คนรถชะงักอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าตอนนั้นเหวินเปียวเป็นคนพานางไป คนรถไม่รู้ที่ตั้งร้านผลิตอาวุธนี้ จึงเปิดม่านรถขึ้น จำแนกเส้นทาง บอกทางคนรถจนมาถึงร้านอาวุธ
หลี่ต๋าเถี่ยคงได้รับงานชิ้นใหม่ กำลังตีอาวุธเหงื่อโทรมกายดั่งสายฝนโปรยอยู่หน้าร้าน พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า มองนางแวบหนึ่ง ไม่ปริปากใดๆ ตั้งใจทำอาวุธในมืออย่างแน่วแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รบกวนเขา ยืนรอเขาทำงานในมือเสร็จอีกด้านพร้อมเมิ่งฉี
หลี่ต๋าเถี่ยตีวัสดุเผาไฟแดงฉานจนเป็นรูปทรงแบนใหญ่ ถึงนำวัสดุกลับเข้าไปในเตาหลอมอีกครั้ง หยิบผ้าขนหนูที่คาดลำคอไว้ออกมาเช็ดเหงื่อ ถึงพูดทักทาย “แม่นางมาแล้ว เข็มเงินทำเสร็จแล้ว เจ้าตามข้าเข้าไปดูด้านในเถอะ”
ทั้งสองตามเขาเข้าไปในห้อง หลี่ต๋าเถี่ยหยิบห่อกระดาษลงมาจากชั้นวางอย่างระวัง แล้วเปิดออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้เห็นเข็มเงินภายใน “แม่นางดูก่อนว่าตรงตามความต้องการของเจ้าหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจดูโดยทั่ว พยักหน้าพึงพอใจ “ฝีมือของอาจารย์หลี่ยอดเยี่ยมนัก ทำเข็มเงินออกมาได้ดีมาก”
หลี่ต๋าเถี่ยดีใจหน้าบานพลัน “แน่นอน ฝีมือของข้ามีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้แล้ว มีแต่คนยกย่องเข้าให้ข้าผลิตอาวุธให้ แม้แต่สำนักคุ้มภัยเวยหย่วนในอดีต…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าเบิกบานใจก็หายไป โบกมือพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินค่าเข็มที่เหลือให้เขา
หลี่ต๋าเถี่ยไม่นับก็วางมั่วๆ ไว้บนชั้นอีกด้าน ถามขึ้น “แม่นาง ข้าได้ยินว่าไม่นานมานี้เกิดเรื่องกับเหวินเปียว จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว กำลังพักฟื้นอยู่ในบ้าน อาจารย์หลี่ไม่ต้องเป็นห่วง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
หลี่ต๋าเถี่ยถอนหายใจ “คิดถึงความเกรียงไกรในอดีตของสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน บัดนี้กลับ…”
“อาจารย์หลี่รอก่อนเถอะ ภายหน้าสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนจะต้องเกรียงไกรยิ่งกว่าในอดีต ถึงตอนนั้นพวกเขาจะต้องมาสั่งทำอาวุธกับท่านอีกแน่นอน”
หลี่ต๋าเถี่ยถลึงตาโตพลัน “แม่นางหมายความว่า จะพลิกคดีสำนักคุ้มภัยได้ แต่นั่นเป็นคำสั่งจากทางการเทียวนะ”
“ขอเพียงสำนักคุ้มภัยถูกใส่ร้าย จะต้องมีสักวันที่น้ำลดตอผุด อาจารย์หลี่ใจเย็นรอคอยเถอะ”
มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้ม วาจาเด็ดเดี่ยว มั่นใจว่าสำนักคุ้มภัยจะต้องพลิกคดีได้อีกครั้ง จู่ๆ หลี่ต๋าเถี่ยก็เกิดความรู้สึกเชื่อคำพูดนาง หัวเราะร่าพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี หากมีวันนั้นจริง ข้าจะผลิตอาวุธที่ดีที่สุดให้สำนักคุ้มภัยเอง”
หลังบอกลาหลี่ต๋าเถี่ย เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งคนรถมุ่งหน้ากลับเมืองฝั่งใต้
เมิ่งฉีมองดูเข็มเงินในมือนาง กังขาถาม “เขาสั่งทำเข็มเงินนี้มาทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องที่รักษาโรคให้ฮูหยินเหวินซื่อให้เขาฟัง
