ตอนที่ 812 เขาพูดว่าไงนะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ในพื้นที่ห่างไกลของภูเขาจั่งไป๋นี้เงียบสงัด มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังสำรวจป่าอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าพวกเขาจะต้องเดินผ่านกิ่งไม้ใบหญ้าก็ตาม

 

 

ดูเป็นภาพที่น่าขนลุกเหลือเกิน เพราะเมื่อมองมาจากที่ไกล ๆ แล้ว โลกที่เห็นตรงหน้านี้เหมือนกับถูกปิดเสียงไว้

 

 

อีกอย่างสมาชิกในกลุ่มแต่ละคนก็มีนัยน์ตาสีเงินอมขาวที่ดูแปลกประหลาด

 

 

คลื่นพลังจิตวิญญาณหลั่งไหลออกมาจากตัวเขาอย่างไม่หยุดหย่อน มันทำปฏิกิริยากับบรรยากาศเมื่อสัมผัสกับอากาศ และเขาก็สามารถควบคุมอากาศรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

โดยปกติแล้วพลังงานเสียงจะถูกส่งผ่านการสั่นสะเทือนของอนุภาคในอากาศ แต่ในเมื่อตัวกลางที่แสนจะสำคัญนั้นถูกควบคุมอยู่ จึงทำให้บริเวณนี้ไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป!

 

 

ความสามารถของมนุษย์ถูกนำมาใช้มากขึ้นในยุคจิตวิญญาณนี้ บางครั้งสงครามก็เป็นตัวเร่งที่จะทำให้เกิด ‘นวัตกรรม’ ใหม่ ๆ เช่นกัน

 

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลุ่มนี้ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยความคิดที่พัฒนามาอย่างดี ในกลุ่มมีทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะรอย ผู้มีพลังธาตุดินเพื่อใช้ในการโจมตีอย่างรวดเร็วขนภูเขา และอีกคนหนึ่งก็สามารถควบคุมอากาศและเสียงได้

 

 

พวกเขาเคลื่อนที่ไปในป่าอย่างช้า ๆ เมื่อเดินมาถึงแหล่งน้ำแล้วก็จึงเติมน้ำใส่ภาชนะเก็บไว้ พวกเขาถือของเยอะ ๆ ไม่ได้ เพราะมีเนื้อที่ในคลังเก็บของไร้รูปไม่เพียงพอ

 

 

อีกอย่างแล้วการขนของหนัก ๆ ไปด้วยจะทำให้เสียพลังงาน และทำให้เคลื่อนที่ช้าลงด้วย โชคดีที่แหล่งน้ำบนภูเขาจั่งไป๋ค่อนข้างจะหาได้ง่าย

 

 

ทั้งกลุ่มไม่ได้เดินเข้าไปใกล้แหล่งน้ำอย่างผลีผลาม เพราะพวกเขาเพิ่งจะโดนหลี่ว์ซู่แอบซุ่มโจมตีไปสองครั้งแล้ว

 

 

แหล่งน้ำดูใสสะอาดดี และไม่มีสิ่งสกปรกใด ๆ เจือปน มันลึกเพียงแค่สามเมตรเท่านั้น ไม่มีอะไรดูผิดสังเกต

 

 

หัวหน้ากลุ่มพยักหน้าให้สัญญาณว่าบริเวณนี้ปลอดภัย สมาชิกคนหนึ่งจุ่มแถบทดสอบน้ำลงไปในบ่อน้ำนั้น แถบทดสอบจะบอกได้ว่าแหล่งน้ำนี้มีหรือไม่มีสารเคมีอันตรายเจือปนอยู่หลังจากที่ผ่านไปห้านาที

 

 

ที่จริงแหล่งน้ำในภูเขาจั่งไป๋สะอาดดี ไม่เหมือนกับแหล่งน้ำที่ทะเลทรายลบนัวร์ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็กลัวว่าหลี่ว์ซู่อาจจะมาวางยาในน้ำนี้ก็ได้

 

 

พวกเขาเข้ามาในบริเวณใจกลางของภูเขานี้ได้สามวันแล้ว แต่พวกเขาไม่มีเวลาล้างหน้ากันเลยสักครั้ง วันแรกพวกเขาพบหลี่ว์ซู่และต้องวิ่งไล่ล่ากันอย่างดุเดือด เลยทำให้พวกเขาเหนื่อยกันมาก ตอนนี้พวกเขามีเวลาพักในระยะเวลาสั้น ๆ ก็เลยอยากจะแปรงฟังและล้างหน้ากันหน่อยเพื่อคลายความเหนื่อยล้า

 

 

สองสามวันที่ผ่านมานั้นหลี่ว์ซู่เล่นพวกเขาหนักมาก หลี่ว์ซู่จงใจเลือกบริเวณที่ต่อสู้ได้ยาก และมีแต่ที่ซ่อนอยู่เต็มไปหมด ถึงหลี่ว์ซู่จะไม่ได้แอบซุ่มโจมตีอีกครั้งหลังจากเขาฆ่าสมาชิกกลุ่มไปสองคน แต่หลี่ว์ซู่ก็ทำให้สมาชิกในกลุ่มระแวดระวังกันอยู่ตลอด

 

 

เมื่อสมาชิกสองคนกำลังก้มลงไปวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า หัวหน้ากลุ่มก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันในอากาศ

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็โผล่ออกมาจากน้ำหลังจากที่หลบซ่อนอยู่ในน้ำนี้กว่าสี่ชั่วโมงแล้ว เขาเบิกตาโพลง เผยให้เห็นจิตสังหารในดวงตาของเขา

 

 

จากนั้นสมาชิกกลุ่มทั้งหลายก็เห็นมนุษย์ล่องหนเคลื่อนที่ไปมาอยู่ในบ่อน้ำ มันเริ่มใช้มือใหญ่ยักษ์กวนน้ำและลากคนระดับ C สองคนลงไปในน้ำ

 

 

หัวหน้ากลุ่มเห็นอย่างนั้นก็รีบใช้พลังธาตุดินของตัวเองถมบ่อน้ำ แต่กระแสน้ำไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วและสายน้ำก็ขังสมาชิกทั้งสองไว้ข้างใน

 

 

สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มเริ่มดูเย็นชาขึ้น นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาปล่อยให้ชายหนุ่มคนนี้ฆ่าคนของเขา ถึงเขาจะไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับสมาชิกพวกนี้ก็ตามและเขาก็จะไม่มานั่งร้องไห้กับการตายคนพวกนี้ด้วย แต่เขาก็ต้องปกป้องคนของเขาด้วยศักดิ์ศรีของหัวหน้ากลุ่ม

 

 

ทันใดนั้นเองมังกรธาตุดินก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและกวาดตัวเข้าหาหลี่ว์ซู่ มันเข้าไปต่อสู้อย่างดุเดือดกับธาตุน้ำของหลี่ว์ซู่ แต่ธาตุน้ำของหลี่ว์ซู่แข็งแกร่งกว่าและกำราบมังกรธาตุดินอย่างไม่เหลือท่า

 

 

จากนั้นกระแสน้ำก็ไหลย้อนกลับมาหลังจากโจมตีได้สำเร็จ

 

 

และตอนนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็แยกตัวเองออกมาจากร่างน้ำของเขา เขาจ้องไปที่หัวหน้ากลุ่มด้วยสายตาที่เยือกเย็นขณะที่เขาบีบหลังคอของสมาชิกกลุ่มทั้งสองไว้แน่น หน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว และไม่มีใครสามารถต้านทานพลังของหลี่ว์ซู่ได้

 

 

เมื่อออกแรงอย่างเพียงพอแล้ว จะทำให้ไปกดทับเส้นประสาทที่ไขสันหลังและจะทำให้ขยับตัวไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนมีพลังได้เท่านี้ก่อนยุคคลื่นพลังจิตวิญญาณแน่ ๆ

 

 

หลี่ว์ซู่ยืนอยู่เหนือเกลียวน้ำและมองศัตรูของเขาอย่างใจเย็น ที่มุมปากของเขามีรอยเลือดปรากฏอยู่เล็กน้อย และผมของเขาก็ยุ่งเหยิง

