[Tower of Wish ชั้น 26 ดินแดนแห่งปีศาจที่แท้จริง]
ปัจจุบันทีม ‘ไอลีนและเด็กๆ’ ได้หายไปใน [Forest of Bewitchment] ซึ่งเป็น 1 ในภูมิภาคของดินแดนปีศาจ 1 สัปดาห์ผ่านไปตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางครั้งแรก แต่พวกเขาก็ยังห่างออกไปจาก [ดินแดนแห่งปีศาจที่แท้จริง] ซึ่งอยู่ในระยะทางไกล
“…ฉันยอมรับ ว่าฉันเหนื่อยมากกกกกกกกกกก.”
ในที่สุดแม้แต่ไอลีนก็ยอมรับว่าเธอหมดแรง ปีศาจทุกตัวที่พวกเขาเจอนั้นมีพลังพอๆกับปีศาจระดับหัวหน้าและเมื่อเจอปีศาจทั้งฝูงทำให้
ทุกคนในทีมจะต้องพยายามต่อสู้เพื่อความอยู่รอดตลอดทั้งวัน
“แน่นอนว่ามันยากที่จะโจมตีด้วยธาตุแสงเพียงอย่างเดียว”
จินเซยอนก็เช็ดเหงื่อจากหน้าผากของเธอ ด้วยความยากลำบากในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะจากการต่อสู้กับปีศาจร้าย 13 ตัว แต่ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก
ชินจงฮัก และ ยียอนฮาน ตระหนักว่าไม่แค่พวกเขาที่ต้องพยายามอย่างหนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะขีดจำกัดของคุณสมบัติธาตุได้เลยกลับไปที่ [ชั้น 21 – อาณาจักรการ์ด] เพื่อซื้อไฟหรืออย่างน้อยก็เป็นอาวุธที่ส่องแสงออกมาได้และการ์ดเวทมนต์
“นายไม่เลวเลยนี้น่า?”
ตอนนี้มีสมาชิกเหลืออีก 4 คนเท่านั้น ไอลีนมองไปที่คิมซูโฮและพูดในระหว่างการต่อสู้ครั้งล่าสุดอัตราการช่วยเหลือของ ไอลีนคือ 50% ในขณะที่ 30% เป็นของ คิมซูโฮ
“มันเป็นเพราะคุณสมบัติของผมเหมาะสำหรับการต่อสู้กับปีศาจน่ะ”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของความเหมาะสมเท่านั้นด้วยความสามารถของนายนายจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้อยู่ในระดับแน่ๆ ไม่สินายอยู่ในระดับนั้นแล้ว ฉันว่านายตอนนี้คงสามารถเอาชนะนักธนูระดับสูงได้หลายคนเลยละ”
คิมซูโฮ ยิ้มเล็กน้อย
“ไม่สิ นายใจดีเกินไป”
“…อะแฮ่ม อย่างไรก็ตามคุณ ไอลีน คุณคิดว่าดอกบัวดำอยู่ที่ไหน?”
ในที่สุดจินเซยอนก็ตัดสินใจถามคำถามที่เธอต้องการจะถามออกมา ชอคจุนกยอง บอกว่าดอกบัวดำกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้ช่วยหรือโจมตีพวกเขาเลย
“ฉันไม่รู้ เขาอาจจะดูพวกเราจากที่ไหนสักแห่ง”
ไอลีนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่คิดอะไร ทันใดนั้นเธอก็เห็นนกอินทรีที่บินข้ามท้องฟ้าสีเทาของดินแดนปีศาจ ‘ว้าวอินทรี ทำไมนกอินทรีถึงอาศัยอยู่ในที่แบบนี้’ ไอลีนยังคงเฝ้าดูด้วยความประหลาดใจและก็ตระหนักขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
“…ฮะ?”
ปฏิกิริยาของเธอทำให้สมาชิกคนอื่นๆมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเราไม่คุ้นๆบ้างเหรอ?”
