดค้าน”
“ท่านเทพมายาพูดอะไรกันเล่า ? เจ้าเมืองฉินเฟิงแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราทุกคน แน่นอนว่าการให้เขาสืบทอดมรดกย่อมเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
เฉิงห่าวซวนยิ้มและกล่าวสนับสนุน สำหรับการมาที่ซากปรักหักพังในวันนี้ พวกเขาเพียงต้องการเห็นด้วยตาตัวเองและลองเสี่ยงโชคในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่เคยคิดเรื่องมรดกสืบทอดใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาก็ยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว พวกเขาย่อมทราบดีว่าสิ่งใดดีที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเมืองฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก หากเป็นเขาที่รับสืบทอดมรดกนี้ไป แน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางคัดค้าน”
ฉินขุยยิ้มบาง ๆ และฉินจินก็แสดงทัศนคติที่เห็นด้วย พวกเขาเคยคิดเรื่องมรดกสืบทอดที่ว่านี้มาก่อน ทว่าบัดนี้เมื่อเลือกสาบานความจงรักภักดีต่อเทพมายาคนใหม่แล้ว พวกเขาย่อมไม่มีข้อคิดเห็นหรือข้อคัดค้านเกี่ยวกับการจัดการของนาง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดและเข้าใจดีว่าหากฉินเฟิงทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียน นั่นจะเป็นผลดีสำหรับพวกเขาอย่างมาก
“ข้าก็ไม่คัดค้านเช่นกัน”
ฉินหวยก็กล่าวแสดงความคิดเห็นของตนเองเช่นกัน ในบรรดาทุกคนที่นี่ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีความแข็งแกร่งในระดับเท่าเทียมกับฉินเฟิง อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเป็นผู้ที่น่าจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขามิอาจทำใจต่อสู้หรือประจันหน้ากับฉินเหยียนได้ ด้วยเหตุผลหลายประการนี้ เขาจึงไม่คิดที่จะสืบทอดมรดกนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่คัดค้าน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านรับมรดกนี่ไปเสียเถอะ ข้าจะทิ้งคนไว้จำนวนหนึ่งเพื่อช่วยคุ้มกันและช่วยป้องกันโดยรอบ จากนั้นข้าจะพาทุกคนไปยังซากปรักหักพังส่วนที่ยังไม่ได้รับการสำรวจเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องกลับไปมือเปล่า”
“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ฉินเฟิงพยักศีรษะรับคำก่อนเดินตรงไปยังมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นและหลับตาลงเพื่อทำการสืบทอดมัน
“ท่านเทพมายา ท่านออกไปสำรวจหาสมบัติเถอะขอรับ เราจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยคุ้มกันท่านผู้บัญชาการเอง”
หงเย่ยิ้มและกล่าวกับฉินอวี้โม่ กองทหารหงเฟิงจงรักภักดีต่อฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ การคุ้มกันให้กับฉินเฟิงจึงถือเป็นสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำ
“เอาล่ะ เมื่อสำรวจทั่วซากปรักหักพังแล้ว เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนนำทุกคนออกสำรวจพื้นที่อื่น ๆ ทันที
ตลอดหนึ่งเดือนต่อมา ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ใช้เวลานี้ในการออกสำรวจหาสมบัติอยู่ภายในซากปรักหักพัง
ต้องกล่าวเลยว่าซากปรักหักพังของยอดฝีมือผู้ใช้ข่ายอาคมผู้นี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก พวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางสำรวจนานนับเดือนก่อนที่จะสำรวจทั่วพื้นที่และกลับมาสมทบกันอีกครั้ง
แน่นอนว่าระหว่างการสำรวจอันยาวนาน พวกเขาก็ได้สมบัติสิ่งล้ำค่ามากมาย
ฉินอวี้โม่แบ่งสมบัติเหล่านั้นโดยไม่รอช้า นอกเหนือจากเมืองเพลิงมายา ขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ก็ได้รับส่วนแบ่งของสมบัติไปอย่างเท่าเทียม
เหล่าคนจากเมืองเพลิงมายาไม่มีข้อคิดเห็นใด ๆ พวกเขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของฉินอวี้โม่ ในเมื่อนางทำเช่นนี้ นางก็น่าจะมีบางอย่างที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา พวกเขาเพียงต้องตั้งตารอให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาพัฒนาขึ้นอีกครั้ง
คนอื่น ๆ ก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นักและสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงได้ทุกอย่างไปโดยที่เมืองเพลิงมายาไม่ได้รับส่วนแบ่งเลย
“ท่านเทพมายา ท่านไม่ต้องมอบสมบัติให้เรามากมายนักหรอก ชาวเมืองเพลิงมายาก็ทุ่มเทพยายามอย่างหนักเช่นกันและพวกเขาควรได้รับสิ่งตอบแทน”
ฉินจินอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ เขาก็รู้สึกชื่นชมและภักดีต่อฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินจิน ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านเทพมายาพักอยู่ในเมืองของเรามาพักใหญ่แล้วและเราได้รับหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าพวกท่านเสียอีก สมบัติในซากปรักหักพังแห่งนี้ถือว่าดีทีเดียว ทว่ามันก็ยังไม่ดึงดูดใจพวกเราเท่าไหร่นัก”
เลี่ยหยางยิ้มและกล่าวด้วยท่าทีติดตลก
ฉินจินและฉินขุยพยักศีรษะตอบรับ เลี่ยหยางกล่าวถูกต้องทุกอย่าง เมืองเพลิงมายาได้รับประโยชน์หลายสิ่งหลายอย่างแล้ว เพียงดูจากกองทัพอสูรมายาที่ทรงพลังของเมืองเพลิงมายาก็ทำให้พวกเขานึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก
ในระหว่างการสำรวจนี้ เลี่ยหยางก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองเพลิงมายาให้ฉินจิน ฉินขุยและคนอื่น ๆ ได้ทราบเช่นกัน
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดใจเล็กน้อยกับการตายของฉินส่าวชิง ทว่าพวกเขาก็เข้าใจในระดับหนึ่ง
เดิมทีฉินส่าวชิงก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบนักและพวกเขาทราบดีว่าคนผู้นั้นเป็นอาชญากรที่กระทำการชั่วร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย เวลานี้เมื่อทราบว่าฉินส่าวชิงตายไปด้วยเงื้อมมือของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็แอบรู้สึกโล่งใจและพอใจอยู่ลึก ๆ เช่นกัน
มีเพียงฉินหวยเท่านั้นที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ฉินส่าวชิงเคยทำไว้ก่อนตาย เขาก็พอจะเข้าใจได้ นี่เป็นการที่ฝ่ายตรงข้ามนำพาความตายมาสู่ตนเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าตั้งตารอวันที่ท่านเทพมายาจะนำพวกเขาออกไปขับไล่ฉินเหยียนและกำจัดผู้ทรยศทั้งหมดไปจากดินแดนของเรา”
ฉินจินยิ้มกว้างพร้อมเผยแววตาแห่งความคาดหวัง เขาตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งว่าฉินอวี้โม่จะนำพาพวกเขาขึ้นไปได้ไกลเพียงใด
ฉินขุย เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและยิ้มออกมาเช่นกัน พวกเขาเองก็มีความคาดหวังและตั้งตารอสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อโลกมายา…ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้ว
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉินเฟิงจะทะลวงพลังได้หรือยัง หากเขาทะลวงพลังไปไม่ได้ เกรงว่าคงยากที่เราจะรับมือกับฉินเหยียนในอนาคต”
ฉินขุยกล่าวขณะทุกคนกำลังมุ่งหน้าตรงเข้าใกล้โถงที่ฉินเฟิงกำลังรับสืบทอดมรดก
ขอบเขตพสุธาเซียนเป็นขอบเขตที่ห่างไกลจากพวกเขาทุกคนมาก แม้แต่ฉินหวยผู้ซึ่งมีพลังในระดับสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นเก้าก็มิอาจรับประกันได้ว่าตนเองจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้ภายในหลายปีข้างหน้าหรือไม่
ต้องกล่าวเลยว่าขอบเขตพสุธาเซียนคือการก้าวเข้าสู่ขอบเขตของยอดฝีมือที่แท้จริง ต่อให้เป็นในดินแดนเทพมายาเอง นี่ก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าสามารถอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ในดินแดนเทพมายาก็มีจอมยุทธ์เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่ทะลวงพลังไปถึงขอบเขตพสุธาเซียนได้สำเร็จ
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงที่แผ่ออกมาอย่างกะทันหันและทั่วทั้งซากปรักหักพังก็เกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“เขาทะลวงพลังได้จริง ๆ !”
หลังจากทุกอย่างสงบลง ทุกคนก็หันมองหน้ากันด้วยความโล่งอก
“ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ พลังมหาศาลเมื่อครู่มีเพียงแค่จอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนเท่านั้นที่จะมีได้ ข้าเชื่อว่าฉินเฟิงน่าจะทะลวงพลังได้สำเร็จแล้ว”
ฉินหวยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเขาก็แอบถอนหายใจเบา ๆ ช่องว่างระหว่างตัวเขาและฉินเฟิงกำลังกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และมากขึ้นทุกที
“ไปดูกันเถอะ ข้าอยากรู้นักว่าจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนจะทรงพลังแค่ไหน”
ทุกคนยิ้มและรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังโถงก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว