“เฮ้อ…”
หลังจากความเงียบชั่วครู่หนึ่ง ฉินหวยก็ถอนหายใจเบา ๆ
“บอกตามตรง ผู้นำฉินเหยียนก็เลยเถิดเกินไปจริง ๆ เราทั้งหมดเชื่อฟังการตัดสินใจของนางมาตลอดหลายปี และเห็นสิ่งที่นางทำ แม้ว่าข้าเคยพยายามโน้มน้าวผู้นำฉินเหยียนหลายคราเพื่อมิให้ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดพลาดอีก ทว่ามันก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ”
ฉินหวยเข้าใจสิ่งที่ฉินขุยกล่าวมาเป็นอย่างดี รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉินขุยและฉินจิน
สิ่งที่ฉินขุยกล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ หากปราศจากการแทรกแซงของฉินเหยียน สถานการณ์ของโลกมายาก็คงไม่ลงเอยอย่างเช่นทุกวันนี้ และหลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในตอนแรกก็คงไม่ต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกันมานานหลายปีเช่นกัน
“ในตอนนี้ ข้าทราบดีว่าหากข้ายังดึงดันขัดขืนต่อไป มันก็มีแต่จะเผชิญกับทางตันเท่านั้น มีผู้ใดกันที่ไม่รักตัวกลัวตาย ?”
ฉินหวยมองไปที่ฉินอวี้โม่และยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนกล่าวต่อ “ท่านเทพมายา การจำนนต่อท่านมิใช่ปัญหา เพียงแต่…ข้ามีเงื่อนไขบางอย่าง”
“ฉินหวย เจ้าควรจะมองสถานการณ์ในตอนนี้ให้ดี ๆ เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรองเงื่อนไขใด ๆ กับท่านเทพมายาทั้งสิ้น !”
ฉินอวี้โม่ยังไม่ได้เอ่ยปาก ทว่าเป็นจูเฟยชวี่ที่อดใจไม่ไหวและกล่าวออกไปทันที
“ผู้นำจู ปล่อยให้เขาพูดต่อเถอะ ข้าก็อยากได้ยินว่าเขาจะมีเงื่อนไขอย่างไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้จูเฟยชวี่และกล่าวปรามไม่ให้เขาพูดอะไรต่อ นางต้องการฟังต่อไปว่าฉินหวยจะมีเงื่อนไขอย่างไร
อันที่จริงแล้วฉินอวี้โม่ชื่นชมฉินหวยผู้นี้พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกที่เขาเดินทางไปที่เมืองเพลิงมายา เขาก็ไม่กระทำสิ่งใดและจากไปแต่โดยดี หากเขาลงมือโจมตีในตอนนั้น เขาก็คงจะไม่มายืนอยู่ในจุดนี้ได้
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉินหวยก็ยิ้มอย่างใจเย็นและกล่าวความคิดของตน “ท่านเทพมายา เงื่อนไขแรกคือหลังจากข้ายอมจำนนต่อท่าน ข้าขอไม่เข้าร่วมการต่อสู้ใดที่จะเผชิญหน้ากับนายคนก่อนของข้า เพราะไม่ว่าคนเหล่านั้นจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็เกิดความผูกพันกับพวกเขาไม่น้อย หากจะให้ข้าทำร้ายพวกเขา ข้าก็มิอาจทำได้”
“ไม่มีปัญหา และมิใช่เพียงท่านเท่านั้น สำหรับทุกคนที่นี่ หากผู้ใดไม่ต้องการต่อสู้กับฉินเหยียน ข้าก็จะไม่บังคับ”
ฉินอวี้โม่ตอบพร้อมรอยยิ้ม นางไตร่ตรองเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ถึงอย่างไรแล้ว แม้ว่าเขาจะจำนนต่อนางก็ยังมีญาติมิตรของเขาที่ยังภักดีต่อฉินเหยียน หากพวกเขาไม่ต้องการรบราฆ่าฟันกันเอง ฉินอวี้โม่ก็จะไม่ฝืนใจพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่กำจัดฉินเหยียนไปได้ นางก็มีวิธียับยั้งควบคุมคนเหล่านั้นและให้พวกเขามาอยู่ในการปกครองของตน
เมื่อฉินอวี้โม่ตอบตกลงโดยไม่ลังเล ฉินหวยก็พยักศีรษะเบา ๆ เป็นดังที่เขาคาดไว้ เขามองฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ผิดไปจริง ๆ
ฉินขุยและคนอื่น ๆ ก็มองมาที่ฉินอวี้โม่เช่นกันและพวกเขาก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย พวกเขายังคงคิดหนักว่าจะรับมืออย่างไรหากต้องประจันหน้ากับสหายของตน ไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะกล่าวเช่นนี้ พวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งและภักดีต่อฉินอวี้โม่มากยิ่งกว่าเดิม