“อืม….”
“ดูนั่นสิ”
จินเซยอน และ คิมซูโฮ หันไปจ้องมองนกอินทรี พวกเขาใช้เวลาไม่นาน ก็เข้าใจถึงความหมายของ ไอลีน นกอินทรีสวมเสื้อคลุมที่ดูแปลกๆ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย คิมซูโฮเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา
“นกสัตว์เลี้ยง? …ดูเหมือนว่าเขาอยากให้พวกเราตามเขาไปงั้นเหรอ”
“นายคิดอย่างนั้นเหรอ?”
กี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
– นกอินทรีเปล่งเสียงดังราวกับว่าเห็นด้วยกับพวกเขา
“แต่ดูเสื้อคลุมที่มันสวมอยู่ มันดูดีกว่าของฉันซะอีก…หืมมม? รอเดี๋ยว”
ทันใดนั้นความคิดปรากฏในใจของไอลีน เธอกระซิบด้วยความงุนงง
“…ดอกบัวดำมีสัตว์เลี้ยงไหม”
“ฉันไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้…แต่มันดูเหมือนของใครบางคน และ
ฉันคิดว่ามันสวมเสื้อเกราะใต้เสื้อคลุม เกราะสีดำที่ทำออกมาอย่างดี”
จินเซยอนตอบ
ไอลีนเงยหน้าขึ้นมองนกอินทรีเหนือหัวขณะที่เธอกัดเล็บของเธอ
“สีดำ…นั่นหมายความว่า….”
“ใช่ ฉันคิดว่าคุณคิดถูก คุณไอลีน”
จินเซยอน พูดต่อด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ดอกบัวดำ กำลังเรียกหาพวกเรา”
ทุกคนเงียบลงทันที
พวกเขามองหน้ากันอย่างว่างเปล่าพร้อมพยักหน้าและเริ่มไล่ตามอินทรี
*************************************************************************
“…ฉันฝันไปหรือเปล่า”
นั่นเป็นคำพูดแรกของเรเชล จากภาษาอังกฤษมั่วๆของเธอผมบอกได้เลยว่าเธอตกใจมากแค่ไหน จากใบหน้าที่ว่างของเธอผมสามารถสรุปได้อีกอย่างหนึ่ง: เรเชล เองก็ไม่เคยลืมใบหน้าของ อีเวนเดล
นี่ไม่ใช่การเผชิญหน้าครั้งแรกของ เรเชล และ อีเวนเดล
การเผชิญหน้าครั้งแรกของพวกเธอเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
– ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 1 ที่ Cube
อีเวนเดล ซึ่งเป็นเม็ดถั่วในเวลานั้นก็ฟักออกมาทันทีระหว่างการสอบ หลังจากที่เธอฟักไข่เธอก็ยึดติดกับเรเชลไม่ใช่ผม สิ่งแรกที่ อีเวนเดล
พูดกับเรเชลตอนนั้นคือ… ‘แม่’
“เธอไม่ได้ฝัน”
ผมพูดและส่งสัญญาณให้ อีเวนเดล
“อุๆๆๆๆๆๆ….”
นี่เป็นการเผชิญหน้าที่เธอรอคอยมาตลอด อีเวนเดล เดินมาข้างหน้าเธอพยายามเรียกความกล้าหาญของเธอออกมา
4 ~ 5 ปี
“คะ สวัสดีคะ….”
อีเวนเดล วางมือบนท้องและโค้งคำนับ เรเชลมองดู อีเวนเดล และ
กระพริบตา 2-3 ครั้งก่อนจะจ้องมองเธอ
“ฮาจิน, คุณ ฮาจิน…?”
“ว่า?”
ผมพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็เสียใจจนแทบน้ำตาไหล
เรเชลอาจคิดอยู่จู่ๆมาเจอเด็กที่มีหน้าตาเหมือนตัวเองตอนเด็กมากๆ? ภายใต้ข้ออ้างของการดูแล อีเวนเดล ผมเห็นแก่ตัวมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเรเชลไหมนะ? แต่สิ่งที่เรเชลพูดต่อนั้นน่าตกใจมากจนผมลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไป
“คุณกลับมาจากอนาคตงั้นเหรอ”
“…อะไรนะ?”
อนาคต ผมพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ผมรู้อนาคตจริงๆแต่ตอนนี้มันผ่านไปแล้วจากนี่ไปข้างหน้าเป็นอนาคตที่ผมเองก็ไม่แน่ใจ….
“อนาคต?”
“ฉันพูดผิดหรือเปล่า ละ-แล้วเด็กคนนี้มาจากไหน?”
เรเชลชี้ไปที่ อีเวนเดล ที่ยังคงแนะนำตัวเองต่อไป
“หนูชื่อ…ชื่อ…อีเวนเดล….”
เธอพยายามพูดสิ่งที่เธอฝึกมาหลายสิบครั้ง
ผมสัญญากับ อีเวนเดล ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่เธอเข้าไปใกล้เรเชล
อย่างช้าๆเพื่อที่เธอจะได้ไม่รู้สึกกดดัน
“ฮะ? อ้อ เอ่อ…สะ-สวัสดีจ๊ะ”
เรเชลเองก็งอและโค้งคำนับ อีเวนเดล ดวงตาของเธอยังสั่นเทาราวกับมีแผ่นดินไหว อีเวนเดล ตัวสั่น
“ชื่อของหนูคือ อีเวนเดล”
“อ๊ะ อืม ใช่….จ๊ะ”
“อีเวนเดล…หนู อีเวนเดล…เพื่อนของหนูคือ แฮยอน แมวของหนูชื่อ ฮายัง….”
อีเวนเดล พูดซ้ำประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างหวาดกลัว เรเชลหันกลับมามอง อีเวนเดล และผมเหมือนไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไร
“หนูชื่อ อีเวนเดล นะ…หนู….”
แน่นอนว่าผมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
“เอ่อ….ใจเย็นๆคือ -”
“เจ้าหญิงหรอ”
ทันใดนั้นผู้คุ้มกันของเรเชลก็ปรากฏตัวขึ้น ชายคอเคเชียนสูงงอตัวไปข้างหน้าและกระซิบข้างหูของเรเชล
“จริงเหรอ?”
– คืนก่อน….
เขาพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ ต้องขอบคุณผู้คุ้มกันทั้ง 2 จึงทำให้เด็กดูสงบลงแต่ตอนนี้ อีเวนเดล เริ่มมองอย่างโกรธเคืองที่ผู้คุ้มกันแย่งเธอพูด กับเรเชล มันเป็นใบหน้าที่น่ารักของเด็กๆ
*************************************************************************
20 นาทีต่อมา
ผมอยู่ในพระราชวังบักกิ้งแฮมซึ่งเป็นที่พำนักของราชวงศ์อังกฤษวังนั้นงดงามและสง่างามเหมือนภาพวาดและในภาพยนตร์ทั้งหมดที่ผมเคยเห็น
“…ดีละ ถ้าอย่างนั้น.”
เรเชลพาพวกเราไปที่ห้องรับรอง ไม่มีใครอยู่ข้างใน ก่อนที่พวกเราจะเริ่มพูดเรเชลมองไปที่ อีเวนเดล ถัดจากผม
วิ้งงงงงงงง อีเวนเดลมองเรเชลด้วยดวงตาส่งประกาย
เรเชล เองก็คิดว่าเธอน่ารักมากจนมุมปากของเธอสั่นเล็กน้อย มันเป็นสัญญาณที่ดี
“ฮุๆ งั้นนั้นคือเมล็ดพันธุ์ที่นายได้รับตอนที่นายอยู่ใน Cube เหรอ….”
“ใช่. เมล็ดนั้นโตเต็มที่แล้ว”
ผมแนะนำ อีเวนเดล ไม่ใช่แม่มด แต่เป็น ‘นางฟ้า’ แม่มดถูกเรียกว่าแม่มดเมื่อเธอถูกเลี้ยงให้เป็นแบบนั้น แต่ใครจะกล้าเรียก อีเวนเดล ของผมว่าแม่มดละ?
“เธอไม่ได้มาจากอนาคตใช่ไหม”
“… .”
เรเชลเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงเหมือนมะเขือเทศ ใครจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ เพราะผิวพรรณของเธอทำให้สีแดงบนใบหน้านั้นดูโดดเด่นกว่าเดิม อะแฮ่ม เรเชลไอแห้งๆและพูดต่อ
“จริงๆแล้วพูดตรงๆ…ฉันว่ามันยากที่จะเชื่อว่า นางฟ้าฟักออกมาจากเมล็ดพันธ์ได้ยังไง”
ผมเกาหลังคอของฉันตามคำพูดของเรเชล ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจเธอ
แต่อย่างที่เชอร์ล็อคโฮล์มเคยพูดไว้ ‘เมื่อคุณกำจัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ของความเป็นไปได้ก็คือความจริง’
“ไม่มีคำอธิบายอื่นๆ”
“ไม่ แทนที่จะอธิบายว่านางฟ้าเกิดจากเมล็ดพันธ์มันเป็นไปได้มากกว่าถ้านายจากอนาคต…อนาคต….”
ดูเหมือนว่าเรเชลจะติดอยู่กับทฤษฎีเรื่องอนาคตโดยสิ้นเชิง แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถจบประโยคของเธอได้เพราะความคิดแบบนั้นแต่มันดูไร้สาระ ผมพยายามชี้นำเธอให้ห่างจากหนังไซไฟ
“เอาเลย ถ้าสิ่งที่เธอคิดมันทำให้เธอหายสงสัย อีเวนเดล มาจากอนาคตก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเป็นแม่ของเธอ แต่พ่อล่ะ? พ่อเป็นใคร?”
“อ๊ะ ฮาจิน หนูจะเรียกคุณว่าพ่อได้ไหม”
“…หาาาา?”
พวกเราทั้งคู่ต่างก็ตัวแข็งในคำพูดที่ไร้เดียงสาของ อีเวนเดล
ทุกอย่างเงียบสงบลงทันที ทันใดนั้นเรเชลก็หรี่ตาและส่งสายตาที่สงสัยมาหาผม ผมส่ายหัวของผมเพื่อปฏิเสธ แต่เหมือนเธอจะตัดสินเรื่องนี้ไปแล้ว
“ไม่นะนี่คือ…อย่างไรก็ตามฉันกำลังบอกความจริงกับเธออยู่”
นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องพูดออกมา เรเชลยังคงจ้องมองมาที่ผมอยู่นานก่อนที่จะปล่อยเสียงไอแห้งๆและหันไปมอง อีเวนเดล
“หนูบอกว่าชื่อของหนูคือ อีเวนเดล สินะ?”
นี่เป็นคำถามหนึ่งที่ อีเวนเดล รออยู่
“ใช่คะ…!”
เรเชลยิ้มให้ อีเวนเดล อย่างอ่อนโยน
“ยินดีที่ได้รู้จัก.”
“…ยินดีที่ได้รู้จักคะ หนูอยากจะพบเจอคุณมานานมากแล้ว”
เธอรักษาสัญญาที่เธอทำกับผมไว้อย่างเธอรักษาระยะห่างของเธอและค่อยๆเข้าใกล้เรเชลอย่างช้าๆ เธอโตขึ้นมากจริงๆทันใดนั้นจิตใจของผมก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปนเป
“อืมม…ฉันเข้าใจ….รอเดี๋ยวนะ”
เรเชลกด Smart Watch ทันที เธอเริ่มพิมพ์บนแป้นพิมพ์โฮโลแกรมแลไม่นาน Smart Watch ของผมก็สั่น
————————————-2—————————————