 

 

แล้วเขาก็ค่อย ๆ ขยับนิ้วมืออย่างช้า ๆ จนกระทั่งนิ้วมือพวกนั้นหักคอของสมาชิกกลุ่มทั้งสองออกเป็นสองท่อน

 

 

ไม่มีใครคิดว่ากลุ่มที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างพิถีพิถันจะเสียกำลังคนไปสี่คนก่อนที่จะกำจัดเป้าหมายได้ องค์กรต่างประเทศฝากความหวังเอาไว้กับกลุ่มนี้มาก แต่พวกเขาก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มวัยรุ่นแค่คนเดียว

 

 

หัวหน้ากลุ่มชักจะสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นไพ่ตายของเครือข่ายฟ้าดิน เพราะเขาฆ่าคนไปจำนวนมากแม้จะไม่ชินกับการต่อสู้ในป่าก็ตาม!

 

 

อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ใช้อาวุธอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว ถึงอย่างนั้นพลังของเขาก็ไร้ที่ติ ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกกระบี่มาอย่างหนักหน่วง

 

 

ในความเป็นจริงแล้วจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะให้ความสนใจกับความสามารถทางกายภาพ เพราะในความเป็นจริงแล้วความสามารถทางเวทมนตร์มีประโยชน์มากกว่าการต่อสู้แบบระยะประชิด แล้วจะไปเสียเวลากับเรื่องไม่สำคัญทำไมกัน

 

 

แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่เห็นด้วย เขาตื่นตีสามมาฝึกกระบี่จนถึงตีห้าทุกวันอย่างไม่มีข้ออ้างใด ๆ เพราะเขาไม่อยากให้การต่อสู้ระยะประชิดเป็นจุดอ่อนของเขายังไงล่ะ!

 

 

ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดในโลกแห่งการบำเพ็ญก็ต้องเตรียมใจที่จะฝึกหนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลี่ว์ซู่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ

 

 

เมื่ออันตรายเข้าจู่โจมอย่างไม่คาดคิด ร่างกายนี่แหละจะเป็นอาวุธที่ดีที่สุดและเป็นโอกาสสำคัญที่จะเอาชีวิตรอดด้วย แม้ว่าจะฝึกฝนจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้มีดบิน แต่การควบคุมพลังฟื้นคืนและการมีสมองที่เฉียบแหลมจะต่อโอกาสชนะได้มากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งไหนเทียบกับพลังความแข็งแกร่งและความเร็วของร่างกายได้เลย

 

 

และเมื่อหัวหน้ากลุ่มเริ่มเข้าใจผิด คิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้ฝึกฝนด้านพลังทางกายภาพและการต่อสู้ระยะประชิดแล้ว หลี่ว์ซู่ก็จะโจมตีด้วยพลังน้ำของเขาอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว และเขาก็กำราบพลังของหัวหน้ากลุ่มธาตุดินได้เรียบร้อย!

 

 

หัวหน้ากลุ่มรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของชายหนุ่มคนนี้มาตลอด ถึงแม้ว่าพวกเขาควรจะเป็นผู้ล่าก็ตาม

 

 

เขาตัดสินใจว่าจะถอยก่อน เขาเพิ่งเสียสมาชิกกลุ่มไปทั้งหมดและยังแพ้การต่อสู้ครั้งแรกให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ จึงทำให้ความมั่นใจของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ

 

 

ในขณะนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็ถอยไปที่ต้นน้ำบนภูเขา ตอนที่เขากำลังจะหายไปในป่าอยู่นั้น เขาก็พูดเยาะเย้ยออกมาเป็นภาษาจีน “แกไม่เหมาะสมกับเครื่องแบบนี้”

 

 

เสียงของหลี่ว์ซู่ทุ้มราวกับสายฟ้าฟาด ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าตัวเขาเองนี่เจ๋งจัง

 

 

หลังจากเงียบกันไปนาน หัวหน้ากลุ่มก็ถามกลับเป็นภาษาอังกฤษ “เมื่อกี้เขาพูดว่าไงนะ”