“สำหรับเงื่อนไขที่สอง โปรดปล่อยเซวียเม่ยไปเถอะ ข้าทราบว่านางทำให้ท่านเทพมายาไม่พอใจหลายครั้งหลายคราและดูหมิ่นท่านอย่างไม่น่าให้อภัย อย่างไรก็ตาม นางมิได้มีเจตนาชั่วร้าย ข้าหวังว่าท่านเทพมายาจะลืมเลือนการกระทำเหล่านั้นได้และปล่อยนางไป”
เมื่อฉินหวยกล่าวเงื่อนไขประการที่สอง สีหน้าของเซวียเม่ยซึ่งอยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไปทันที
“ท่านพี่…”
เซวียเม่ยกล่าวขึ้นเบา ๆ และไม่อาจสรรหาคำพูดใดได้เลย นางต้องการลั่นวาจาออกไปว่าไม่มีทางยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ฉินหวยผู้ซึ่งมักจะตามใจนางทุกอย่าง นางก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ยอมจำนนและหลั่งเลือดสาบานต่อข้า ข้าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและจะไม่ทำให้ชีวิตของนางต้องลำบากเพราะความบาดหมางระหว่างข้าและนางก่อนหน้านี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ เงื่อนไขนี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่นางต้องพิจารณาด้วยซ้ำ
นางไม่คิดที่จะสู้กับเซวียเม่ยเลยสักนิด คนอย่างเซวียเม่ยไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางและไม่มีคุณสมบัติที่มากพอให้นางต้องลดตัวไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
ฉินหวยยิ้มและกล่าวออกมา เขาตระหนักถึงสภาวะอารมณ์ของเซวียเม่ยเป็นอย่างดี นางเพียงริษยาสตรีที่งดงามกว่าตนเท่านั้นทว่าไม่มีความคิดมุ่งร้าย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางได้พบสตรีมากหน้าหลายตาที่งดงามกว่าตนเอง ทว่าไม่เคยถึงขั้นลงมือสังหารผู้ใด อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะมองไปที่สีหน้าบูดบึ้งของเซวียเม่ย นางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแล้ว
นางมิใช่คนใจโหดเหี้ยม แม้ว่าเซวียเม่ยทำให้นางไม่พอใจและพยายามยั่วโทสะหลายครา ทว่ามันก็ยังไม่เคยเกิดการต่อสู้กันจริง ๆ
แน่นอนว่านางสามารถลืมเลือนเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้และปล่อยเซวียเม่ยไปได้ อย่างไรก็ตาม หากว่าเซวียเม่ยคิดตุกติก ฉินอวี้โม่ก็ไม่รังเกียจที่จะปลิดชีวิตนาง
“เงื่อนไขที่สามและเป็นประการสุดท้าย”
ฉินหวยสบตาฉินเฟิงและกล่าว “ข้าอยากประมือกับฉินเฟิงมาตลอดเพราะอยากทราบถึงพลังที่แท้จริงของเขา วันนี้ข้าหวังว่าจะได้สานความฝันนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าก็จะยอมจำนนต่อท่านเทพมายาโดยที่ไม่ได้มีเจตนาอื่น ๆ แอบแฝง”
“ตามที่เจ้าปรารถนา”
ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ และก้าวออกไป เขาก็อยากทราบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินหวยมาตลอด แม้ว่าฉินหวยเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของเมืองมายา ความแข็งแกร่งของเขาก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองมากนัก
“เราจะรอรับชมการประชันฝีมือระหว่างท่านทั้งสอง”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและพยักศีรษะกับทุกคน จากนั้นทุกคนก็ก้าวถอยหลังไปพร้อมกันเพื่อเว้นพื้นที่ว่าง
ฉินหวยและฉินเฟิงยิ้มให้กันและกันก่อนเริ่มต้นการต่อสู้วัดฝีมือ
ต้องกล่าวเลยว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองถือว่าไม่ธรรมดาเลย ในตอนแรกเริ่ม มันยังเป็นการต่อสู้ที่สูสีกัน
“สวรรค์ แท้ที่จริงทั้งสองก็เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้า น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ”
