บทที่ 895 : ได้รับการนับถือ!
  ถังเทียนห่าวจ้องมองเลี่ยวจื่อเจิงที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยความงุนงงตกใจดูเหมือนเลี่ยวจื่อเจิงจะไม่สนใจอะไร แม้แต่หลิงหยุนร้องบอกให้เขากลับออกไปได้แล้ว เลี่ยวจื่อเจิงยังดูไม่ใส่ใจ..
  แต่แน่นอนว่าก่อนที่ถังเทียนห่าวจะกลับไปอย่างน้อยก็ต้องร่ำลาเลี่ยวจื่อเจิงเสียก่อน..
  ที่นี่เป็นกองอำนวยการของหน่วยงานรักษาความมั่นคงประจำมณฑลเลี่ยวจื่อเจิงเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการกอง จะมีสักกี่คนที่จะมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสายตรงหาเลี่ยวจื่อเจิงได้เช่นนี้ และจะมีสักกี่คนที่เลี่ยวจื่อเจิงจะพูดจาด้วยท่าทีเคารพนบนอบเช่นนี้ แล้วจะมีสักกี่คนที่จะทำให้เลี่ยวจื่อเจิงทำได้เพียงแค่พยักหน้าหงึกๆเท่านั้น!
  ถังเทียนห่าวรู้ว่าต่อให้เป็นผู้ว่าการเจียงหนานก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนี้ได้คนที่จะสำคัญกับเลี่ยวจื่อเจิงได้ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับรัฐมนตรีประจำกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์เท่านั้น..
  จึงไม่น่าแปลกที่หลิงหยุนจะกล้าบุกมาถึงที่นี่โดยไม่เกรงกลัวใครอีกทั้งยังทำเหมือนไม่เห็นเลี่ยวจื่อเจิงอยู่ในสายตาด้วย!
  คำถามคือ..หลิงหยุนไปรู้จักคนใหญ่คนโตในปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ถังเมิ่งเองก็ไม่เคยเล่าให้เขาฟังมาก่อน!
  ไม่ใช่เพียงแค่ถังเทียนห่าวที่รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกสามคนยังถึงกับยืนนิ่ง สีหน้าหวาดกลัวราวกับว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในสายเดียวกันกับเลี่ยวจื่อเจิง พวกเขาต่างก็ฟังลิ่วจื่อเจิงคุยโทรศัทพ์สลับกับหันไปมองหลิหงยุนเป็นระยะๆ แววตานั้นบ่งบอกว่ากำลังเกร็งจนพูดไม่ออก!
  หลิงหยุนไปรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นนั้นได้อย่างไรกันเป็นไปได้ยังไง?!
  นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของทุกคนณ เวลานั้น!
  และไม่ทันไร..เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมการสอบสวนท่านหนึ่ง และทันทีที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที..
  เสียงจากปลายสายนั้นดูเหมือนจะรีบร้อนมากเพราะยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงท่านนั้นจะทันได้พูดอะไร เสียงจากปลายสายก็ดังสวนขึ้นมา..
  “ผมขอสั่งห้ามคุณยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้แล้วรีบโอนคดีกลับคืนให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงไป! ส่วนคุณ.. ให้กลับมาทันที!”
  น้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงของคำสั่งการ..ไม่ใช่น้ำเสียงที่จะสอบถามความเห็น หรือรอให้มีการต่อรอง จากนั้นจึงวางสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบด้วยซ้ำ..
  “ครับท่าน!”
  แม้ว่าจะมีสัญญาณตัดสายดังขึ้นแล้วแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงท่านนั้นก็ยังพูดตอบรับออกมาอย่างอัตโนมัติ จากนั้นจึงเก็บโทรศัพท์กลับไปด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
  และเกือบจะในเวลาเดียวกัน..โทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำมณฑลอีกท่านหนึ่งก็ดังขึ้น เขารีบรับและได้ยินเสียงปลายสายสั่งว่า
  “คุณไม่ต้องพูดอะไร..ฟังให้ดี! รีบนำทีมทั้งหมดกลับมาด่วน.. นี่คือคำสั่ง!”
  “ครับท่าน!”
  เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำมณฑลทั้งสามคนต่างก็ได้รับโทรศัพท์ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้คนที่งุนงง และตกตะลึงมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นตู้เผิงเฟย!
  เมื่อครู่หลิงหยุนเพิ่งจะพูดว่า‘ไม่ต้องห่วง.. ผมจะจัดการทุกอย่างเอง!’ แล้วหลิงหยุนก็จัดการทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างที่พูดไว้จริงๆ!
  ไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวพวกเขาทำได้เพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ
  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม..ก็ไม่มีใครมีโอกาสได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พวกเขาทำได้เพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ จนสายตัดไป..
  ‘เพียงแค่อำนาจบารมีคงยังไม่พอสินะ!จำเป็นต้องมีคอนเน็คชั่นด้วย..’
  หลิงหยุนได้แต่นึกเย้ยหยันแล้วจึงหันไปร้องบอกถังเทียนห่าวอีกครั้ง “ลุงถังครับ.. ลุงไม่จำเป็นต้องถูกสอบสวนอะไรอีกแล้ว เรากลับกันดีกว่าครับ!”
  หลังจากหลิงหยุนร้องบอกเป็นครั้งที่สอง..ถังเทียนห่าวจึงเดินตรงไปที่หน้าประตู แต่แล้วเสียงร้องเรียกก็ดังขึ้น
  “กรุณารอก่อน..”
  ระหว่างที่หลิงหยุนกับถังเทียนห่าวกำลังจะกลับออกไปนั้นเลี่ยวจื่อเจิงก็รีบร้องเรียกโดยใช้คำพูดสุภาพอย่างที่ไม่เคยใช้ก่อนหน้านี้..
  “หืมม!”
  หลิงหยุนชะงักเล็กน้อยและหันกลับไปมองเลี่ยวจื่อเจิงทันทีพร้อมกับถามขึ้นว่า “มีอะไรไม่ทราบหรือครับคุณเจ้าหน้าที่ระดับสูง.. พวกเรากลับออกไปไม่ได้หรือยังไง”
  จนกระทั่งถึงตอนนี้..หลิงหยุนยังไม่ได้ถามเลยว่าเลี่ยวจื่อเจิงเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร? และเขาเองก็คร้านที่จะรับรู้ด้วย..
  เลี่ยวจื่อเจิงถือวิสาสะเดินยิ้มมาจับมือหลิงหยุนไว้อย่างสนิทสนมพร้อมกบพูดขึ้นว่า..
  “หลิงหยุน..พวกเราสองคนใช่ว่าจะสามารถพบเจอกันได้ง่ายๆ ในเมื่อเจอกันแล้วจะกลับไปง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไงกันเล่า วันนี้เธอต้องอยู่กินข้าวกับฉันสักมื้อก่อนถึงจะกลับไปได้!”
  หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก..เพราะหลังจากที่เลี่ยวจื่อเจิงได้รับโทรศัพท์ เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้รวดเร็วยิ่งกว่าจิ้งจกเปลี่ยนสีเสียอีก!
  นี่กระมังที่คนมักพูดกันว่า..หยิ่งผยองในตอนแรก แต่ะจะได้รับความเคารพในตอนหลัง!
  แต่หลิงหยุนกลับดึงมือกลับพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ไม่ล่ะ! ผมกินอิ่มมาแล้ว”
  เลี่ยวจื่อเจิงจับมือหลิงหยุนไว้ด้วยสองมือเพื่อแสดงถึงความสนิทสนม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะดึงมือออกเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกเก้อจนไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ที่ใหนดี..
