บทที่ 392 การเคลื่อนไหวของแต่ละบุคคล (6)
[ฉันมีคำถามมากมาย แต่ฉันจะปล่อยมันไปก่อน]
ข้อความมาจาก เรเชล ผมเดาว่าเธอต้องจะสื่อสารผ่านช่องข้อความในกรณีที่เธอทำร้ายความรู้สึกของ อีเวนเดล โดยไม่ตั้งใจ
[จริงหรือเปล่าที่ฯายพาเธอมาที่นี่เพราะเธออยากเจอฉัน?]
ผมตอบอย่างใจเย็น
[ใช่ แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่าง อีเวนเดล เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ไม่เพียง แต่จะช่วยอังกฤษเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทวีปยุโรปในอนาคตอีกด้วย]
คิ้วของเรเชลสั่นเล็กน้อย
[ลูกของฉัน เนี้ยนะ?]
[ลูกของเธอ?]
[ขอโทษที อีเวนเดล จะไปทำอะไรได้?]
“ฮาจิน คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
“อ้อ โทษทีๆ มีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ”
ผมลูบหัว อีเวนเดล แล้วพิมพ์คำตอบ
[ใช่ แม้แต่ผู้วิเศษ อาแฮอิน ก็ยอมรับว่า อีเวนเดล จะแซงเธอได้ภายใน 2 หรือ 3 ปี เธอเป็นนางฟ้าแห่งการอัญเชิญที่มีพรสวรรค์แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน]
แม้ อีเวนเดล จะเล่นเป็นส่วนใหญ่แต่อีกไม่นานเนื้อเรื่องจะเข้าสู่เฟตที่ 3 เธอจะช่วยชีวิตหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหรือแม้กระทั่งหลายแสนชีวิต
“ฮาจิน…?”
“อ้อ ตอนนี้กิลด์ของเธอไปได้ด้วยดีใช่มั้ย”
ผมเริ่มการสนทนาเพื่อที่ อีเวนเดล จะได้ไม่สงสัย
“ใช่ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”
สมาคมราชสำนักของอังกฤษแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอนในทุกวันนี้
ต้องขอบคุณหอคอยแห่งความปรารถนา กิลด์ราชสำนักขาย ‘TP’ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ในหอคอยเหมือน ‘วอน’ ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้กันบนโลก
แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งของผลกำไรจากกิลด์นั้นตรงไปที่เงินกองทุนของประเทศอังกฤษซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อีกครึ่งหนึ่งเธอกลับลงทุนใน Tower of Wish เธอซื้อบัตรผ่านประตูและเพิ่มจำนวนสมาชิกกิลด์
“พวกเราขาดรางวัลและเป็นหนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้สิ่งต่างๆได้
ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง”
“…อืมมม.”
ฉันรู้สึกแปลกๆเนื้อเรื่องเงินดอลลาร์ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้
“อ้อ ใช่.”
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเข้ามาในจิตใจของเรเชลและเธอก็ส่งข้อความให้ผมอีกครั้ง
[การสังหารหมู่ปีศาจเมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นคือฝีมือนายหรือเปล่า]
ผมพยักหน้าและส่งข้อความกลับไป
[ใช่ จากนี้ไปฉันวางแผนที่จะกวาดล้าง ปีศาจ]
[แต่นั่นมันไม่อันตรายเกินไปเหรอ โดยเฉพาะการทำลายล้างปีศาจโดยพื้นฐานแล้วมันเหมือนรังผึ้งและนั่นเป็นสาเหตุที่เราไม่ทำอะไร….]
“ฉันสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ฉันไม่กังวลอะไร…ยกเว้นเด็กคนนี้”
ผมพูดอย่างนั้นและผมวางมือลงบนหัวของ อีเวนเดล เรเชล มองดู
อีเวนเดล เธอก็มองเรเชลเช่นกัน เมื่อมองไปมาๆพวกเธอทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน
“ฉันอยากถามว่าเธอจะให้อีเวนเดลอยู่ด้วยสัก 2-3 เดือนได้ไหม”
ผมถามเมื่อผมตบหัวของ อีเวนเดล ดังที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระราชวังเป็นป้อมปราการที่ไม่อาจเข้าถึงได้ของปีศาจ ไม่เพียงแต่ที่นี่เต็มไปด้วยเวทมนต์มากมายแต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘อำนาจ’ อีกด้วย
“ไม่เป็นไรแต่ฉันไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้ อีเวนเดล จะรู้สึกยังไง…”
“หนูยินดี!”
อีเวนเดลตอบอย่างกระฉับกระเฉงแต่เมื่อตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างใบหน้าของเธอก็ขมวดคิ้วเหมือนเจอปัญหา
“อาาา….แต่แบบนี้หนูก็จะไม่ได้เจอ แฮยอน ….”
“หนูบอกว่าแฮยอนเป็นเพื่อนของหนูเหรอ?”
เรเชลถาม อีเวนเดล เธอพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“ใช่… แต่…แต่….หนูไม่ต้องเจอเธอก็ได้!”
เธอเลือกที่จะอย่างกับเรเชลมากกว่าเพื่อนของเธอ
“ไม่ต้องกังวล พวกเราเชิญเพื่อนของหนูมาที่นี่ได้นะ”
“อ่า จริงเหรอ?”
“แน่นอน….”
ผมมองดูแม่และลูกสาว (?) คุยกันอย่างมีความสุขและเปิด
Smart Watch ของผม ผมอ่านบทความเกี่ยวกับ เฟนรีล ได้ไม่กี่ครั้งและเมื่อเข้า [ห้องจัดเลี้ยงสีม่วง] เรเชล และ อีเวนเดล ก็ได้ออกจากห้องรับรองไปแล้ว
“พวกเขาออกไปเดินเล่นหรือเปล่า…”
ผมนั่งคนเดียวบนเก้าอี้ในห้องรับรองและมองไปที่ [หน่วยงานแห่งความจริง] จากคำขอจำนวนมากที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ‘แชจูชึล’
[●แจ้งเตือน● แดฮยองของแชจูชึล กำลังรอการตอบกลับของคุณ]
แชจูชึล ทิ้งภารกิจไว้ให้ผม : ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการดำรงอยู่และที่ตั้งของ ‘มอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์’ ให้กับเขา แผนการของเขาคือการจับ
สัตว์ประหลาดผ่าตัดและใช้มันเพื่อการวิจัยของเขา
“…มาดูกัน.”
แต่ตอนนี้ความตั้งใจของผมคือการให้ข้อมูลที่แตกต่างกับเขาไปเป็น พิกัดสำหรับปีศาจที่เรียกว่า ‘มาร’ ที่ คิมฮัคพโย พูดถึงเป็นครั้งสุดท้าย
[●ตอบจากหน่วยงานแห่งความจริง●]
[มีข้อมูลเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามจากการสนทนาระหว่าง 2 ปีศาจ
ผมสามารถยืนยันการมีอยู่ของ ‘สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏหลักฐาน’ ผมไม่แน่ใจว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับมอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์ไหม แต่ปีศาจอธิบายว่ามัน ‘ไม่ใช่มอนสเตอร์หรือมนุษย์’ ตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตนึ้น ตามนี้….]
ผมแนบที่ตั้งของ ‘มาร’ ที่ คิมฮัคพโย และ ปีศาจ คนอื่นๆแบ่งปันผ่านข้อความของพวกเขาพร้อมกับประโยคกระตุ้น แชจูชึล
[ปล. ปีศาจพูดถึงสิ่งมีชีวิตในฐานะ ‘มาร’ มารถูกขังอยู่ในวิหารของเขาและไม่สามารถหนีออกมาได้]
*************************************************************************
สถานที่ซึ่งมีชีวิตชีวาแห่งนี้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นที่มาของฉายา ‘อมตะ’ อมตะเป็นฉายาของผู้ที่ได้เข้าถึงสถานะกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติเช่นปราชญ์ นักบุญหรือฤาษี แชจูชึล ผู้เป็นอมตะเพียงคนเดียวในเอเชียตะวันออกและบ้านที่ แชจูชึล พักนั้นเต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่งดงาม
[เฟนรีลอาละวาด: การสังหารหมู่ ‘การล้างสังหาร’ ‘….]
แชจูชึล สูดลมหายใจเข้าลึกๆและมองสายตาที่ไม่แยแส
หอคอยแห่งความปรารถนา มอนสเตอร์และเฟนรีล ข่าวที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้ไม่อาจทำให้เขารู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ประธาน ข้อความตอบกลับมาจากหน่วยงานความจริง”
ขณะกำลังกำจัดความเหนื่อยล้าเลขาของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในทันใด
แชจูชึล วางหนังสือพิมพ์ลงเงียบ ๆ
หน่วยงานความจริง
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใครเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของ
พวกเขาตรงกันชื่อจริง มันยากที่จะได้รับคำตอบกลับจากพวกเขา
แต่เมื่อมันมาถึงมันก็ไม่มีอะไรนอกจากความจริงอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่หน่วยงานความจริงจะมีอำนาจเหนือกลุ่มบริษัทต่างๆ
ณ เวลานี้
‘ไม่มีมารยาท ไม่มีคำตอบ’
พวกเขาส่วนใหญ่ปฏิบัติตามกฎนี้ซึ่งถือเป็นเรื่องหยิ่งผยองต่อคนอย่างพวกเขา ตัวอย่างเช่นหัวหน้า หยางซัน ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัท อันดับ 7 ของโลกเขียนจดหมายเป็นการส่วนตัวไปด้วยทักษะการพิมพ์ที่ไม่ดีของเขาและลายมือของเขาเหมือนไก่เขี่ยโดยหวังว่าจะได้รับคำตอบเร็วขึ้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือคำขอที่เขียนในลักษณะดังกล่าวนั้นได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็วแต่เป็นการตอบ NO อย่างง่ายดาย
“แล้วข้อมูลละ?”
“มันละเอียดมาก แต่แตกต่างจากที่เราคาดไว้เล็กน้อย”
“แตกต่างยังไง?”
ตามคำถามของ แชจูชึล เลขานุการสรุปคำตอบของหน่วยงานความจริง
“หน่วยงานแห่งความจริงไม่พบมอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์…แต่เจอกับ
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มาร’ แทน”
“… มาร?”
มาร
คำพูดนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของแชจูชึลหรือเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณในการล้างแค้นให้กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของหลานชายของเขา? แชจูชึล บอกไม่ได้ ชายที่ไม่มีอารมณ์ตอนนี้เขาจำไม่ได้อีกต่อไปว่าเขาเคยรักครอบครัวของเขามากแค่ไหน แม้ว่า
แชจูชึล จะอ้างว่าตัวเองเป็น ‘ภาวะสมองเสื่อม’ ทำให้ไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น แต่เขาก็ไม่เสียใจมันสง่างามกว่า 100 เท่าดีกว่าที่สูญเสียต้องพลังทั้งหมดและลดลงจนกลายเป็นตำนานในอดีตเหมือน 9 ดาราคนอื่นๆ
“มาร….”
แชจูชึล พึมพำและมองเลขาของเขา เลขาทราบดีว่าเขาจะขออะไรและส่งสำเนาคำตอบของหน่วยงานแห่งความจริงที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าให้ แชจูชึล เขาศึกษาพิกัดที่เขียนบนกระดาษอย่างละเอียด
[34º51’15.4” N 128º43’50.2” E]
วิ้วววววววววววววววววว…
ทันใดนั้นสายลมเย็นฉ่ำก็พัดเข้ามาในหน้าต่างที่เปิดอยู่ สายลมดังก้องผมและเคราของลอยละลิ้ว แชจูชึล เงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง การจ้องมองที่ลึกซึ้งของเขาเป็นมุมมองที่กว้างใหญ่ของภูเขา
ในขณะนั้นความหลงใหลที่ไม่เคยปรากฏก็ออกมาในตัวเขา รูปร่างหน้าตาของเขาในขณะที่เขามองไปข้างหน้านั้นไม่มีสัญญาณของความตื่นเต้น แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ยินเสีย… ว่า ‘มาร’ กำลังเรียกร้องหา
ผู้เป็นอมตะ … สำหรับแชจูชึลแล้วนี่เป็นการกระตุ้นครั้งแรกหลังจากที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน
*************************************************************************
ท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์ใกล้ท่าเรือแห่งหนึ่งในอังกฤษ ภาชนะที่ส่งออกจากเกาหลีมารวมตัวกันที่นี่ซึ่งปีศาจได้ทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายกันที่นี่
“พวกเราทำความสะอาดเสร็จแล้ว”
กลุ่มปีศาจ ‘โจรแห่งความสิ้นหวัง’ ได้สังหารเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนในบริเวณท่าเรือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปล้น
“ไปที่เหล่านี้ A-108, B-103, C-73, D-63”
หัวหน้าทีมเจฟฟรีย์ชี้ไปที่ 4 ตู้คอนเทนเนอร์ พวกเขาทั้งหมดรู้เรื่องจาก กิลด์ราชวงศ์เรื่อง ‘คลังอาวุธที่จำเป็น’
“พวกเราจะรับเอาไปแค่ 4 อย่างนี้เท่านั้น”
ตามคำสั่งของเจฟฟรีย์ พวกปีศาจเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนอื่นพวกเขาทุบประตูของกล่องเก็บของและตรวจสอบอาวุธหรูหราภายใน
“…ฉันได้ยินมาว่าเฟนรีลกำลังตามล่าปีศาจ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดีที่พวกเรามีความแตกต่างจากพวกผู้ฆ่าล้าง.”
ถัดจากเจฟฟรีย์รองหัวหน้าทีมในพูดออกมา เจฟฟรีย์ดูที่เกิดเหตุโดยไม่ตอบอะไร
“ทุกคนเอาแต่พูดถึงเฟนรีล แม้แต่ในสังคมปีศาจ ช่างโง่เขราเหลือเกิน”
“A-108 เสร็จแล้ว”
การโจมตีอย่างไม่เจาะจงของ เฟนรีล ในหมู่ ปีศาจ ได้ดำเนินมาเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว สังคมปีศาจเต็มไปด้วยคำสาปและข้อความแสดงความเกลียดชังที่มีต่อเฟนรีล การปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจากการรวมกันของความโกรธแค้นและความกลัว
“เขาอาจหยุดพักงานก็ได้ ไม่มีอะไรน่ากลัว”
“B-103 เสร็จแล้ว”
เจฟฟรีย์ยังคงวิ่งอ้าปากราวกับไม่มีความกลัว อันที่จริงเขาเองก็กลัวเหมือนกัน
“โอ้ยย หัวหน้า ป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่คุณเอาชนะ ฮีโร่ ระดับกลางข่อนสูง? คุณน่าทึ่งมาก”
อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่าเจฟฟรีย์แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเฟนรีลได้ ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าแม้แต่ ‘วิเกอร์’ ผู้โด่งดังก็ยังไม่กล้าชนกับเขาตรงๆ
“มนุษย์ช่างอ่อนแอซะจริง….”
การพูดคุยของอทูม ยังคงดำเนินต่อไปและประตูตู้สินค้าก็ระเบิดออกไปทีละตู้
“แต่มันเป็นความจริงที่ผู้ฆ่าล้างพวกนั้นสมควรได้รับตาม ฉันรู้สึกละอายที่จะเรียกตัวเองว่าปีศาจเหมือนพวกมัน พวกมันตกต่ำไปถึงขนาดไหนกันถึงคิดเรื่องการกินมนุษย์…เนื้อ…?”
ทันใดนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณท่าเรือที่มีแต่ความมืดเท่านั้น