ตอนที่ 391

The Novel’s Extra

[Tower of Wish ชั้น 26 ดินแดนแห่งปีศาจที่แท้จริง]

 

ปัจจุบันทีม ‘ไอลีนและเด็กๆ’ ได้หายไปใน [Forest of Bewitchment] ซึ่งเป็น 1 ในภูมิภาคของดินแดนปีศาจ 1 สัปดาห์ผ่านไปตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางครั้งแรก แต่พวกเขาก็ยังห่างออกไปจาก [ดินแดนแห่งปีศาจที่แท้จริง] ซึ่งอยู่ในระยะทางไกล

 

“…ฉันยอมรับ ว่าฉันเหนื่อยมากกกกกกกกกกก.”

 

ในที่สุดแม้แต่ไอลีนก็ยอมรับว่าเธอหมดแรง ปีศาจทุกตัวที่พวกเขาเจอนั้นมีพลังพอๆกับปีศาจระดับหัวหน้าและเมื่อเจอปีศาจทั้งฝูงทำให้

ทุกคนในทีมจะต้องพยายามต่อสู้เพื่อความอยู่รอดตลอดทั้งวัน

 

“แน่นอนว่ามันยากที่จะโจมตีด้วยธาตุแสงเพียงอย่างเดียว”

 

จินเซยอนก็เช็ดเหงื่อจากหน้าผากของเธอ ด้วยความยากลำบากในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะจากการต่อสู้กับปีศาจร้าย 13 ตัว แต่ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก

ชินจงฮัก และ ยียอนฮาน ตระหนักว่าไม่แค่พวกเขาที่ต้องพยายามอย่างหนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะขีดจำกัดของคุณสมบัติธาตุได้เลยกลับไปที่ [ชั้น 21 – อาณาจักรการ์ด] เพื่อซื้อไฟหรืออย่างน้อยก็เป็นอาวุธที่ส่องแสงออกมาได้และการ์ดเวทมนต์

 

“นายไม่เลวเลยนี้น่า?”

 

ตอนนี้มีสมาชิกเหลืออีก 4 คนเท่านั้น ไอลีนมองไปที่คิมซูโฮและพูดในระหว่างการต่อสู้ครั้งล่าสุดอัตราการช่วยเหลือของ ไอลีนคือ 50% ในขณะที่ 30% เป็นของ คิมซูโฮ

 

“มันเป็นเพราะคุณสมบัติของผมเหมาะสำหรับการต่อสู้กับปีศาจน่ะ”

 

“มันไม่ใช่แค่เรื่องของความเหมาะสมเท่านั้นด้วยความสามารถของนายนายจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้อยู่ในระดับแน่ๆ ไม่สินายอยู่ในระดับนั้นแล้ว ฉันว่านายตอนนี้คงสามารถเอาชนะนักธนูระดับสูงได้หลายคนเลยละ”

 

คิมซูโฮ ยิ้มเล็กน้อย

 

“ไม่สิ นายใจดีเกินไป”

 

“…อะแฮ่ม อย่างไรก็ตามคุณ ไอลีน คุณคิดว่าดอกบัวดำอยู่ที่ไหน?”

 

ในที่สุดจินเซยอนก็ตัดสินใจถามคำถามที่เธอต้องการจะถามออกมา ชอคจุนกยอง บอกว่าดอกบัวดำกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้ช่วยหรือโจมตีพวกเขาเลย

 

“ฉันไม่รู้ เขาอาจจะดูพวกเราจากที่ไหนสักแห่ง”

 

ไอลีนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่คิดอะไร ทันใดนั้นเธอก็เห็นนกอินทรีที่บินข้ามท้องฟ้าสีเทาของดินแดนปีศาจ ‘ว้าวอินทรี ทำไมนกอินทรีถึงอาศัยอยู่ในที่แบบนี้’ ไอลีนยังคงเฝ้าดูด้วยความประหลาดใจและก็ตระหนักขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

 

“…ฮะ?”

 

ปฏิกิริยาของเธอทำให้สมาชิกคนอื่นๆมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“พวกเราไม่คุ้นๆบ้างเหรอ?”

 

“อืม….”

 

“ดูนั่นสิ”

 

จินเซยอน และ คิมซูโฮ หันไปจ้องมองนกอินทรี พวกเขาใช้เวลาไม่นาน ก็เข้าใจถึงความหมายของ ไอลีน นกอินทรีสวมเสื้อคลุมที่ดูแปลกๆ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย คิมซูโฮเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา

 

“นกสัตว์เลี้ยง? …ดูเหมือนว่าเขาอยากให้พวกเราตามเขาไปงั้นเหรอ”

 

“นายคิดอย่างนั้นเหรอ?”

 

กี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

– นกอินทรีเปล่งเสียงดังราวกับว่าเห็นด้วยกับพวกเขา

 

“แต่ดูเสื้อคลุมที่มันสวมอยู่ มันดูดีกว่าของฉันซะอีก…หืมมม? รอเดี๋ยว”

 

ทันใดนั้นความคิดปรากฏในใจของไอลีน เธอกระซิบด้วยความงุนงง

 

“…ดอกบัวดำมีสัตว์เลี้ยงไหม”

 

“ฉันไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้…แต่มันดูเหมือนของใครบางคน และ

ฉันคิดว่ามันสวมเสื้อเกราะใต้เสื้อคลุม เกราะสีดำที่ทำออกมาอย่างดี”

จินเซยอนตอบ

 

ไอลีนเงยหน้าขึ้นมองนกอินทรีเหนือหัวขณะที่เธอกัดเล็บของเธอ

 

“สีดำ…นั่นหมายความว่า….”

 

“ใช่ ฉันคิดว่าคุณคิดถูก คุณไอลีน”

 

จินเซยอน พูดต่อด้วยใบหน้าที่จริงจัง

 

“ดอกบัวดำ กำลังเรียกหาพวกเรา”

 

ทุกคนเงียบลงทันที

 

พวกเขามองหน้ากันอย่างว่างเปล่าพร้อมพยักหน้าและเริ่มไล่ตามอินทรี

 

*************************************************************************

 

“…ฉันฝันไปหรือเปล่า”

 

นั่นเป็นคำพูดแรกของเรเชล จากภาษาอังกฤษมั่วๆของเธอผมบอกได้เลยว่าเธอตกใจมากแค่ไหน จากใบหน้าที่ว่างของเธอผมสามารถสรุปได้อีกอย่างหนึ่ง: เรเชล เองก็ไม่เคยลืมใบหน้าของ อีเวนเดล

 

นี่ไม่ใช่การเผชิญหน้าครั้งแรกของ เรเชล และ อีเวนเดล

 

การเผชิญหน้าครั้งแรกของพวกเธอเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

 

– ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 1 ที่ Cube

 

อีเวนเดล ซึ่งเป็นเม็ดถั่วในเวลานั้นก็ฟักออกมาทันทีระหว่างการสอบ หลังจากที่เธอฟักไข่เธอก็ยึดติดกับเรเชลไม่ใช่ผม สิ่งแรกที่ อีเวนเดล

พูดกับเรเชลตอนนั้นคือ… ‘แม่’

 

“เธอไม่ได้ฝัน”

 

ผมพูดและส่งสัญญาณให้ อีเวนเดล

 

“อุๆๆๆๆๆๆ….”

 

นี่เป็นการเผชิญหน้าที่เธอรอคอยมาตลอด อีเวนเดล เดินมาข้างหน้าเธอพยายามเรียกความกล้าหาญของเธอออกมา

 

4 ~ 5 ปี

 

“คะ สวัสดีคะ….”

 

อีเวนเดล วางมือบนท้องและโค้งคำนับ เรเชลมองดู อีเวนเดล และ

กระพริบตา 2-3 ครั้งก่อนจะจ้องมองเธอ

 

“ฮาจิน, คุณ ฮาจิน…?”

 

“ว่า?”

 

ผมพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็เสียใจจนแทบน้ำตาไหล

เรเชลอาจคิดอยู่จู่ๆมาเจอเด็กที่มีหน้าตาเหมือนตัวเองตอนเด็กมากๆ? ภายใต้ข้ออ้างของการดูแล อีเวนเดล ผมเห็นแก่ตัวมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเรเชลไหมนะ? แต่สิ่งที่เรเชลพูดต่อนั้นน่าตกใจมากจนผมลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไป

 

“คุณกลับมาจากอนาคตงั้นเหรอ”

 

“…อะไรนะ?”

 

อนาคต ผมพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ผมรู้อนาคตจริงๆแต่ตอนนี้มันผ่านไปแล้วจากนี่ไปข้างหน้าเป็นอนาคตที่ผมเองก็ไม่แน่ใจ….

 

“อนาคต?”

 

“ฉันพูดผิดหรือเปล่า ละ-แล้วเด็กคนนี้มาจากไหน?”

 

เรเชลชี้ไปที่ อีเวนเดล ที่ยังคงแนะนำตัวเองต่อไป

 

“หนูชื่อ…ชื่อ…อีเวนเดล….”

 

เธอพยายามพูดสิ่งที่เธอฝึกมาหลายสิบครั้ง

ผมสัญญากับ อีเวนเดล ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่เธอเข้าไปใกล้เรเชล

อย่างช้าๆเพื่อที่เธอจะได้ไม่รู้สึกกดดัน

 

“ฮะ? อ้อ เอ่อ…สะ-สวัสดีจ๊ะ”

 

เรเชลเองก็งอและโค้งคำนับ อีเวนเดล ดวงตาของเธอยังสั่นเทาราวกับมีแผ่นดินไหว อีเวนเดล ตัวสั่น

 

“ชื่อของหนูคือ อีเวนเดล”

 

“อ๊ะ อืม ใช่….จ๊ะ”

 

“อีเวนเดล…หนู อีเวนเดล…เพื่อนของหนูคือ แฮยอน แมวของหนูชื่อ ฮายัง….”

 

อีเวนเดล พูดซ้ำประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างหวาดกลัว เรเชลหันกลับมามอง อีเวนเดล และผมเหมือนไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไร

 

“หนูชื่อ อีเวนเดล นะ…หนู….”

 

แน่นอนว่าผมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้

 

“เอ่อ….ใจเย็นๆคือ -”

 

“เจ้าหญิงหรอ”

 

ทันใดนั้นผู้คุ้มกันของเรเชลก็ปรากฏตัวขึ้น ชายคอเคเชียนสูงงอตัวไปข้างหน้าและกระซิบข้างหูของเรเชล

 

“จริงเหรอ?”

 

– คืนก่อน….

 

เขาพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ ต้องขอบคุณผู้คุ้มกันทั้ง 2 จึงทำให้เด็กดูสงบลงแต่ตอนนี้ อีเวนเดล เริ่มมองอย่างโกรธเคืองที่ผู้คุ้มกันแย่งเธอพูด กับเรเชล มันเป็นใบหน้าที่น่ารักของเด็กๆ

 

*************************************************************************

 

20 นาทีต่อมา

ผมอยู่ในพระราชวังบักกิ้งแฮมซึ่งเป็นที่พำนักของราชวงศ์อังกฤษวังนั้นงดงามและสง่างามเหมือนภาพวาดและในภาพยนตร์ทั้งหมดที่ผมเคยเห็น

 

“…ดีละ ถ้าอย่างนั้น.”

 

เรเชลพาพวกเราไปที่ห้องรับรอง ไม่มีใครอยู่ข้างใน ก่อนที่พวกเราจะเริ่มพูดเรเชลมองไปที่ อีเวนเดล ถัดจากผม

 

วิ้งงงงงงงง อีเวนเดลมองเรเชลด้วยดวงตาส่งประกาย

 

เรเชล เองก็คิดว่าเธอน่ารักมากจนมุมปากของเธอสั่นเล็กน้อย มันเป็นสัญญาณที่ดี

 

“ฮุๆ งั้นนั้นคือเมล็ดพันธุ์ที่นายได้รับตอนที่นายอยู่ใน Cube เหรอ….”