  และเมื่อหลิงหยุนตอบกลับมาว่าเขากินอิ่มมาแล้วนั่นก็คือการปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเขาโดยที่ไม่ต้องไตร่ตรอง ทำให้เลี่ยวจื่อเจิงรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก
  หลิงหยุนไม่สนใจว่าเลี่ยวจื่อเจิงจะรู้สึกเช่นไรเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้ลุงถังยังต้องได้รับการสอบสวนทางวินัยอีกมั๊ย”
  จากนั้นยังไม่ทันที่เลี่ยวจื่อเจิงจะได้ตอบอะไรหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางหลี่จิ่วเจียงพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
  “คุณยังกล้าที่จะปล่อยตัวเขาอีกมั๊ย”
  “สอบสวนวินัยอะไรกันอีกเล่าผู้อำนวยการถังจับกุมผู้กระทำความผิดได้ นับว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยต่างหาก เขาควรจะได้รับรางวัลแม้จะช้าไปหน่อย! แล้วฉันยังต้องขอให้ผู้อำนวยการถังช่วยทำสำนวนการสอบสวนให้ฉันด้วย?”
  เลี่ยวจื่อเจิงมองหลิงหยุนด้วยใบหน้าที่เจื่อนลงก่อนจะรีบออกคำสั่ง “เอาล่ะ.. นำตัวไปขังไว้ก่อน แล้วนำพยานหลักฐานทั้งหมดของหลี่จิ่วเจียงมาให้ฉัน แล้วค่อยเริ่มสอบสวนใหม่อีกครั้ง อย่าให้มีช่องโหว่เชียวล่ะ!”
  เมื่อได้ยินคำพูดของเลี่ยวจื่อเจิงหลี่จิ่วเจียงก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความหวาดกลัวทันที!
  เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่ควบคุมตัวหลี่จิ่วเจียงอยู่นั้นจึงรีบลากตัวหลี่จิ่วเจียงออกไปนอกห้องทันที
  หลังจากที่คนทั้งหมดออกไปจากห้องแล้วห้องทำงานทั้งห้องก็ว่างเปล่า และเงียบสงัดขึ้นมาทันที..
  เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งสองคนเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้จึงรีบถอยทัพกลับทันที
  “ผู้อำนวยการเลี่ยว..พอดีผมมีประชุมด่วนต้องรีบไป ไม่อยู่รบกวนคุณแล้ว..”
  “ผู้อำนวยการเลี่ยว..ผมเองก็เพิ่งได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ส่งคืนคดีนี้ให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงจัดการ ผมคงต้องถอนตัว และขอลากลับเลย..”
  เจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนบอกกับเลี่ยวจื่อเจิงพร้อมกับหันไปมองหลิงหยุนอย่างระมัดระวังก่อนจะรีบกลับออกไป
  “ผู้อำนวยการถัง..ดูเหมือนครั้งนี้คุณจะได้ความดีความชอบไปมาก คนอื่นๆคงเห็นผมเป็นตัวตลกไปแล้ว ยังไงก็อย่าถือสาผมเลยนะ..”
  หลังจากที่คนทั้งคู่กลับออกไปแล้วเลี่ยวจื่อเจิงก็รีบเดินเข้าไปหาถังเทียนห่าว พร้อมกับจับมือเขาไว้แน่นพร้อมกับพูดขอโทษขอโพย..
  เลี่ยวจื่อเจิงนั้นถือตัวว่าเป็นถึงผู้บังคับบัญชาของถังเทียนห่าวเขาจึงไม่เคยเรียกถังเทียนห่าวว่า ‘ผู้อำนวยการถัง’ เลยสักครั้ง แต่จะเรียกชื่อของเขามาโดยตลอด ดูเหมือนว่าผู้ที่โทรมาหาเลี่ยวจื่อเจิงนั้นจะมีอำนาจมาก จึงสามารถสร้างความตกอกตกใจให้กับเลี่ยวจื่อเจิงได้ถึงเพียงนี้!
  หลิงหยุนได้ฟังก็นึกขำ..
  “ท่านผู้บังคับบัญชา..อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย! ผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายทำผิดพลาดในครั้งนี้ จนนำปัญหามาให้คุณด้วย!”