เมื่อประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของฉินหวยและฉินเฟิง ผู้คนโดยรวมก็อดถอนหายใจเบา ๆไม่ได้
ฉินจินและฉินขุยมองหน้ากันด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ
ทั้งสองคิดมาตลอดว่าพลังของฉินเฟิงและฉินหวยไม่ได้ต่างจากตนเองมากนัก ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเหนือชั้นกว่าตนเองมาก
ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ความแข็งแกร่งของฉินจินอยู่เพียงขอบเขตเซียนขั้นแปดและฉินขุยด้อยกว่าเล็กน้อยเนื่องจากอยู่ในสภาวะสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นเจ็ด
“ทั้งสองซ่อนความแข็งแกร่งได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ”
ฉินขุยและฉินจินอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้และกล่าวโดยที่สีหน้าไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดเป็นพิเศษ ตอนนี้พวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว ยิ่งสหายแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากเพียงนั้น
เวลานี้ฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์เช่นเดียวกัน
ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงมิอาจสัมผัสได้ถึงพลังของฉินหวยและฉินเฟิงเลย แท้ที่จริงก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ต่างชั้นกันมากเกินไป นางจึงไม่อาจมองเห็นได้
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ดุเดือดรุนแรงมากนัก พวกเขาไม่ได้เรียกอสูรมายาออกมาหรือใช้วิชามนตราและทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังใด ๆ พวกเขาเพียงใช้พลังทางร่างกายและต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเวลาสองก้านธูปผ่านพ้นไป ร่างของทั้งสองก็ค่อย ๆ แยกออกจากกัน
“เฮ้อ… ข้าแพ้แล้ว”
ฉินหวยส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าในสายตาของคนนอก เขาและฉินเฟิงน่าจะทัดเทียมกัน ทว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ตระหนักดีว่าตนเองพ่ายแพ้ ฉินเฟิงแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแท้จริง
ฉินเฟิงยิ้มตอบและไม่ได้คัดค้านความพ่ายแพ้ของฉินหวย อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้กล่าวออกไป นั่นก็คือหากใช้ทักษะยุทธ์ทรงพลังหรือวิชามนตรา ฉินหวยก็คงจะพ่ายแพ้เร็วยิ่งกว่านี้เสียอีก
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ฉินหวยก็เดินตรงเข้าไปข้างหน้าฉินอวี้โม่และหลั่งเลือดสาบาน
เมื่อฉินหวยหลั่งเลือดสาบานความจงรักภักดีต่อเทพมายาคนใหม่ เซวียเม่ยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันก่อนเริ่มหลั่งเลือดสาบานและปฏิญาณความจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่เช่นกัน
นี่คือการยอมจำนนโดยปราศจากการต่อสู้ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายต้องการเป็นที่สุด เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ ๆ นับจากนี้ต่อไป เราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเราจะร่วมมือกันกำจัดศัตรู พวกเราไม่ต้องขัดแย้งกันเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกต่อไป”
ฉินขุยยิ้มขณะมองทุกคนที่จำนนต่อฉินอวี้โม่พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ถูกต้อง ในอนาคตเราจะได้นั่งจิบชาและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ แทนที่จะสาดวาจาใส่กันหรือต่อสู้ทันทีที่พบหน้า”