 

“ใช่. เมล็ดนั้นโตเต็มที่แล้ว”

 

ผมแนะนำ อีเวนเดล ไม่ใช่แม่มด แต่เป็น ‘นางฟ้า’ แม่มดถูกเรียกว่าแม่มดเมื่อเธอถูกเลี้ยงให้เป็นแบบนั้น แต่ใครจะกล้าเรียก อีเวนเดล ของผมว่าแม่มดละ?

 

“เธอไม่ได้มาจากอนาคตใช่ไหม”

 

“… .”

 

เรเชลเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงเหมือนมะเขือเทศ ใครจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ เพราะผิวพรรณของเธอทำให้สีแดงบนใบหน้านั้นดูโดดเด่นกว่าเดิม อะแฮ่ม เรเชลไอแห้งๆและพูดต่อ

 

“จริงๆแล้วพูดตรงๆ…ฉันว่ามันยากที่จะเชื่อว่า นางฟ้าฟักออกมาจากเมล็ดพันธ์ได้ยังไง”

 

ผมเกาหลังคอของฉันตามคำพูดของเรเชล ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจเธอ

แต่อย่างที่เชอร์ล็อคโฮล์มเคยพูดไว้ ‘เมื่อคุณกำจัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ของความเป็นไปได้ก็คือความจริง’

 

“ไม่มีคำอธิบายอื่นๆ”

 

“ไม่ แทนที่จะอธิบายว่านางฟ้าเกิดจากเมล็ดพันธ์มันเป็นไปได้มากกว่าถ้านายจากอนาคต…อนาคต….”

 

ดูเหมือนว่าเรเชลจะติดอยู่กับทฤษฎีเรื่องอนาคตโดยสิ้นเชิง แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถจบประโยคของเธอได้เพราะความคิดแบบนั้นแต่มันดูไร้สาระ ผมพยายามชี้นำเธอให้ห่างจากหนังไซไฟ

 

“เอาเลย ถ้าสิ่งที่เธอคิดมันทำให้เธอหายสงสัย อีเวนเดล มาจากอนาคตก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเป็นแม่ของเธอ แต่พ่อล่ะ? พ่อเป็นใคร?”

 

“อ๊ะ ฮาจิน หนูจะเรียกคุณว่าพ่อได้ไหม”

 

“…หาาาา?”

 

พวกเราทั้งคู่ต่างก็ตัวแข็งในคำพูดที่ไร้เดียงสาของ อีเวนเดล

ทุกอย่างเงียบสงบลงทันที ทันใดนั้นเรเชลก็หรี่ตาและส่งสายตาที่สงสัยมาหาผม ผมส่ายหัวของผมเพื่อปฏิเสธ แต่เหมือนเธอจะตัดสินเรื่องนี้ไปแล้ว

 

“ไม่นะนี่คือ…อย่างไรก็ตามฉันกำลังบอกความจริงกับเธออยู่”

 

นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องพูดออกมา เรเชลยังคงจ้องมองมาที่ผมอยู่นานก่อนที่จะปล่อยเสียงไอแห้งๆและหันไปมอง อีเวนเดล

 

“หนูบอกว่าชื่อของหนูคือ อีเวนเดล สินะ?”

 

นี่เป็นคำถามหนึ่งที่ อีเวนเดล รออยู่

 

“ใช่คะ…!”

 

เรเชลยิ้มให้ อีเวนเดล อย่างอ่อนโยน

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก.”

 

“…ยินดีที่ได้รู้จักคะ หนูอยากจะพบเจอคุณมานานมากแล้ว”

 

เธอรักษาสัญญาที่เธอทำกับผมไว้อย่างเธอรักษาระยะห่างของเธอและค่อยๆเข้าใกล้เรเชลอย่างช้าๆ เธอโตขึ้นมากจริงๆทันใดนั้นจิตใจของผมก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปนเป

 

“อืมม…ฉันเข้าใจ….รอเดี๋ยวนะ”

 

เรเชลกด Smart Watch ทันที เธอเริ่มพิมพ์บนแป้นพิมพ์โฮโลแกรมแลไม่นาน Smart Watch ของผมก็สั่น

————————————-2—————————————