  ถังเทียนห่าวนั้นมีสีหน้าที่เป็นปกติดีซึ่งหลิงหยุนเองก็รู้ว่าถังเทียนห่าวนั้นไม่เป็นอะไร เพราะเขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้บ่อยครั้งแล้ว และเวลานี้ทั้งหมดก็เตรียมตัวที่จะกลับ
  แต่จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นอยู่หน้าห้องทำงานของผู้อำนวยการเลี่ยว “ได้ยินว่ามีคนบุกรุกห้องท่านผู้อำนวยการ.. จะให้พวกเราเข้าไปจับกุมตัวเลยมั๊ยครับ”
  และนั่นคือเสียงของหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ยินว่ามีคนพังประตูเข้ามา เขาก็รีบมาดูเหตุการณ์ทันที แต่เมื่อได้ยินว่าผู้ก่อเหตุได้บุกขึ้นมาที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการแล้ว เขาจึงได้ตามขึ้นมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษความปลอดภัยอีกสิบกว่าคน
  ถังเทียนห่าวที่อยู่ในห้องถึงกับพูดไม่ออกและหลิงหยุนก็แอบส่งกระแสจิตบอกถังเทียนห่าวว่า
  -ผมได้ยินมาว่าลุงถังกำลังตกที่นั่งลำบากก็เลยต้องรีบเข้ามาช่วย!–
  ถังเทียนห่าวมองหลิงหยุนด้วยความซาบซึ้งใจ
  “จับกุมตัวใครกัน”
  ผู้อำนวยการเลี่ยวรีบเปิดประตูออกไปและร้องสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดอย่างไม่พอใจ
  “หลีกไปให้พ้น!”
  “ห๊ะ!เอ่อ.. ครับท่าน!” หัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ถึงกับงุนงงที่จู่ๆ ก็ถูกเลี่ยวจื่อเจิงดุเอา..
  และนั่นทำให้หลิงหยุนนึกขันอย่างมากจนต้องหัวเราะออกมาเขาหันไปพูดกับถังเทียนห่าวว่า
  “ลุงถัง..ดูท่าลุงคงต้องอยู่ทำงานกับผู้บังคับบัญชาแล้วล่ะ ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน!”
  ถังเทียนห่าวพยักหน้าเห็นด้วย“เธอกลับไปก่อนก็แล้วกัน! ขับรถขับราระวังด้วยล่ะ”
  แต่ก่อนจะกลับออกไป..หลิงหยุนร้องบอกเลี่ยวจื่อเจิงด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “คุณเจ้าหน้าที่ระดับสูง.. ผมหวังว่าคุณจะทำคดีของหลี่จิ่วเจียงอย่างตรงไปตรงมาล่ะ เพราะผมไม่อยากเสียเวลามามาที่นี่อีกครั้ง!”
  “พวกเราไปกันได้แล้ว..”
  พูดจบหลิงหยุนก็หันไปตบบ่าถังเมิ่งและพากันเดินออกไปจากห้องทันที..
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  ระหว่างที่ทั้งสองคนเดินไปขึ้นรถถังเมิ่งก็หัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง และถึงกับต้องเอามือกุมท้องไว้
  “พี่หยุน..คิดไม่ถึงว่าวันนี้พี่จะเกรงกลัวใครแบบนี้! นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาฉันมากจริงๆ! ฮ่า.. ฮ่า..”
  หลิงหยุนเองก็ได้แต่คิดในใจว่า‘ท่านปู่นี่ช่างยอดเยี่ยมนัก!’
บทที่ 896 : สองสาวหายตัวไป!
  หลิงหยุนในฐานะนายน้อยสี่แห่งตระกูลหลิงก็เพิ่งจะเคยได้สัมผัสรสชาติของการเป็นคุณชายแห่งตระกูลใหญ่เป็นครั้งแรก จึงได้แต่นึกชื่นชมท่านปู่ของตนเองอยู่ในใจ
  แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลิงหยุนไม่รู้ว่า..ในวงราชการนั้น ล้วนแล้วแต่มีเส้นสาย และอำนาจของแต่ละฝ่ายก็พัวพันยุ่งเหยิงกันไปหมด อย่างเช่นเมื่อครู่นี้.. เจ้าหน้าที่บางกลุ่มก็เป็นคนของตระกูลซัน บางกลุ่มก็เป็นคนของตระกูลหลิง..
  เวลานี้ยังไม่มีใครรู้ว่าหลิงลี่ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8แล้ว และอำนาจบารมีของตระกูลหลิงก็ยังไม่ฉายเด่นชัด อำนาจบารมีตระกูลหลิงก่อนหน้านี้แม้จะยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะงัดข้อกับตระกูลซันได้..
  แต่เวลานี้..เบื้องหลังของหลิงหยุนไม่ได้มีเพียงแค่ตระกูลหลิงเท่านั้น ยังมีตระกูลเกา ตระกูลฉิน และตระกูลหลินอีกด้วย..
  หลังจากได้รับโทรศัพท์จากหลิงหยุนชายชราจึงต่อสายหาเกาจิ้นสง และท่านผู้เฒ่าตระกูลเกาก็แทบจะไม่ต้องไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ เช่นเดียวกับผู้เฒ่าตระกูลฉิน และเมื่อทั้งสามตระกูลร่วมมือกันกดดันเช่นนี้ ตระกูลซันก็มีแต่ตายกับตาย ทำให้หลิงหยุนสามารถจัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้นมาก!
  และสำหรับหลิงหยุน..เหตุการณ์ในวันนี้เขาเพียงแค่ต้องการทดสอบการเป็นนายน้อยตระกูลหลิงเท่านั้น
  “เสี่ยวอู๋..นายคิดว่าอีกนานมั๊ยกว่านายจะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้”
  เวลานี้หลิงหยุนเป็นห่วงการฝึกฝนของตี้เสี่ยวอู๋มากเพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นได้..
  ตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังขับรถตอบกลับมาตามความเป็นจริง“พี่หยุน.. เมื่อคืนนี้ฉันรู้สึกว่าเข้าใกล้ขั้นโฮ่วเทียน-7 เข้าไปทุกทีแล้ว คิดว่าคงจะอีกไม่นานนัก..”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“เอาล่ะ.. นายไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก ฉันได้ทำการชำระล้างร่างกายให้กับนายถึงสองครั้ง จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของนายนั้นสามารถรองรับขั้นโฮ่วเทียน-8 ได้อย่างสบายมาก และดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากด้วย!”
  หลิงหยุนไม่ต้องการให้ตี้เสี่ยวอู๋รีบร้อนมากเพราะต่อให้ตี้เสี่ยวอู๋สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ในเร็ววัน แต่ต่อหน้ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน ก็แทบจะไม่ประโยชน์อะไรเลย หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องให้ตี้เสี่ยวอู๋เร่งรัดจนเป็นอันตราย
  “อีกสองสามวันหลังจากนี้.. นายไปเก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่บ้านของฉัน แล้วไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น!”
  ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้า“ครับพี่หยุน..”
  ทันทีที่ได้ยินตี้เสี่ยวอู๋กับหลิงหยุนคุยกันเรื่องฝึกวิชาถังเมิ่งก็ร้องบอกหลิงหยุนด้วยแววตาเป็นประกายทันที
  “พี่หยุน..ตอนนี้แม้แต่แวมไพร์ยังสู้พี่ไม่ได้ แสดงว่าพี่ต้องเก่งแล้วก็แข็งแกร่งมากเลยสินะ! พี่ช่วยทำให้ฉันแข็งแกร่งเหมือนพี่บ้างสิ..”
  ถังเมิ่งยังจำคำพูดของหลิงหยุนได้และเฝ้าคิดถึงวันที่หลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นที่สามารถทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือเก่งกาจได้เพียงแค่ดีดนิ้ว!
  ถังเมิ่งยังคงนึกถึงเรื่องที่จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไม่ต้องฝึกฝนหลิงหยุนได้ฟังก็ได้แต่อึ้ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า
  “นายคงต้องฝันไปก่อน..เพราะตอนนี้ยังทำไม่ได้!”
  การที่หลิงหยุนจะทำให้ถังเมิ่งแข็งแกร่งขึ้นโดยที่ไม่ต้องฝึกนั้นเขาจำเป็นต้องปรุงยาขึ้นมา แต่ตอนนี้เขายังไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ด้วยซ้ำ จึงไม่สามารถปรุงยาใดๆให้กับถังเมิ่งได้ แล้วจะช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรกันเล่า
  ถังเมิ่งหน้าจ๋อยและตอบกลับด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “แล้วฉันต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน”
  หลิงหยุนหัวเราะหึหึก่อนจะตอบกลับไปตามตรง “ไม่ต้องห่วง.. นายตั้งใจทำงานให้ดี คงจะอีกไม่นานนัก!”
  ถังเมิ่งถึงกับยิ้มสดใสขึ้นมาทันทีและรีบหันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น “พี่หยุน.. ตอนนี้เราได้ทรัพย์สินของกู่เหลี่ยนเฉิงมาตั้งมากมาย น่าจะก่อตั้งบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นได้แล้วสินะ”
  เวลานี้ธุรกิจบางอย่างของกู่เหลียนเฉิงก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วและเวลานี้หลิงหยุนเองก็ไม่ได้ร้อนเงิน และต่อไปธุรกิจเหล่านี้ก็จะทำกำไรที่งดงามให้กับเขา
  เพียงแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาทีเหมาะสมจะเปิดบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นนัก..
  หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบไปว่า“ตอนนี้ฉันเองก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่อยู่ ศัตรูกำลังจะบุกมาถึงบ้าน ฉันจึงไม่ต้องการทำอะไรใหญ่โตนักในช่วงเวลานี้..”
  “ฉันรู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการก่อตั้งบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่น..”
  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกวิชาของตี้เสี่ยวอู๋หรือการก่อตั้งบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของถังเมิ่ง หลิงหยุนล้วนต้องการรากฐานที่มั่นคง เขาไม่ต้องการให้เกิดการผิดพลาดใดๆ ขึ้นทั้งสิ้น
  สิ่งที่หลิงหยุนพูดนั้นมีเหตุมีผลถังเมิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจึงเลิกพูดเรื่องการก่อตั้งบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นทันที และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
  “พี่หยุน..วันนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นด้วย!”
  หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า.. ‘วันนี้เป็นวันอะไรกัน! เหตุใดจึงมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย?!’
  แล้วจึงหันไปถามถังเมิ่ง..“เรื่องประหลาดอะไรกัน”
  ถังเมิ่งร้องบอกออกมาด้วยความแปลกใจ“ก็หลังจากที่พ่อสั่งปล่อยตัวฉันแล้ว ฉันก็ไปปรึกษาหารือกับผู้จัดการหวังเรื่องระเบิดเมื่อคืนนี้..”
  หลิงหยุนพยักหน้าและคาดเดาไม่ได้ว่าเรื่องอะไร จึงรีบตัดบท.. “เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว.. นายพูดมาเลยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่”
  ถังเมิ่งมองหน้าหลิงหยุนด้วยความระแวงสงสัยเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นว่า “ก็คลินิกสามัญชนน่ะสิ! ปกติพี่เหยาลู่จะเป็นคนดูแลรับผิดชอบ แต่พอฉันโทรไปหา ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือปิด..”
  “อะไรนะ!”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจจนแทบกระโดดลงจากรถ!เหยาลู่ปิดโทรศัพท์มือถืองั้นรึ! ไม่น่าเป็นไปได้!
  เหยาลู่ถึงขั้นยอมตายเพื่อปกป้องคลินิกสามัญชนจากคนเซียงซีในครั้งนั้นและทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการปรับปรุงตกแต่งร้าน เรียกได้ว่าคลินิกแห่งนี้เปรียบเสมือนชีวิตจิตใจของเหยาลู่เลยทีเดียว!
  เมื่อคืนนี้คลินิกสามัญชนถูกวางระเบิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง ทุกคนในเมืองจิงฉูต่างก็ได้ยิน มีหรือที่เหยาลู่ซึ่งอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 จะไม่ได้ยิน!
  แต่เธอกลับไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกเลยตั้งแต่เมื่อคืน..
  และเรื่องนี้หลิงหยุนเองก็นึกประหลาดใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเช่นกันแต่เพราะเขาเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุขึ้นที่บ้านเลขที่-1 จึงต้องรีบกลับไปดู..
  วันนี้ทั้งวันหลิงหยุนเองก็ยุ่งมาก..เช้ามาก็ไปส่งมู่หลงเฟยจื่อขึ้นเครื่อง ตลอดบ่ายก็วุ่นอยู่กับการปลุกเสกยันต์ไปมากกว่าเก้าร้อยแผ่น ตกเย็นก็ไปจัดการเรื่องของถังเทียนห่าว แล้วยังจะมีเวลาที่ใหนเหลือไปคิด หรือสนใจเรื่องอื่นได้อีกเล่า
  ปิดโทรศัพท์มือถืองั้นหรือปกติเหยาลู่จะเปิดโทรศัพท์มือถือไว้ตลอด แม้กระทั่งตอนนอน เพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะโทรมาไม่ติด จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะปิดโทรศัพท์มือถือในครั้งนี้!
  “เหยาลู่น่าจะอยู่กับเมิ่งหานนี่นายไม่ลองโทรหาเมิ่งหานดูล่ะ”
  ถังเมิ่งขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พี่หยุน.. นี่ก็แปลกอีกเหมือนกัน! ฉันโทรไปหาพี่หลินแล้ว แต่โทรศัพท์ของเธอก็ปิดด้วย..”
  “แย่แล้ว!”
  หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจและรีบสั่งตี้เสี่ยวอู๋ว่า “เสี่ยวอู๋.. ไม่ต้องกลับไปบ้านเลขที่-1 แล้ว ขับไปบ้านเมิ่งหานเดี๋ยวนี้! เร็วๆเข้า!”
  “ครับพี่หยุน..”
  ตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังก็กระวนกระวายใจตามไปด้วยเขารีบเบรกดังเอี๊ยด และเลี้ยวรถกลับทันที ตี้เสี่ยวอู๋ขับไปด้วยความเร็วร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงมุ่งหน้าเข้าสู่ชานเมืองทิศเหนือของจิงฉู..
  ไม่นาน..รถหรูสีดำก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหลินเมิ่งหาน!
  หลิงหยุนพุ่งลงจากรถเข้าไปในบ้านทันทีเมื่อไปถึงก็เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดู และพบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยแม้แต่คนเดียว และรถของหลินเมิ่งหานก็ไม่ได้จอดอยู่ที่บ้านด้วย!
  หลิงหยุนรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาหลินเมิ่งหานทันทีพร้อมกับร้องสั่งตี้เสี่ยวอู๋
  “ฉันจะไปที่บ้านของเหยาลู่เดี๋ยวนี้!”
  ทั้งสามคนดูรีบร้อนอย่างมากโทรศัพท์ของหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ปิดทั้งคู่เช่นนี้ หากไม่พบหญิงสาวทั้งคู่อยู่ที่บ้านของเหยาลู่ ย่อมมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ.. เกิดเรื่องกับหญิงสาวทั้งสองคนแล้ว!
  “พวกนายสองคนไม่ต้องตามฉันไป!พวกเราแยกย้ายกัน.. ถังเมิ่งนายรีบโทรหากังหลิวหย่ง ให้เขาช่วยสืบหาร่องรอยการหายไปให้ด้วย..”