ฉินจินตบไหล่ฉินขุยเบา ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับมาดีดังเดิมอีกครั้ง
ฉินหวยและฉินเฟิงยิ้มให้กันด้วยความโล่งใจเช่นกัน ในภายภาคหน้า พวกเขาไม่ต้องจงใจหมางเมินกันเหมือนก่อนอีกต่อไป
“ท่านเทพมายาขอรับ ตอนนี้ในเมื่อพวกเราทุกคนปฏิญาณความจงรักภักดีต่อท่านหมดแล้ว พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
หลังจากช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลาย สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่นายคนใหม่เพื่อรอคำสั่งจากนาง
“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งอะไรหรอก หลังออกไปจากที่นี่ ผู้อาวุโสฉินหวยก็ยังต้องนำคนกลับไปที่เมืองมายา ฉินขุยและฉินจินก็ยังต้องจัดการดูแลเมืองของตน และศิษย์พี่ฉินเฟิงเองก็ยังต้องดูแลเมืองวารีมายาในฐานะเจ้าเมืองเช่นเดิม เพียงแต่อย่าปล่อยให้ฉินเหยียนรับรู้ถึงความผิดปกติใด ๆ เด็ดขาด เมื่อถึงเวลาที่ข้าเตรียมตัวพร้อม ข้าจะไปที่เมืองมายาและกอบกู้สิ่งที่ควรเป็นของข้ากลับคืนมา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวแผนการของตน ณ เวลานี้ พลังในการต่อสู้ของนางอาจยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับฉินเหยียนได้ เพราะฉะนั้นนางจึงยังต้องฝึกฝนต่อไปอย่างเงียบ ๆ และรอโอกาส เมื่อถึงตอนนั้น นั่นจะเป็นเวลาแห่งการทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่าง
“พวกเราจะดำเนินการตามคำสั่งของท่านเทพมายา”
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงเพื่อแสดงถึงความเชื่อฟังต่อคำสั่งของเทพมายาคนใหม่
“ท่านเทพมายา ข้ายังต้องเตือนท่านเกี่ยวกับบางอย่าง…”
ฉินหวยมีท่าทีลังเลเล็กน้อยทว่าตัดสินใจบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับข่าวที่ทราบมา แม้ว่าเขาจะไม่ต่อสู้กับฉินเหยียน เขาก็ได้ปฏิญาณความจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่แล้ว เขาจึงไม่ปิดบังสิ่งใด
“ความแข็งแกร่งของฉินเหยียนในตอนนี้อยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ สำหรับเรื่องที่ว่านางแข็งแกร่งเพียงใดนั้น ข้าก็ไม่อาจทราบได้ ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองของเมืองมายาก็แข็งแกร่งมากกว่าข้า ผู้อาวุโสใหญ่นั้นมีฝีมือดีทีเดียวและอาจอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเมืองมายาก็มิใช่แค่ที่เห็นภายนอก ฉินเหยียนยังมีไพ่ตายมากมายที่ข้าเองก็มิอาจล่วงรู้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าท่านมีแผนการอย่างไร ท่านต้องเตรียมทุกอย่างอย่างรอบคอบไว้ก่อน”
นี่คือข่าวที่ฉินหวยทราบมาและเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ให้ความสนใจเช่นกัน หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไปที่เมืองมายาอย่างใจร้อนเกินไป เกรงว่าอาจต้องเสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก
* 賠了夫人又折兵 เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก ความหมายคือ การสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสฉินหวยที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับ นางคิดไว้อยู่แล้วว่าฉินเหยียนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ วาจาของฉินหวยในตอนนี้เพียงยืนยันและย้ำเตือนนางอีกครา
“ไม่ว่าพวกเราจะทำสิ่งใดต่อไป ในตอนนี้ก็ควรจะครอบครองมรดกของจอมยุทธ์พเนจรเซียนอวิ๋นนั่นมาให้ได้ก่อน”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ก้อนแสงซึ่งยังคงหมุนวนไม่หยุดหย่อนและเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล