เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วกลับคือสภาพปกติ เลียบๆ เคียงๆ ถาม “ฝ่าบาทจะมอบงานอะไรให้เจ้าหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่รู้ ตรัสเพียงว่าจะให้งานสบายๆ มาให้ข้าค่อยๆ เรียนรู้ไปก่อน”

 

 

พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ไม่มีใครว่างงาน พ้นปีใหม่หวงฝู่อี้เซวียนก็จะมีอายุสิบหกปีแล้ว การที่ฮ่องเต้มอบหมายงานให้ถือเป็นเรื่องเหมาะควร เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ถามมากอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเหมือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ พูดว่า “ข้าได้ซื้อโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือ เป็นโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง วันนี้ได้หาคนมาซ่อมแซมแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

 

 

“แต่ว่า ท่านจะต้องเดาไม่ถูกว่าข้าเจอใครที่เมืองฝั่งเหนือเข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองนาง เอ่ยปากถาม “ใคร”

 

 

พูดถึงเรื่องนี้เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีหน้าตาเบิกบาน “ครอบครัวของใต้เท้าเปา หลังจากเขาถูกโยกย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ถูกส่งไปดูแลเมืองฝั่งเหนือ เมื่อวานตอนที่พวกเราไปดูโรงงาน บังเอิญพ่อบ้านมาพบแล้วจำพวกเราได้พอดี”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเคลือบแคลง “ครอบครัวของใต้เท้าเปา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวซ่อนน้ำเสียงชื่นบานยินดีไว้ไม่อยู่ “ใช่นะสิ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกเขา เดิมข้านึกว่าผ่านเรื่องยุ่งพวกนี้ไปค่อยไปสืบหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ครานี้ดีแล้ว จู่ๆ ก็พบเข้าโดยบังเอิญ”

 

 

“อยู่ๆ ก็เจอคนรู้จัก เจ้าคงดีใจแย่เลยสิ”

 

 

“ไม่เพียงเท่านั้น เปาอีฝานที่ติดตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน ก็เพิ่งจะส่งจดหมายมาบอกว่า ความวุ่นวายที่ชายแดนสงบลงแล้ว อีกไม่นานเขาและแม่ทัพฉู่ก็จะได้กลับมา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังเช่นนั้น ถึงกับเบิกตาโตร้องยินดี “ท่านน้าจะกลับมาแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ฮูหยินเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ว่าเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ได้รับข่าวเลยหรือ”

 

 

“พระบิดาเป็นท่านอ๋อง เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ราชสำนัก ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับท่านน้าเป็นการส่วนตัว ดังนั้นหลายปีมานี้ พระมารดาจึงเป็นห่วงท่านน้ามาก เวลาที่มีรายงานมาจากชายแดน พระมารดาถึงได้รู้ว่าเขาปลอดภัยดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเข้าใจ “วันนี้เจ้ากลับไปบอกพระชายาเอก นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีอกดีใจ “ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปบอกพระมารดา”

 

 

“ประเดี๋ยวเกรงจะยังไม่ได้ เจ้าต้องตามข้าไปเหลาจวี้เสียน ให้หลงจู๊ช่วยรวบรวมองครักษ์หลวงสิบนาย ตามขบวนรถม้ากลับไปลำเลียงมันฝรั่งที่บ้านข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางถ้วยชาในมือลง ลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ พวกเราไปตอนนี้ ตอนค่ำก็อยู่กินที่เหลาจวี้เสียน” แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “เรียกพี่เมิ่งฉีและอี้เอ๋อร์ไปด้วย”

 

 

เหลาจวี้เสียนเป็นถิ่นของตัวเอง ย่อมทำอะไรได้ตามใจ เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ร้องสั่งออกไปด้านนอก “ชิงหลวน ไปตามคุณชายรองเข้ามา”

 

 

ชิงหลวนที่อยู่ในลานเรือนรับคำ ไม่นานก็ตามเมิ่งฉีเข้ามา

 

 

เมิ่งฉีเพิ่งจะเขียนจดหมายเสร็จ ได้ยินเสียงชิงหลวนก็เดินตามออกมา พ้นประตูเข้ามาก็ถามขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ”