ในตอนนั้นเมิ่งฉียังอ่อนเยาว์ ไม่ค่อยได้ทำความรู้จักเหวินซื่อ แต่เขาก็รู้เรื่องใหญ่หลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับร้านยาเต๋อเหรินในตำบลชิงซีทั้งหมด ทั้งเคยได้ยินเรื่องของเหวินซื่อ อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวยังปรุงยาส่งให้ร้านยาเต๋อเหรินทุกปี ได้ฟังก็พยักหน้า พูดกำชับ “เรื่องเช่นนี้อยู่ที่ฟ้าลิขิตแล้ว เจ้าพยายามให้เต็มที่ก็พอ หากไม่สำเร็จก็ไม่ต้องรู้สึกผิดไป”
“ข้าทราบ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้รับปากเต็มคำ แต่จะลองพยายามดู หวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่เช่นนั้นต่อไปชีวิตของอาซ้อเหวินซื่อคงต้องลำบากแล้ว”
เมิ่งฉีไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ตอนนี้เหวินซื่อเป็นนายใหญ่ร้านยาเต๋อเหริน ทางร้านมีสาขาจำนวนมาก ครอบครัวใหญ่มีภูมิหลังยาวนาน ครอบครัวเช่นนี้ให้ความสำคัญกับลูกหลานสืบสกุลมาก ตอนนี้อาซ้อเหวินซื่อเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บหนัก ท่านปู่ของเหวินซื่อจึงยังไม่พูดอะไร แต่ผ่านไปนานเข้าก็คงไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะต้องบังคับให้เหวินซื่อมีอนุภรรยา และอาซ้อเหวินซื่อเองก็เริ่มมีความคิดนี้แล้ว แต่หากถึงขั้นนั้นจริงๆ นางจะต้องเจ็บปวดใจมากอย่างแน่นอน”
เมิ่งฉีพยักหน้าเข้าใจ อย่าว่าแต่สกุลใหญ่โตเลย ครอบครัวชนบทอย่างพวกเขาก็เช่นกัน หากแต่งงานภายในหนึ่งปียังไม่มีบุตร บิดามารดาในบ้านจะเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินของเหวินซื่อที่หมอประกาศว่าจะมีลูกไม่ได้อีก
กลับมาถึงบ้าน จอดรถม้าสนิท ทั้งสองก็ลงจากรถม้าเดินมาหน้าประตู คนเฝ้าประตูรายงานอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง ซื่อจื่อมานานแล้ว กำลังรอท่านอยู่ในเรือนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินกลับมายังเรือนของตนเองพร้อมเมิ่งฉี
หวงฝู่อี้เฝ้าหน้าประตูห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ดีใจร้องพูดเข้าไปในห้อง “ท่านพี่ พี่สาวเมิ่งกลับมาแล้วขอรับ” พูดจบก็เร่งฝีเท้าเดินมาตรงหน้าเมิ่งฉี ถามด้วยความยินดี “พี่เมิ่งฉี ยังจำข้าได้หรือไม่”
ในตอนที่หวงฝู่อี้ตามอี้เซวียนเข้าเมืองหลวงเพิ่งมีอายุได้ห้าหกขวบ บัดนี้ผ่านมาหลายปี เติบโตขึ้นไม่น้อย อีกทั้งคอยติดตามอี้เซวียน ได้เรียนรู้ระเบียบพิธีการไม่น้อย ไร้ซึ่งกลิ่นอายเยี่ยงเด็กชนบทไปเสียสิ้น แวบแรกเมิ่งฉีจำเขาไม่ได้ นิ่งอึ้งพินิจมองเขา
ที่จวนอ๋องฉีมีกฎระเบียบมากมาย จะขยับตัวทีมีสายตาคอยจับจ้อง แต่พอมาอยู่ที่นี่ ไม่มีกฎข้อบังคับมากเช่นนั้น ทำให้เขาร่าเริงสดใสขึ้นมาก เห็นเมิ่งฉีจำตัวเองไม่ได้ ดีใจหันไปพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนที่เดินออกมา “ท่านพี่ ข้าชนะแล้ว ท่านต้องให้ข้าห้าตำลึงเงิน”
หวงฝู่อี้เซวียนย่อมไม่สนใจเงินห้าตำลึงนั้น ยิ้มรับคำ “ได้ กลับจวนไปข้าจะให้เจ้า”
หวงฝู่อี้ดีใจฉีกยิ้มกว้าง
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าแหนงหน่าย “ดูเจ้าทำท่าเข้า ราวกับถูกข้าทารุณที่จวนอ๋อง ไม่ให้เงินเจ้าใช้อย่างนั้นล่ะ”
หวงฝู่อี้กำลังจะพูด เมิ่งฉีก็เปล่งเสียงเคลือบแคลงใจออกมา “เจ้าคือหนิวตั้น”
หวงฝู่อี้หันกลับมา พยักหน้าให้เมิ่งฉี “ถูกต้อง พี่เมิ่งฉี ข้าเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้ชื่อหนิวตั้นแล้ว ท่านพี่ตั้งชื่อให้ข้าใหม่ หวงฝู่อี้”
เมิ่งฉีมองประเมินเขาใหม่อีกรอบ พูดว่า “หนิวตั้นโตขนาดนี้แล้ว ข้าจำไม่ได้เลยจริงๆ”
หวงฝู่อี้แก้ไขให้เขาอีกครั้ง “พี่เมิ่งฉี ตอนนี้ข้าชื่อหวงฝู่อี้ ไม่ใช่หนิวตั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวโพล่งหัวเราะ
เมิ่งฉียิ้มพูด “ได้ๆๆ พี่เมิ่งฉีรู้แล้ว เจ้าชื่อหวงฝู่อี้”
หวงฝู่อี้พูดอย่างเบิกบาน “หลายวันก่อนข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าพี่เมิ่งฉีมา ข้าอยากตามท่านพี่มาหาท่านมาก แต่สองวันนี้ท่านพี่ยุ่งมาก โชคดีที่วันนี้ว่างแล้ว”
เมิ่งฉีลูบศีรษะเขา พูดว่า “เจ้าอยู่เมืองหลวงหลายปี ไม่รู้จักทาง มาเองไม่ได้หรือไร”
หวงฝู่อี้ส่ายหน้า “สองวันนี้ข้าต้องตามท่านพี่ไปนอกเมืองเพื่อช่วยพวกท่านดูที่ดิน จึงไม่ว่างเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็เงยหน้ามองหวงฝู่อี้เซวียน “มีความคืบหน้าหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เข้าไปพูดกันเถอะ”
คนทั้งหมดเดินเข้ามาในห้อง หวงฝู่อี้ไปชงชาเข้ามา แล้วออกไปยืนเฝ้าหน้าประตู
หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “สองวันก่อนข้าได้ยินว่ามีคนจะขายที่ดินห้าร้อยหมู่นอกเมืองฝั่งเหนือ เมื่อวานบ่ายข้าจึงตามออกไปดู อยู่ไม่ห่างจากเมืองฝั่งเหนือนัก ที่ดินห้าร้อยหมู่ติดกันทั้งผืน ข้างๆ ยังมีธารน้ำไหล สะดวกในการรดน้ำ เหมาะที่จะเอาไว้ปลูกมันฝรั่งยิ่งนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น “ที่ดินห้าร้อยหมู่มากเกินไป พวกเราไม่ได้ปลูกมากขนาดนั้น”
“ข้าก็รู้สึกว่ามากเกินไป แต่ที่ดินห้าร้อยหมู่นี้เป็นของคนมีบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวง ได้ยินว่าต้องรีบใช้เงิน ถึงยอมขายที่ดินและเรือนอาศัย หากพวกเราไม่ซื้อไว้ทั้งหมด เขาก็จะไม่ขาย อีกทั้งราคาก็ถูกมาก ทั้งหมดเพียงหนึ่งล้านตำลึง ปกติแค่ที่ดินก็ซื้อไม่ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วครุ่นคิด ครู่หนึ่งถึงเงยหน้าถามเมิ่งฉี “พี่รอง ท่านคิดว่าอย่างไร”
ที่ดินห้าร้อยหมู่มากเกินไปก็จริง ทว่าราคาถูกแสนถูก หากซื้อไว้เมิ่งเชี่ยนโยวก็จะมีเครื่องแต่งงานมากขึ้น ชีวิตในภายหน้าก็จะยิ่งไม่มีอะไรต้องห่วง จึงพยักหน้าพูดว่า “ข้าคิดว่าได้ ที่ดินปลูกมันฝรั่งห้าร้อยหมู่ก็ไม่ถือว่ามาก อย่างมากปีหน้าข้าออกไปหาลูกค้าเพิ่มขึ้นก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงลังเล “ที่บ้านก็มีมันฝรั่งหลายร้อยหมู่แล้ว หากพวกเราปลูกเยอะขนาดนั้นอีก คาดว่าจะพอกินไปครึ่งค่อนประเทศ พวกเราไหนเลยจะขายได้มากเช่นนั้น”
เมิ่งฉีเห็นนางไม่ยินยอม จึงพูดหว่านล้อม “ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามาก พวกเราปลูกมันฝรั่งน้อยหน่อยก็ได้ ส่วนที่เหลือเอาไปปลูกอย่างอื่น ก็มีให้เก็บเกี่ยวไม่แพ้กัน สรุปคือ ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ไม่ต้องลังเลแล้ว เชื่อพี่รอง พวกเราไปซื้อกันวันพรุ่งนี้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนมีไหวพริบดี พูดโน้มน้าวตามไปด้วย “เมื่อพวกเราปลูกมันฝรั่งมากขนาดนั้นไม่ได้ ก็ซื้อเก็บไว้ก่อนได้ วันหน้าแบ่งขายก็คงทำกำไรได้ไม่น้อยเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าวิธีนี้เป็นไปได้ พูดว่า “ก็ได้ เชื่อพวกท่านก็ได้ วันพรุ่งพวกเราจะไปซื้อไว้”
เมิ่งฉีโล่งใจ “พรุ่งนี้ขบวนรถม้าของที่บ้านต้องกลับไปลำเลียงมันฝรั่งแล้ว ข้าได้เขียนจดหมายหาพี่ใหญ่ ให้เขาส่งเงินที่ใช้ช่วงหลายวันนี้รวมถึงเงินค่าที่วันพรุ่งนี้มา”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย คัดค้านเสียงแข็ง “แค่เงินของข้าก็ใช้ไม่หมดแล้ว ข้าจะไปเอาของพวกท่านอีกทำไม ท่านแค่เขียนจดหมายบอกพี่ใหญ่ว่าพวกเราซื้อทรัพย์สินอะไรบ้างก็พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเงิน”
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดสนับสนุน “นั่นสิ พี่รอง หลายปีมานี้ข้าช่วยท่านแม่ดูแลร้านค้าสินเดิมของพระมารดา หาเงินมาได้ไม่น้อย ข้ามอบให้นางไปแล้ว นางต้องการเท่าใด ก็เอาไปใช้ได้เลย ไฉนยังต้องให้ท่านและพี่ใหญ่ออกเงินอีก”
เมิ่งฉียืนกราน “ไม่ได้ เงินพวกนี้ต้องให้ข้าและพี่ใหญ่เป็นคนออก โยวเอ๋อร์เป็นน้องสาวพวกเรา ภายหน้าทรัพย์สินพวกนี้จะกลายเป็นเครื่องแต่งงานของนาง จะให้เจ้าออกเงินได้อย่างไร”
“เหตุใดข้าถึงออกเงินไม่ได้ พี่รองเห็นข้าเป็นคนนอกแล้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเข้ม
เมิ่งฉียังคงยืนหยัดในความคิดของตนเอง “นี่เป็นคนละเรื่อง แม้พวกเราจะมาจากชนบท แต่ตอนที่พวกเจ้าแต่งงานกัน พวกเราจะไม่ยอมให้คนใหญ่คนโต คุณหนูฮูหยินในเมืองหลวงดูถูกโยวเอ๋อร์ได้ หากคนอื่นรู้ว่าใช้เงินของเจ้าซื้อเครื่องแต่งงานให้นาง ต่อไปเจ้าจะให้โยวเอ๋อร์เงยหน้ามองคนอื่นได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะพูด เมิ่งฉีสกัดนางด้วยท่าทีแข็งกร้าว “เรื่องนี้ให้ว่าตามนี้ ข้าจะกลับไปเขียนจดหมายหาพี่ใหญ่ รุ่งเช้าให้ขบวนรถม้ากลับไปลำเลียงมันฝรั่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าโต้แย้ง เบี่ยงเบนไปพูดเรื่องอื่น “ตอนนี้พวกเหวินเปียวไม่อาจกลับไปด้วยได้ คนคอยคุ้มกันลดน้อยลง คนในบ้านก็มีไม่มากแล้ว จะเคลื่อนย้ายพวกเขาอีกไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าและอี้เซวียนจะหาคนมาเพิ่ม ให้ตามกลับบ้านไปในวันพรุ่งนี้ พอบรรทุกมันฝรั่งเสร็จก็ให้พวกเขาตามกลับมาด้วย”
แม้ตำบลชิงซีและเมืองหลวงจะใช้เวลาเดินทางเพียงสองวัน แต่ระหว่างต้องผ่านป่าเขาไม่น้อย มีโจรป่าบ้างเป็นครั้งคราว มีคนคุ้มกันมากหน่อยย่อมดีกว่า ครั้งนี้เมิ่งฉีจึงไม่คัดค้านพูดว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าจัดการเถอะ ข้าจะกลับห้องไปเขียนจดหมายให้พี่ใหญ่ก่อน”
เมิ่งฉีออกไปจากห้อง หวงฝู่อี้พูดคุยกับเขาอย่างมีความสุขอีกครู่หนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้นจิบ แย้มยิ้มพูดว่า “เจ้าเดาสิ สองวันมานี้ข้าเจอเรื่องดีอะไรเข้า”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ที่คุ้นเคย ก็รู้ว่าจะต้องมีคนดวงซวยอีกแล้ว ยิ้มถาม “ใครที่โชคร้ายอีกเล่า ถูกเจ้าวางแผนจัดการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นนิ้วมือหนึ่งแกว่งไปแกว่งมาเบื้องหน้าเขา กระหยิ่มยิ้มย่องใจพูดว่า “ครั้งนี้เจ้าพูดผิดแล้ว เป็นนางที่เดินมาชนข้าเอง ไม่ใช่ข้าไปวางแผนร้ายกับนาง”
หวงฝู่อี้เซวียนจิบน้ำชาหนึ่งคำ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย ยิ้มถาม “ใครกันที่เข้ามาอยู่ในเงื้อมมือเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดซุกซน “เจ้าทาย”
หวงฝู่อี้เซวียนประมวลผลคาดเดา “เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นาน รู้จักคนเพียงไม่กี่คน เจ้าไม่มีทางไปวางแผนคนรู้จัก เช่นนั้นก็เหลือแต่คนที่เป็นศัตรูกับเจ้าแล้ว เฮ่อเหลี่ยนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย มหาเสนาบดีก็ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช เช่นนั้นก็เหลือแค่พระชายารองแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง ชะโงกหน้าเข้าหาเขามองอย่างพินิจพิเคราะห์
หวงฝู่อี้เซวียนถูกนางมองจนขนหัวลุก กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พูดอึกๆ อักๆ “เจ้า เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือฉีกบางสิ่งออก “ข้าอยากแหวกสมองของเจ้าออกดูนัก ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้กันแน่”
ว่าแล้ว ก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “พูดกับเจ้าไม่สนุกเลยสักนิด”
หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้เข้าใจ นึกเสียใจพลัน หยั่งเชิงพูดว่า “ไม่เช่นนั้นข้าทายใหม่อีกครั้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเขม็งตาใส่อย่างไม่พอใจ
หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูกแก้เก้อ ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ถามว่า “เหตุใดพระชายารองถึงมาเจอกับเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่นางให้สาวใช้มาขายร้านค้า นางบังเอิญเห็นเข้า จึงให้เมิ่งฉีซื้อไว้
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟัง ขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดนางต้องรีบร้อนขายร้านค้า แม้มหาเสนาบดีจะถูกปรับไม่ได้รับเบี้ยหวัดหนึ่งปี แต่นั่นเป็นรายรับเพียงกระผีกเดียวของเขาเท่านั้น ไม่ถึงขั้นที่พระชายารองจะต้องช่วยเหลือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกับพูดไม่ออก ฉลาดเกินไปก็เสียรู้ได้ คงจะหมายถึงคนเช่นนี้นี่เอง จึงพูดกับเขาด้วยความหวังดี “มหาเสนาบดีไม่มีทางต้องให้พระชายารองช่วยเหลือ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่พระชายารองจะต้องส่งมอบอำนาจการดูแลบ้านคืน ที่ตอนนี้นางรีบร้อนจะขายสินเดิม จะต้องเป็นเพราะช่วงที่นางดูแลบ้าน ได้ยักย้ายเงินส่วนกลางไปใช้ ทั้งยังเป็นเงินไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ร้อนรนเช่นนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น “เจ้าหมายความว่านางขายสินเดิมเพื่อมาอุดรูรั่วที่ใช้เงินส่วนกลางไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“เช่นนั้นนางขายได้ราคาเท่าใด” หวงฝู่อี้เซวียนรบเร้าถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นออกไปสองนิ้ว “สองล้านตำลึง”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร ขมวดคิ้วขบคิดบางอย่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รบกวนเขา ยกถ้วยชาขึ้นละเมียดจิบทีละคำ
“สองล้านตำลึงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย เป็นสตรีออกเรือนแล้ว ให้ใช้จ่ายอย่างไรก็ไม่มีทางมากเช่นนี้ได้ อีกทั้ง เงินส่วนกลางจะมอบให้นางตามกำหนดทุกเดือน ดูท่ากลับไปข้าต้องให้คนตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่าเงินหายไปมากขนาดนี้ นางเอาไปทำอะไรกันแน่” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
นี่เป็นเรื่องในครอบครัวพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร เอาแต่จิบน้ำชาอย่างสบายใจ
คำพูดต่อมาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับทำให้นางตกใจจนเกือบจะขว้างถ้วยชาออกไป “พระมารดาบอกว่า นางสุขภาพไม่ดี การดูแลกิจการในเรือนสิ้นเปลืองแรงมาก จึงให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ต่อไปทรัพย์สินที่นาและร้านค้าของจวนรวมถึงการค้าทั้งหมดจะยกให้เจ้าเป็นคนดูแล นางจะดูแลเพียงเรื่องภายในจวนก็พอ”
“เพราะอะไร ข้าไม่ทำ” เมิ่งเชี่ยนโยวกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะ คัดค้านเสียงแข็ง
หวงฝู่อี้เซวียนพูดเพียงคำเดียวก็สกัดนางได้อย่างง่ายดาย “ก็เพราะต่อไปเจ้าจะต้องเป็นซื่อจื่อเฟย สมควรแล้วที่เจ้าจะเป็นคนดูแล”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะอึกกึก แล้วพูดบ่ายเบี่ยง “เรื่องในอนาคตยังไม่แน่นอน ซื่อจื่อเฟยของเจ้าจะเป็นข้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่เล่า”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่หลุบนัยน์ตา พูดเสียงเ**้ยม “เจ้าลองพูดใหม่อีกครั้งสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเนื้อตัวสั่นวาบ คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น ไม่กล้าพูดออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนางเขม็ง ราวกับว่าหากนางกล้าพูดอีกครั้ง เขาจะกลืนกินนางเข้าไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวขลาดกลัว พูดงึมงำ “เจ้าก็จัดการเองได้ เจ้าช่วยพระมารดาเจ้าก็ได้แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าสยบนางลงได้ จึงปล่อยตัวเอนพนักพิงตามสบาย พูดว่า “ที่นา ร้านค้าและการค้ามากมายที่เป็นเครื่องแต่งงานของพระมารดาในมือข้าก็ยุ่งมากพอแล้ว ทั้งหลายวันก่อนเสด็จลุงมีรับสั่งให้ข้าเข้าเฝ้า บอกว่าข้าถึงวัยอันควรแก่การทำงานเพื่อบ้านเมืองได้แล้ว พอพ้นปีใหม่ก็จะมอบหมายงานให้ข้าทำ ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นข้ายังจะมอบสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เจ้าอีกด้วย”