เมื่อได้ยินวาจาของฉินขุย ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก็มองไปที่เขาทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย เจ้ามีปัญญาดีทีเดียว แต่ว่า…แล้วมันอย่างไรเล่า ?”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “วันนี้…ยิ่งทราบเรื่องราวมากเพียงใดก็มีโอกาสที่จะรอดออกไปน้อยลงเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเหยียนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในนี้และไม่มีทางส่งคนเข้ามาช่วยได้แน่ ตราบใดที่พวกเจ้าถูกกำจัด และเมื่อถึงเวลานั้นก็เพียงกล่าวว่าเป็นฝีมือของกองทหารหงเฟิง ฉินเหยียนก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ เมื่อพวกเราแข็งแกร่งขึ้น เราจะประจันหน้ากับฉินเหยียนและฟื้นฟูโลกมายากลับคืนสู่ความรุ่งเรืองดังเดิม”
คำพูดของฉินเฟิงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและทะนงตน เวลานี้คลื่นพลังที่แผ่มาจากเขาแกร่งกล้าไม่ต่างจากฉินอวี้โม่เลยสักนิด
“ฉินเฟิง หากเจ้าคิดจะกำจัดพวกเราทั้งหมด ฝ่ายของเจ้าก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียเช่นกัน แม้ว่ายากที่จะออกไปจากที่นี่และเราอาจหนีไม่พ้น ทว่าหากเพียงแค่คนเดียวออกไปได้และแจ้งให้ผู้นำฉินเหยียนทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้ พวกเจ้าก็น่าจะจินตนาการได้ว่าจุดจบของเกมนี้จะเป็นอย่างไร และหากเบื้องบนรู้เข้า พ่อของเจ้าและญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าจะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีแน่ ข้าแนะนำให้เจ้ายอมจำนนและจับตัวเทพมายาคนใหม่กลับไปให้ผู้นำฉินเหยียนเสียเถอะ ข้าเชื่อว่าคุณงามความดีเช่นนี้เพียงพอที่จะชดเชยความผิดของเจ้าได้ ผู้นำฉินเหยียนและผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบนจะไม่ลงโทษเจ้า”
ฉินหวยขมวดคิ้วมุ่นขณะมองฉินเฟิงและกล่าวออกไป เขาไม่ต้องการให้เกิดสงคราม เพราะหากสถานการณ์บานปลายไปจริง ๆ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาและฉินเฟิงมีมิตรภาพที่ดีต่อกันอย่างยิ่ง อีกทั้งเขารู้สึกชื่นชมฉินเฟิงอย่างมาก เขาไม่ต้องการต่อสู้กับสหายผู้นี้เลย
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินหวย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อข้าดั่งมิตรสหายอย่างแท้จริง ข้าชื่นชมเจ้ามาก หากเลือกได้ ข้าก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรก็ตาม บางคราจุดยืนของเราคือตัวตัดสินทุกอย่าง ความจงรักภักดีของข้าสงวนไว้สำหรับเทพมายาเท่านั้นและผู้ที่เจ้าภักดีด้วยก็คือฉินเหยียน เพราะเหตุนั้น การเป็นศัตรูกันจึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้าไม่ต้องกล่าวสิ่งใดหรอก หากต้องต่อสู้กันจริงหลังจากนี้ ขอให้เจ้าทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ไม่ว่าใครชนะหรือต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย พวกเราก็ไม่ควรรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจ เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหวยมาโดยตลอด หลายปีที่ผ่านมานี้ ทั้งสองถือเป็นมิตรสหายที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม จุดยืนของพวกเขาต่างกันมาตั้งแต่ต้น
ในอดีต การที่ตัวตนและจุดยืนที่แท้จริงของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผยออกมาและไม่มีความจำเป็นให้ต้องต่อสู้กัน แน่นอนว่าทั้งสองก็เป็นมิตรสหายที่จริงใจต่อกันได้ อย่างไรก็ตาม บัดนี้เมื่อตัวตนที่แท้จริงของฉินเฟิงถูกเปิดเผยแล้ว หากว่าทั้งสองไม่สามารถตกลงกันและยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกัน พวกเขาก็ไม่มีทางกลับมาเป็นสหายต่อกันได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หนึ่งในพวกเขาทั้งสองจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อย่างแน่นอนและความสัมพันธ์ที่ดีก่อนหน้านี้จะไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ อีกเลย
“ผู้อาวุโสฉินหวย ข้ายอมรับเลยว่าท่านเป็นบุรุษที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ และการพินิจวิเคราะห์ของท่านก็เหนือกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม เชิญพวกท่านลองพยายามหนีไปจากที่นี่ได้เลย ในเมื่อข้ากล้าเปิดเผยตัวตนเช่นนี้แล้ว ข้าย่อมเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี คงยากที่พวกท่านทั้งหมดจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้ สำหรับสิ่งที่ท่านกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะเผชิญกับความสูญเสีย ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเยือกเย็นและกล่าวด้วยความมั่นใจ จากนั้นนางก็ปรบมือเบา ๆ ก่อนที่อสูรมายาระดับสูงกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวถัดจากฝ่ายชาวเมืองเพลิงมายา ในขณะที่เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆก็ปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่เช่นกันและจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกองทัพอสูรมายาจำนวนมาก ใบหน้าของหลายคนที่อยู่หลังฉินหวยก็เหยเกจนแทบดูไม่ได้
พวกเขามิอาจคาดคิดเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีอสูรมายาทรงพลังจำนวนมากเพียงนี้ หากสงครามเริ่มขึ้นจริง กองทัพอสูรมายาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะกำจัดพวกเขาแล้ว
“ท่านเทพมายา เดิมทีเราก็ถูกบีบบังคับให้ต้องยอมจำนนต่อฉินเหยียน วันนี้เรายินดีแปรพักตร์และหลั่งเลือดสาบานต่อท่าน ตราบใดที่ท่านไว้ชีวิตพวกเรา เราจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างของท่านเทพมายาอย่างเต็มใจ”
ผู้ที่อยู่ข้างหลังฉินหวยซึ่งน่าจะเป็นบุคคลในระดับหัวหน้าคนหนึ่งก้าวออกมาและกล่าวกับฉินอวี้โม่โดยตรง
ในเมื่อตระหนักดีว่าไม่มีโอกาสชนะ การหัวแข็งดื้อรั้นต่อไปก็คงจะโง่เขลาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น การจำนนต่อฉินเหยียนนั้น พวกเขาหลายคนจำต้องทำเช่นนั้นเพราะแรงกดข่มอันทรงพลังจากผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับฉินเหยียน บัดนี้เมื่อเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วและสามารถชักนำพวกเขาไปสู่การขับไล่ฉินเหยียน แน่นอนว่าพวกเขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง พวกเรายินดีที่จะยอมจำนนต่อท่านเทพมายาและร่วมมือกันเพื่อขับไล่ฉินเหยียนออกไป เราจะฟื้นคืนความสงบสุขให้กับโลกมายาอีกครั้ง”
คนอื่น ๆ ก็กล่าวแสดงความเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่ฉินอวี้โม่พยักศีรษะ พวกเขาก็จะยอมจำนนและหลั่งเลือดสาบานทันที
“เอาล่ะ หากพวกท่านยอมจำนนอย่างจริงใจและหลั่งเลือดสาบาน ข้าจะลืมเรื่องทั้งหมดที่พวกท่านได้ทำไว้ก่อนหน้านี้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นางเข้าใจดีว่าพวกเขาหลายคนไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงตกอยู่ภายใต้อำนาจของฉินเหยียนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ต่อให้มีสิ่งใดคาใจ ตราบใดที่พวกเขาหลั่งเลือดสาบาน นางก็ไม่มีเรื่องใดต้องกังวล ถึงอย่างไรแล้วในโลกนี้ก็มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่มิได้รักตัวกลัวตาย
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ คนเหล่านั้นต่างก็โล่งใจกับการอภัยโทษต่อความผิดที่ผ่านมา พวกเขาไม่รอช้าและหลั่งเลือดสาบานตาม ๆ กันทันที จากนั้นพวกเขาก็ปรี่ตรงเข้าไปยืนรวมข้างหลังฝูงชนของฝ่ายฉินอวี้โม่พร้อมจ้องมองฉินหวยและพวกจากฝั่งตรงข้าม
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ฝ่ายฉินหวยก็เหลือสมาชิกเพียงประมาณสิบคนเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มาจากฝ่ายผู้ทรยศ เว้นเพียงแต่เฮยรองเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เฮยรอง แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะเลือกทางใด ?”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเฮยรองเหยเกและไม่มีท่าทีว่าจะยอมจำนน ฉินเฟิงก็กล่าวกระตุ้นการตัดสินใจของเขา
เฮยรองชำเลืองมองฉินเฟิงก่อนไล่สายตาไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จากนั้นเขาก็กัดฟันกรอดและกล่าวเสียงแข็ง “เหอะ คิดจะให้ข้ายอมจำนนงั้นรึ ? ฝันไปเถอะ !”
หลังจากกล่าวจบ ร่างของเขาก็พุ่งตรงไปหมายจะโจมตีฉินอวี้โม่ทันที
ตราบใดที่ฉินอวี้โม่ถูกสังหาร ต่อให้ตัวเขาต้องตาย เขาก็ไม่เสียดายชีวิตเลยสักนิด
แต่ทว่า… น่าเสียดายที่เฮยรองประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป ก่อนที่เขาจะเข้าประชิดตัวได้ ร่างของซูวั่งชวนก็มุ่งหน้าออกมาขวางทางเขาไว้อย่างรวดเร็ว
“เฮยรอง เรื่องบาดหมางระหว่างเราควรได้รับการสะสางเสียที”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว เขาและเฮยรองก็ปะทะฝีมือกันทันที
อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป เสียงกรีดร้องที่น่าสมเพชก็ดังขึ้นมาและเฮยรองก็ถูกซูวั่งชวนสังหารไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
ซูวั่งชวนเดินกลับไปอยู่ในจุดเดิมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ดูเหมือนว่าการสังหารใครสักคนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาและไม่ส่งผลใดต่ออารมณ์ของเขาเลยสักนิด
“ท่านเทพมายา หากว่าพวกเราหลั่งเลือดสาบานว่าจะยอมจำนน ท่านจะไว้ชีวิตพวกเราจริง ๆ งั้นรึ ?”
ฉินขุยไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งและจู่ ๆ เขาก็กล่าวออกไป
“ฉินขุย… นี่เจ้า…”
ฉินหวย ฉินจินและคนอื่น ๆ มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินขุย สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังจุดเดียวด้วยแววตาโกรธเคือง
“ฉินหวย ฉินจิน ข้ายังไม่อยากตาย… ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งหมดภักดีต่อฉินเหยียนมาตลอดหลายปีและดูสิว่านางให้อะไรกับเราบ้าง ? นับประสาอะไรกับผลประโยชน์ นางไม่มีแม้แต่จะให้ความไว้วางใจกับเราด้วยซ้ำ นางยังคงควบคุมยับยั้งพวกเราในทุกหนแห่งและไม่ยอมให้เราแข็งแกร่งเกินไป บอกตามตรงว่าข้าอดทนกับนางไม่ได้อีกแล้ว หากนางไม่พยายามยับยั้งควบคุมทุกอย่าง โลกมายาของเราก็คงจะแข็งแกร่งกว่านี้หลายเท่าตัวนัก !”
ฉินขุยกล่าวออกมาอย่างสงบนิ่งและใจเย็นอย่างมาก นี่คือความในใจที่เขาต้องการกล่าวมานานทว่าไม่เคยมีโอกาส ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉินเหยียนไม่เคยเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเลยสักนิด
ฉินเหยียนผู้นั้นกังวลอยู่เสมอว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะมากเกินไปซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อนาง เพราะเหตุนั้นนางจึงพยายามควบคุมพวกเขาอย่างลับ ๆ มาโดยตลอด
แรกเริ่มเดิมที ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งหลายในโลกมายาก็เป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะฉินเหยียนที่จงใจทำให้พวกเขาแตกคอกัน สถานการณ์ระหว่างพวกเขาคงไม่ตึงเครียดและขัดแย้งกันมานานเช่นนี้
เมื่อได้ยินวาจาของฉินขุย สีหน้าของทั้งฉินจินและฉินหวยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาก็ตระหนักถึงสิ่งเดียวกันกับที่ฉินขุยกล่าวมา อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยกล่าวออกไปอย่างชัดเจน
“ฉินขุย ข้าร่วมด้วย”
ฉินจินเดินตรงไปอยู่ข้างฉินขุยทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่ออยู่ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดีต่อกัน ทว่านับตั้งแต่มาที่โลกมายาแห่งนี้ ทั้งสองเปลี่ยนจากมิตรกลายเป็นคนแปลกหน้าจนกระทั่งกลายเป็นศัตรูอย่างในปัจจุบัน พวกเขามีเรื่องเข้าใจผิดมากมายและเผชิญกับสถานการณ์ที่จนปัญญาหลายครา หากมีโอกาส พวกเขาก็ไม่ต้องการใช้ชีวิตเช่นนั้นอีกแล้ว
“ข้ารักษาคำพูดอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกท่านหลั่งเลือดสาบาน ข้าจะไม่กล่าวโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา นับจากนี้ไป พวกท่านจะเป็นสหายของข้าผู้นี้ ตราบใดที่มีข้า…ฉินอวี้โม่…ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างเลวร้ายเป็นแน่”
ฉินขุยและฉินจินถือว่าเป็นผู้ร่วมทางที่ดี คนหนึ่งองอาจกล้าหาญและอีกคนมีปัญญาเป็นเลิศ หากร่วมมือกัน พวกเขาจะสามารถก่อตั้งกองกำลังที่ทรงพลังและเป็นผู้ช่วยที่ดีของฉินอวี้โม่ได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินวาจาของนาง ฉินขุยและฉินจินก็มองหน้ากันก่อนทำการหลั่งเลือดสาบาน
ทันใดนั้น พวกเขาก็เกิดความหวังว่าหากตนเองปรองดองเป็นปึกแผ่นเดียวกันเหมือนคนในเมืองเพลิงมายาได้นั้น มันก็คงจะเป็นสิ่งที่มีความสุขไม่น้อย
“ฉินจิน เราจะเป็นสหายที่ดีต่อกันในภายภาคหน้า เราจะเกลียดชังในสิ่งเดียวกัน สำหรับเรื่องในอดีตที่ผ่านมา…ยกโทษให้ข้าด้วย”
ฉินขุยตบไหล่ฉินจินและกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยาก ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องห่วง ข้าลืมมันไปหมดแล้ว และท่านก็ลืมได้เลยเช่นกัน จากนี้ไป เราจะเป็นสหายที่เผชิญความเป็นและความตายด้วยกัน เราจะสนับสนุนกันและกันต่อไปในอนาคต”
ฉินจินกล่าวอย่างจริงจังขณะยกแขนพาดบ่าของฉินขุยอย่างสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ขอต้อนรับพวกท่านทุกคน ตอนนี้เรากลายเป็นมิตรสหายต่อกันแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตเถอะ !”
ซูวั่งชวน เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็กล่าวด้วยกัน พวกเขาต้อนรับฉินจินและฉินขุยอย่างอบอุ่น
“ผู้อาวุโสซู หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น ท่านต้องอธิบายให้เราเข้าใจสักหน่อย ตอนนี้เรายังคงสับสนกับอีกหลายเรื่อง”
ฉินขุยกล่าวและสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นจากฝ่ายเมืองเพลิงมายา เวลานี้เขารู้สึกได้ว่าเลือกทางที่ถูกต้องแล้ว
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”
ซูวั่งชวนพยักศีรษะและตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่มองหน้ากันและยิ้มอย่างพึงพอใจ ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาอย่างยิ่ง
ปัญหาของพวกเขาจะลดน้อยลงมากและมีผู้ช่วยฝีมือดีเพิ่มอีกหลายคน
“ฉินหวย แล้วการตัดสินใจของเจ้าล่ะ ?”
เมื่อมองไปที่ฉินหวยและคนที่เหลือ ฉินเฟิงไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเขาเหล่านี้แม้แต่น้อย ถึงอย่างไรแล้วฉินหวยก็เป็นคนที่เขาชื่นชมอย่างมาก
“ตอนนี้การยอมจำนนต่อเทพมายาคนใหม่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติโดยทั่วกันแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ตัดสินใจผิดพลาด”
หลังจากกล่าวเสริม ฉินเฟิงก็นิ่งเงียบและรอการตัดสินใจของฉินหวยอย่างใจเย็น
.