 

 

“อี้เซวียนอยากเลี้ยงอาหารพี่รองที่เหลาจวี้เสียนเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด

 

 

เมิ่งฉีโล่งใจ พูดว่า “จู่ๆ ก็เรียกข้ามากะทันหัน ข้านึกว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พวกเจ้าไปกันสองคนเถอะ ข้ากินที่บ้านก็ได้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนหันสบตากัน พูดยั่วเย้าเขา “ร้านก๋วยเตี๋ยวของพวกเราเปิดตรงข้ามเหลาจวี้เสียน พี่รองมาหลายวันแล้ว ท่านไม่อยากไปดูว่าการค้าเป็นอย่างไรบ้างหรือ”

 

 

ทุกวันที่ได้คุยกับเมิ่งอี้ รู้ว่าการค้าเป็นไปได้ดี แต่ได้ดีถึงขั้นไหน เมิ่งฉีก็ไม่รู้ ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเปลี่ยนใจ “ได้ ข้าจะตามพวกเจ้าไปดูว่าการค้าเป็นอย่างไรกันแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปยักคิ้วให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างได้ใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกยิ้มส่ายหน้า

 

 

หวงฝู่อี้ยืนหน้าประตู ย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง ก็รีบวิ่งไปบอกให้คนรถตระเตรียมรถม้า

 

 

คนทั้งหมดเดินออกมา ไม่เห็นหวงฝู่อี้ รู้ว่าเขาไปเตรียมรถม้าแล้ว จึงเดินตรงออกมาหน้าประตูใหญ่ทันที

 

 

คนรถนำรถม้ามาจอดรอไว้แล้ว หวงฝู่อี้ยืนยิ้มตาหยีข้างรถม้า

 

 

ทั้งสามไม่มีกฎข้อห้าม เข้าไปอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน

 

 

หวงฝู่อี้นั่งบนคานด้านหน้า สั่งคนรถมุ่งหน้าไปเหลาจวี้เสียน

 

 

ชิงหลวนและจูหลีตามหลังรถม้าไป

 

 

เหลาจวี้เสียนตั้งอยู่ในย่านเจริญคึกคักของเมือง ผู้คนหนาตา คนรถต้องบังคับรถม้าช้าๆ ด้วยความระมัดระวังจนมาถึงเหลาจวี้เสียน

 

 

ทั้งสามคนลงจากรถม้า หลงจู๊เหลาจวี้เสียนเห็นทั้งสองเดินเข้ามา รีบออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน เดินมาต้อนรับถึงหน้าประตู พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ซื่อจื่อ พวกท่านมาแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย สั่งการเขา “เตรียมห้องรับรองชั้นดี ข้าจะเลี้ยงอาหารพี่รอง”

 

 

ซื่อจื่ออ๋องฉีมีน้องชายต่างมารดาเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่รับทราบโดยทั่วกัน ได้ยินเขาเอ่ยขานพี่รอง หลงจู๊ให้รู้สึกประหลาดใจ เงยหน้ามองประเมินเมิ่งฉี เห็นเขาแต่งกายไม่เหมือนคนเมืองหลวง ท่าทีเป็นพ่อค้าต่างถิ่น ก็เข้าใจพลัน จะต้องเป็นพี่รองของแม่นางเมิ่ง รีบร้อนรับคำ สั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ไปเตรียมทันที

 

 

เมิ่งฉีมองไปโดยรอบ เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม ก็ยกเท้าเตรียมจะเดินไป “พวกเจ้าสั่งอาหารไปก่อน ข้าจะไปดูสักหน่อย”

 

 

พวกหวงฝู่อี้เซวียนเดิมก็มีธุระอื่นอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขัดขวางเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกหวงฝู่อี้ “เจ้าตามพี่รองไป พอถึงเวลาให้พาเขากลับมา”

 

 

หวงฝู่อี้ขานรับคำด้วยความยินดี รีบวิ่งตามเมิ่งฉีไป

 

 

หลงจู๊พาทั้งสองมาถึงห้องรับรองชั้นดี หลังจากสั่งเสี่ยวเอ้อร์ไปชงชา ถึงถามว่า “นายท่าน วันนี้เข้ามาด้วยมีเรื่องอันใดสั่งการขอรับ”

 

 

“เจ้าจงเรียกรวมพลองครักษ์หลวงสิบนาย ให้พวกเขาไปรายงานตัวที่บ้านโยวเอ๋อร์ตอนค่ำ วันพรุ่งให้ตามขบวนรถม้ากลับไปลำเลียงสิ่งของจากตำบลชิงซีกลับมา” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

หลงจู๊นึกว่าต้องลำเลียงสิ่งของสำคัญ หยั่งเชิงถาม “องครักษ์หลวงสิบนายจะพอหรือ ให้ผู้น้อยระดมพลเพิ่มหรือไม่”

 

 

“ไม่ต้อง” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “แค่ลำเลียงมันฝรั่งเท่านั้น ไม่ต้องใช้คนมากมาย สิบคนก็เพียงพอแล้ว”

 

 

“นายท่านและแม่นางต้องการจะสั่งอาหารใดขอรับ” หลงจู๊น้อมถามอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ขอเป็นอาหารที่ข้าถ่ายทอดให้พวกเจ้า เลือกที่ทำอร่อยออกมาสักสิบอย่าง ข้าจะดูว่าพ่อครัวของพวกเจ้าที่นี่เรียนรู้ไปได้กี่ส่วน”

 

 

หลงจู๊ถึงกับตกใจเม็ดเหงื่อผุดซึม ร่างสั่นเทิ้มเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วโค้งคำนับถอยออกไป หลังจากปิดประตู ก็รีบลงไปชั้นล่าง วิ่งไปห้องครัวหลังร้าน ร้องตะโกนเรียกพ่อครัว ป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูเขา

 

 

พ่อครัวฟังจบ เบิกตาโพลงอ้าปากค้าง ตะลึงลานมองมาที่เขา

 

 

หลงจู๊พยักหน้าหงึกๆ ส่งสายตาบอกว่าที่ตนเองพูดเป็นความจริง

 

 

พ่อครัวตะลึงจังงัง เดินเข้าไปในครัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่ให้ลูกศิษย์ทำ ตะโกนบอกพ่อครัวคนอื่นเตรียมผักให้พร้อม เขาจะลงมือปรุงอาหารเอง

 

 

หลงจู๊ซับเหงื่อบนหน้าผาก แอบวาดหวังให้พ่อครัวทำอาหารผ่านมาตรฐานของแม่นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงพูดผ่านๆ ไม่ได้คิดจะบีบคั้นพวกเขา แต่หลงจู๊และพ่อครัวกลับเข้าใจผิดยกใหญ่ ทำอาหารไปด้วยความหวาดกลัว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจากสีหน้าหลงจู๊ ยิ้มอ่อน พูดว่า “คล้ายว่าเจ้าจะทำให้หลงจู๊ตกใจแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วถาม “ไม่ดอก ข้าเพียงพูดเล่นๆ หลงจู๊คิดมากเกินไปแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอ่อนพูดเสียงดังขึ้น “ใครอยากให้เจ้าเป็นว่าที่ซื่อจื่อเฟย ว่าที่นายของพวกเขาเล่า เจ้าพูดเช่นนี้ออกไป พวกเขาย่อมต้องหวาดกลัว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา คิดถึงสีหน้าเมื่อครู่ของหลงจู๊ก็หลุดขำ

 

 

เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้มาถึงร้านก๋วยเตี๋ยว พอพ้นประตูเข้ามา ก็เห็นลูกค้าแน่นเต็มร้าน มีทั้งเสียงกินจิ๊บๆ จั๊บๆ เสียงพูดคุย และเสียงเร่งเร้าของลูกค้าดังระงม

 

 

เมิ่งอี้และองครักษ์จำนวนหนึ่งยุ่งจนยืนไม่ติด พอเห็นเมิ่งฉีเข้ามา ไม่ทันได้เงยหน้าก็เอ่ยปากตามสัญชาตญาณ “นายท่านมาแล้ว ท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ ครั้นเห็นเป็นเมิ่งฉีก็หยุดพูดทันที ยิ้มถามเขา “น้องฉี เจ้ามาได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งฉีกวาดตามองภายในร้านขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยคนที่เข้ามากินก๋วยเตี๋ยว เกิดอาการตกตะลึงพูดไม่ออก “พี่เมิ่งอี้ ขายดีเกินไปแล้วมั้ง”

 

 

เมิ่งอี้ใบหน้าชื่นบาน “ใช่นะสิ ตั้งแต่เปิดร้านจนบัดนี้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะขายดีเช่นนี้ จริงสิ เจ้ามาได้อย่างไร ธุระของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ”

 

 

“อือ” เมิ่งฉีตอบ “วันนี้อี้เซวียนไปที่บ้าน จะพาข้ามาเลี้ยงข้าวที่เหลาจวี้เสียนให้ได้ ข้าจึงแวะมาดูที่ร้านเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งอี้พยักหน้า ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระต่อ

 

 

หวงฝู่อี้คิดถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ให้ทั้งสองคุยต่อ รบเร้าเมิ่งฉี “พี่เมิ่งฉี พวกเราไปเถอะ ประเดี๋ยวพี่สาวเมิ่งกับท่านพี่จะรอนานนะ”

 

 

เมิ่งอี้ได้ยินดังนั้นก็คะยั้นคะยอเมิ่งฉี “รีบไปเถอะ อย่าให้พวกเขาต้องรอนาน”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า กลับมาเหลาจวี้เสียนพร้อมหวงฝู่อี้

 

 

หลงจู๊รู้จักหวงฝู่อี้ พอเห็นพวกเขาเข้ามา ไม่รอให้เขาซักถาม ก็เข้าไปบอกว่าหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ห้องรับรองไหน

 

 

ทั้งสองเดินตรงมาถึงหน้าห้อง หวงฝู่อี้เคาะประตูเบาๆ

 

 

น้ำเสียงละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนดังลอยออกมา “เข้ามาได้”

 

 

หวงฝู่อี้ผลักประตู ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน หวงฝู่อี้พูดขอรับความดีความชอบกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สาวเมิ่ง ข้าพาพี่เมิ่งฉีกลับมาแล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าชมเชย “อี้เอ๋อร์ทำงานได้ดีมาก”

 

 

เมิ่งฉีแหนงหน่าย “ข้าเพิ่งจะพูดกับเมิ่งอี้ได้ไม่กี่คำ เขาก็รบเร้าให้ข้าออกมาแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกยิ้มส่ายหน้า

 

 

พ่อครัวทำอาหารก่อนสามอย่าง ให้เสี่ยวเอ้อร์ยกเข้ามา หลงจู๊ก็เดินตามเข้ามาด้วย หลังจากวางอาหารไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม ก็โบกมือให้เสี่ยวเอ้อถอยออกไป ตัวเองยืนอยู่อีกด้าน รอฟังคำติชมจากเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาก็ให้ขบขัน หยิบตะเกียบขึ้นคีบผักเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง แล้วพยักหน้าพึงพอใจ “ไม่เลว เรียนรู้ได้แปดถึงเก้าส่วน”

 

 

ได้ฟังเพียงเท่านี้ กำลังจะปล่อยวางความตื่นกังวลในใจ เห็นนางจะพูดต่อทำให้เขาร้อนรนอีกครั้ง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เป็นสุข

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบลง พูดว่า “พ่อครัวแต่ละคนมีความถนัดต่างกัน อาหารที่ทำออกมาย่อมมีความแตกต่างกันบ้าง ทำได้ถึงขนาดนี้ นับว่าดีมากแล้ว”

 

 

ในที่สุดสิ่งหลงจู๊ก็คลายความตื่นกังวลที่อัดแน่นในใจลงได้ ยิ้มพูดว่า “นายท่าน แม่นางค่อยๆ กิน ข้าจะไปเร่งอาหารที่เหลือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

หลงจู๊เปิดประตูเดินออกไป ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เดินเข้าไปบอกข่าวดีกับพ่อครัวที่หลังร้าน

 

 

เมิ่งฉีได้ยินคำเรียกขานพวกเขาของหลงจู๊ ให้นึกกังขา แต่ก็ไม่ได้ถามความ

 

 

เมื่ออาหารพวกนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนสอนพวกเขา เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนย่อมต้องเคยกินมาก่อน ด้วยฝีมือที่สู้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ จึงกินอย่างขอไปที มีเพียงหวงฝู่อี้ที่กินอย่างออกรสออกชาติด้วยไม่เคยกินมาก่อน

 

 

พอกินอาหารค่ำเสร็จ ท้องฟ้ายังไม่มืดดี หวงฝู่อี้เซวียนจึงรั้นจะไปส่งทั้งสองกลับบ้านก่อนให้ได้ แล้วถึงกลับจวนอ๋องฉีพร้อมหวงฝู่อี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งกลับเข้ามานั่งในห้อง คนเฝ้าประตูก็มาบอกว่ามีชายสิบคนมาขอพบด้านนอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกคนเฝ้าประตูให้พาพวกเขาเข้ามา

 

 

คนเฝ้าประตูรับคำ เดินออกไปพาองครักษ์หลวงสิบนายเข้ามาในเรือนของนาง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอพวกเขาหน้าประตู ต่างประสานมือพูดขึ้นพร้อมกัน “คารวะแม่นาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกภารกิจที่ต้องทำแก่พวกเขา ทั้งบอกให้วันพรุ่งพวกเขาเข้ามาแต่เช้าตรู่ เพื่อตามขบวนรถม้าไปตำบลชิงซี

 

 

องครักษ์หลวงสิบนายขานรับคำโดยพร้อมเพรียง เดินออกไป พลันสลายหายไปจากหน้าประตูใหญ่

 

 

เช้าวันถัดมา องครักษ์หลวงสิบนายเข้ามาตรงเวลา ขบวนรถม้าก็เตรียมพร้อมแล้ว

 

 

เมิ่งฉีมอบจดหมายให้ชายหัวหน้า กำชับเขาว่า “โรงงานยังซ่อมไม่เสร็จ ไม่รีบใช้มันฝรั่ง พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนสักวันค่อยกลับมา อีกอย่าง ไม่ต้องบอกคนที่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หากพวกเขาถาม เจ้าจงบอกว่าทางนี้ค่อนข้างยุ่ง พวกเหวินเป้าจึงยังกลับไปไม่ได้”

 

 

ชายหัวหน้าจดจำเป็นข้อๆ แล้วนำขบวนรถม้าขบวนใหญ่มุ่งหน้าไปสู่ประตูเมือง

 

 

ช่วงเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้าน เมิ่งฉีนั่งรถม้าไปเมืองฝั่งเหนือ คนงานลงมือทำงานแต่เช้าแล้ว คงเพราะเมื่อวานได้กินอิ่ม คนงานที่ทำงานในวันนี้จึงดูมีพละกำลังขึ้นมากกว่าเมื่อวาน ใบหน้าก็มีแต่รอยยิ้ม

 

 

บ่าวก็เข้ามาแต่เช้าแล้ว คอยตรวจดูว่ายังขาดอะไร ก็จะออกไปซื้อ

 

 

เมิ่งฉีตรวจดูโดยรอบ ไม่พบว่ามีอะไรต้องกำชับอีก จึงพูดกับบ่าวว่า “วันนี้ข้ายังมีธุระอื่น ต้องกลับไปก่อน รบกวนเจ้ากลับไปบอกใต้เท้าของเจ้าว่า วันนี้เที่ยงข้าไม่เข้าไปกินข้าวเที่ยงแล้ว และอีกหลายวันต่อจากนี้ หากพวกเราไม่ได้เข้ามา รบกวนเจ้าดูแลเรื่องในโรงงานให้เรียบร้อยด้วย”

 

 

ก็คือฝากฝังให้เขาเป็นธุระจัดการ บ่าวดีใจที่ได้รับความเอ็นดู โค้งตัวรับคำ “คุณชายวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”

 

 

เมิ่งฉีล้วงเงินสิบตำลึงออกมาให้เขา “ตอนที่พวกเราไม่ได้เข้ามา หากต้องการสิ่งใดให้ซื้อได้ทันที”

 

 

บ่าวยื่นมือสั่นเทิ้มออกไปรับเงิน เก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง

 

 

เมื่อจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งฉีก็กลับมาบ้าน

 

 

รอหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาตอนบ่าย ทั้งสามจึงออกไปดูที่ดินห้าร้อยหมู่ที่นอกเมือง

 

 

เมิ่งฉีขี่ม้าไม่เป็น เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจึงนั่งรถม้าไปกับเขา แต่จะต้องใช้เวลามากหน่อย

 

 

พอมาถึง ทั้งสามก็ลงจากรถม้า ด้านหน้าเป็นที่ดินสุดลูกหูลูกตา บางส่วนมีการเพาะปลูกแล้ว บางส่วนเป็นที่ดินรกร้าง มีหญ้าขึ้นรกชัฏ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง พาคนทั้งสองเดินตรงมาถึงหน้าเรือนหลังหนึ่ง แล้วเคาะประตู

 

 

ประตูถูกเปิดออก ชายสูงอายุวัยห้าสิบกว่าปีเดินออกมา ถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “คุณชาย ท่านมาแล้ว ตกลงใจได้แล้วใช่ไหมขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนชี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เมื่อวานข้าเข้ามาดูแทน ท่านนี้ถึงเป็นผู้ซื้อ”

 

 

ชายสูงวัยมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นลง ถามขึ้น “แม่นางรู้ใช่หรือไม่ว่านายของพวกเราขายที่ดินพร้อมกับเรือนหลังนี้”

 

 

“ทราบแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ข้าดูที่ดินคร่าวๆ แล้ว ข้าคิดจะดูภายในเรือนก่อนค่อยตัดสินใจอีกที”

 

 

ขอเรียกร้องของนางสมเหตุสมผล ชายสูงวัยเปิดประตูออกกว้าง ให้พวกเขาเข้ามา และพูดว่า “คนในเรือนถูกขับออกไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือข้าเฝ้าที่นี่เพียงคนเดียว พวกท่านเชิญดูตามสบายเถอะ”

 

 

ทั้งสามเดินเข้ามาด้านใน ไม่ต้องให้ชายสูงวัยนำทาง เดินดูทั่วทั้งเรือน คาดว่าเจ้าของจะเป็นคนสุนทรีย์ชอบเสพสุข ทั้งเรือนจึงประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า ทุกซอกมุมล้วนงดงามประณีต

 

 

เมื่อเดินดูโดยรอบเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก คิดว่าภายหน้าหลังจากคนในครอบครัวย้ายมาอยู่เมืองหลวง หากไม่คุ้นชินกับชีวิตในเมืองใหญ่ สามารถย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้

 

 

เมิ่งฉีก็รู้สึกว่าไม่เลว พูดว่า “ที่นี่ล่ะ ประเดี๋ยวถามชายสูงวัยว่าจะโอนย้ายได้เมื่อไหร่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นชอบ

 

 

ทั้งสามเดินกลับมาหน้าประตู ชายสูงวัยยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เห็นพวกเขาเดินออกมา เอ่ยปากถามขึ้น “ทุกท่านพอใจหรือไม่”

 

 

“พอใจ ไม่ทราบว่าจะดำเนินการโอนย้ายได้เมื่อไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

ชายสูงวัยใบหน้ายินดี “หากแม่นางตัดสินใจแน่แล้ว พรุ่งนี้นัดเวลาไปทำเรื่องที่ศาลาว่าการได้เลย”

 

 

“ดี วันพรุ่งยามเฉินปลาย พวกเราจะรอนายของท่านที่ศาลาว่าการ ให้เขานำโฉนดที่ดินและโฉนดบ้านมาก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

ชายสูงวัยรับคำ “ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปรายงานนายท่าน วันพรุ่งนายท่านจะเข้าไปตรงตามเวลานัดหมาย”