  “ส่วนเสี่ยวอู๋..ถ้าฉันไม่พบเมิ่งหานกับเหยาลู่ที่บ้าน ให้นายพาพี่น้องแก๊งมังกรเขียวออกตามหาพวกเธอทันที!”
  “เริ่มออกตามหาจากโรงแรมไคเฉวียน..จำไว้ว่าต้องหาทุกที่ที่สงสัย หาทุกซอกทุกมุม!”
  ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าและรีบไปจัดการตามคำสั่งของหลิงหยุนทันที..
  หลังจากที่ทั้งสองคนขับรถออกไปจากหมู่บ้านฝูฮัวแล้วหลิงหยุนก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของเหยาลู่ทันที
  หลิงหยุนไปถึงบ้านของเหยาลู่อย่างรวดเร็วและจัดการเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูภายในบ้านทันที..
  “แย่แล้ว..นี่มันไม่ปกติ!”
  หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้หลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ไม่ได้กลับบ้านและพวกเธอได้หายตัวไป!
  ระหว่างที่ยืนอยู่ครุ่นคิดอยู่ในสวนนั้นเสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือในมือของหลิงหยุนก็ดังขึ้น..
  เป็นข้อความจากถังเมิ่งที่เขียนมาบอกว่า
  -พี่หยุน..ตำรวจจราจรบอกว่าบริเวณไม่ไกลจากโรงแรมไคเฉวียนมีกล้องวงจรปิดอยู่ แต่มันถูกทำลายไปแล้ว!-
  ส่วนอีกข้อความเป็นของตี้เสี่ยวอู๋..
  -พี่หยุน..คนของแก๊งมังกรเขียวที่ออกไปตามหา มีบางคนพบประตูรถสีฟ้าหล่นอยู่ จากรูปถ่ายที่ส่งมาให้ดู ฉันว่าน่าจะเป็นประตูหลังของรถพี่หลิน..-
  …………….
  จากข้อความทั้งสองข้อความนั้นทำให้หลิงหยุนมั่นใจว่ามีใครบางคนจับตัวหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ไปในระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน และได้ทำลายกล้องวงจรปิดเพื่อทำลายหลักฐาน!
  “เป็นฝีมือขององค์กรนักฆ่าหรือว่าพรรคมารกันแน่”
  ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงหยุนแต่ในเวลานั้นจิตใจของเขาก็เริ่มสงบลงแล้ว และนี่คืออุปนิสัยและบุคลิกของหลิงหยุน ยิ่งเหตุการณ์ตึงเครียดมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งสงบสุขุมมากขึ้นเท่านั้น!
  เมื่อคืนนี้การระเบิดทั้งสองแห่งล้วนเป็นฝีมือขององค์กรนักฆ่าการที่หลินเมิ่งหานและเหยาลู่ถูกจับตัวไป ก็คงจะเป็นฝีมือของพวกมันเช่นกัน!
  หลิงหยุนใคร่ครวญอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาดจากนั้นจึงยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาอาปิงทันที..
  “อาปิง..เมื่อคืนนายส่งหลงหวู่ถึงที่บ้านใช่มั๊ย”
  เพราะวันนี้ตลอดทั้งวันหลิงหยุนเองก็ยังไม่เห็นหลงหวู่เช่นกัน..
  “ส่งถึงบ้านครับพี่หยุน!ฉันส่งถึงหน้าประตูบ้านเลย!”
  หลิงหยุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับพูดเสียงเบา“ถ้างั้นก็ดี!”
  หลังจากวางสายไปแล้วหลิงหยุนก็โยนโทรศัพท์มือถือเข้าไปในแหวนพื้นที และมองไปทางเขาหยกด้านใต้
  จากนั้นร่างของหลิงหยุนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับนก..เขากระโดดข้ามบ้านเจ็ดแปดหลัง และมุ่งหน้าไปยังเขาหยกด้านใต้ทันที
  ระหว่างทาง..กลุ่มค้างคาวสีดำก็บินกันอยู่เต็มท้องฟ้า ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีดำ