ตอนที่ 622 ความลับของเทือกเขาสวินหลง
ร่วมนิทราอุ่นไอในวิสูตร พระมิรุดตื่นเข้าประชุมเช้า
ยามมองดูเงาร่างรางเลือนไม่ชัดเจนในม่านมุ้งอบอุ่นนั้นแล้ว
ริมฝีปากหรงจิงผุดรอยยิ้มเจ็บปวดเจือรอคอยอย่างไม่เป็นที่สังเกต
แววตาหรงจิงสั่นไหวน้อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น
“เรื่องในวันนี้อย่าได้บอกแก่ผู้อื่นและอย่าให้นางได้ยิน เราไม่ต้องการให้นางต้องมาเหนื่อยใจกับเรื่องนี้ ก่อนที่จะมาร่วมชีวิตกับเรา ความทุกข์ของนางล้วนเป็นเราที่ประทานให้ ดังนั้นเราหวังว่าความสุขในแต่ละวันของนางจากนี้ไปก็ล้วนมาจากเราประทานให้เช่นกัน”
หงซีกูกูทำความเคารพเคร่งครัดตามประเพณีแล้วกลับออกไป
ร่างของหรงจิงจมหายไปในสายน้ำ ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายอย่างสงบกลมกลืน
หลังจากเป็นปกติแล้วครู่หนึ่งหรงจิงจึงได้ผุดขึ้นจากน้ำและลุกออกไป ซูกงกงเข้ามาเช็ดตัวเขาให้แห้งอย่างรวดเร็วแล้วสวมเสื้อผ้าให้
“ระยะนี้มีข่าวคราวอะไรจากมังกรเหินบ้างหรือไม่”
หรงจิงรับเสื้อผ้าที่ซูกงกงส่งให้แล้วถามขึ้น ซูกงกงอึกอักน้ำเสียงลังเลมองเข้าไปยังด้านใน
“ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันมหามงคลนะพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ค่อยคุยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงมองตามสายตาไปยังทิศทางของอวิ๋นเซียงฉือ แล้วถอนใจพูดว่า
“พูดไปเถอะ มิเช่นนั้นเราไม่สบายใจ ส่งคนออกไปตั้งมากมายแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร มีอะไรอยู่ที่เทือกเขาสวินหลงนั่น เราจะต้องรู้ให้กระจ่างให้จงได้”
ซูกงกงตอบรับ แล้วพูดเสียงเบาลงว่า
“บ่าวจะไปเชิญขุนพลมังกรเหินเข้ามา จะเหมาะสมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังแล้วสะบัดมือพูดว่า
“ไม่เหมาะแน่นอน ให้เขารออยู่ด้านนอกตำหนัก อีกครู่หนึ่งเราจะออกไป”
หรงจิงจัดแจงรูปลักษณ์ ซูกงกงออกไปก่อน หรงจิงครุ่นคิดแล้วกลับไปยังข้างกายเซียงฉือ เห็นนางเปลี่ยนอิริยาบถขณะยังคงหลับสนิท
เขาเดินเข้าไปจูบแผ่วเบาบนกลีบปากนาง มองดูเส้นผมละเอียดนุ่มของนางแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนผละออกไป
หรงจิงคลุมชุดคลุม ประตูตำหนักถูกเปิดแล้วปิดลง กลับสู่ความเงียบสงบ
เขายืนอยู่หน้าตำหนัก ซูกงกงส่งไฟบนมือไปให้ขุนพลมังกรเหินแล้วผละไปทันที
คนๆ นั้นสวมชุดเกราะเต็มตัว แต่งกายเป็นองครักษ์ คุกเข่าอยู่ข้างหรงจิงก้มหน้าต่ำมองไม่เห็นหน้าตา
หรงจิงมองปราดแวบเดียวแล้วถามขึ้น
“มีข่าวอะไรบ้าง”
คนคนนั้นหยิบกระบอกไม้ไผ่เล็กมากอันหนึ่งออกมาจากอกแล้วส่งให้หรงจิง ขณะเดียวกันก็ยกโคมไฟในมือขึ้น หรงจิงเคลื่อนเข้าไปใกล้แสงไฟ ยิ่งอ่านดวงตาก็ยิ่งเย็นเยียบ
“อะไรกัน คนทั้งสามหน่วยล้วนหายไปหมด ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อยเลยหรือ”
น้ำเสียงของหรงจิงเย็นเฉียบยิ่งกว่าหิมะที่ด้านนอก คนที่คุกเข่าอยู่รีบโขกศีรษะตอบทันที
“ฝ่าบาท เรื่องนี้แปลกพิกลพ่ะย่ะค่ะ คนที่ใต้เท้าส่งไปล้วนเป็นยอดฝีมือของมังกรเหิน แต่เทือกเขาสวินหลงเป็นเหมือนดั่งนรก เมื่อเดินเข้าไปแล้วไม่สามารถออกมาได้อีก ใต้เท้ากำชับไว้แล้วว่า ไม่ว่าเห็นสิ่งใดหรือไม่เห็นอะไรเลย สามวันให้หลังจะต้องกลับมารายงาน แต่ว่ารอมาเจ็ดวันแล้วก็ยังไม่ได้กลับมาสักคนพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าหรงจิงเปลี่ยนแปลงถึงที่สุด เย็นเยียบสุดประมาณ เขาพ่นลมเย็นออกจมูกแล้วโยนกระบอกไม้ไผ่คืนไปให้คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพูดว่า
“เราไม่ต้องการคำอธิบาย ครั้งก่อนเราบอกแล้วว่าหากเรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่กระจ่าง ให้เขาตัดศีรษะมาให้เรา”
หรงจิงไม่เชื่อว่ามังกรเหินจะกล้าไม่ทุ่มเท แต่ว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยความประหลาด และยิ่งทำให้เขาสนใจมากยิ่งขึ้น
ขณะนั้นบังเกิดเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบาขึ้นที่ด้านหลัง ดวงตาเย็นเฉียบของหรงจิงหรี่ลงแล้วหันกลับไป
บนพื้นหิมะขาวโพลนด้านหลังมีคนสวนชุดดำคลุมกายด้วยเสื้อผ้าถักทอจากปีกนกสีดำคนหนึ่งหรงจิงมองดูครู่หนึ่งก็จำได้
ตอนที่ 623 ขุมทรัพย์ ชีพจรมังกร
หรงจิงหันกลับไป ซูกงกงคิดจะขึ้นไปสกัดคนๆ นั้น ก็ได้ยินคนๆ นั้นพูดขึ้น
“ฝ่าบาท ชิวเว่ยเต้าถวายบังคมพะย่ะค่ะ”
หรงจิงมองดูเขาดวงตาวาววับขึ้น แล้วสะบัดมือให้ซูกงกงปล่อยเขาเข้ามา
“นักพรตชิวไม่ใช่ต้องออกท่องไปข้างนอกหรอกหรือ เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่”
สมัยนั้นชิวเว่ยเต้าอายุเพียงสามสิบเศษ เขาแตะศีรษะหรงจิงแล้วบอกว่าเขาคือดาวจักรพรรดิ แต่ตอนนี้หรงจิงเป็นฮ่องเต้แล้ว ทว่าไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเขามากนัก
หรงจิงพ่นลมเย็นออกจมูก ชิวเว่ยเต้าขยับเข้ามาทำความเคารพแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นขุนนางตรวจดูดวงดาวมาสามสิบปีกระทั่งลืมไปแล้วว่าการออกไปท่องบำเพ็ญพรตข้างนอกเป็นอย่างไร กระหม่อมรู้ดีว่าเรื่องของไทเฮาในครั้งนั้น ทำให้ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อถือวิชาดูดวงดาวอีก”
“แต่ว่ากระหม่อมเป็นข้าราชบริพาร มีภาระหน้าที่ของตนที่ต้องทำให้ถึงที่สุด เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินฝ่าบาทตรัสถึงเทือกเขาสวินหลง ถึงแม้ไม่ได้มีเจตนาแอบฟัง แต่กระหม่อมมีเรื่องต้องกราบทูลพะย่ะค่ะ”
ถึงหรงจิงจะไม่พอใจเขาอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็เป็นขุนนางเก่าแก่ ว่าไปแล้วเขายังเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบอีกด้วย เป็นขุนนางคนสำคัญที่ช่วยให้เขาได้ขึ้นสู่ตำแหน่งยิ่งใหญ่
หรงจิงมองเขาด้วยสายตาเย็นชาสีหน้าดูถูก แล้วแค่นเสียงเฮอะ
ชิวเว่ยเต้าเห็นหรงจิงไม่ได้ไล่เขาออกไปก็พูดขึ้นทันที
“กระหม่อมดูดวงดาวในค่ำคืนนี้ เห็นดาวจักรพรรดิของฝ่าบาทมืดหม่นเหมือนตกเข้าสู่สถานการณ์ลำบาก ถึงแม้จะมีดาวเนื้อคู่เคียงข้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือเคราะห์ กระหม่อมจึงตั้งใจมาที่นี่ เพื่อช่วยแก้ไขความลำบากยุ่งยากเฉพาะเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทในตอนนี้พะย่ะค่ะ”
หรงจิงได้ยินชิวเว่ยเต้าพูดเช่นนี้ ท่าทางดูถูกเมื่อครู่จึงเปลี่ยนเป็นมิตรขึ้นบ้าง
ชิวเว่ยเต้าเห็นดังนั้นจึงพูดต่อ
“ฝ่าบาทจะต้องส่งสายลับมังกรเหินเข้าไปตรวจสอบในเทือกเขาสวินหลงเป็นแน่ และคิดว่าคนที่ทรงส่งออกไปทั้งหมดคงไม่ได้กลับออกมาใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ”
ชิวเว่ยเต้าพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิ ทำให้หรงจิงแปลกใจ
“นักพรตชิวดูเหมือนจะภาคภูมิใจกับเรื่องนี้เหลือเกิน”
เสียงของหรงจิงไม่นุ่มนวล ชิวเว่ยเต้าเก็บยิ้มขึ้นทันที ตอบอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาท หอความลับสวรรค์ไม่ได้เพียงแค่คอยตรวจเกณฑ์ชะตาช่วยราชการฮ่องเต้เท่านั้น แต่มีสิ่งสำคัญที่สุดคือการปกปักรักษาชีพจรมังกรที่อยู่ในเทือกเขาสวินหลง ตอนที่ฝ่าบาททรงสืบทอดราชบัลลังก์ คงจะเคยทรงสดับฟังเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่ไม่ทรงทราบตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอน ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ”
หรงจิงได้ยินเรื่องนี้ก็ตื่นตัวขึ้นทันที เหลียวมองรอบด้านแล้วส่ายหน้าให้ซูกงกง เขาเคลื่อนกายขึ้นหน้าไปเล็กน้อย ถามด้วยความสนใจและรอบคอบว่า
“นักพรตชิว ท่านรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไร”
ชิวเว่ยเต้าได้ยินเช่นนั้นก็สะบัดแส้ขนหางจามรีพูดอย่างร้อนใจ
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมมาในวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้ คืนนี้กระหม่อมดูดวงดาว เห็นดวงดาวกลับตาลปัตรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จึงคิดว่าจะต้องมีคนกำลังคิดจะทำอะไรกับเทือกเขาสวินหลงพะย่ะค่ะ”
กระหม่อมเคยได้ยินอาจารย์ของกระหม่อมกล่าวไว้ว่าตอนแรกก่อตั้งเซี่ยวจิ่งกั๋วนั้นได้มีการค้นหาชีพจรมังกรแห่งหนึ่งสถานที่ตรงนั้นอยู่ใกล้กับเหมืองทองคำ ฮ่องเต้ไท่จู่ทรงเลือกใช้สถานที่นั้นเป็นขุมทรัพย์เพื่อปกปักรักษาคนรุ่นหลัง ให้เซียวจิ่งกั๋วยืนหยัดยั่งยืนทุกยุคสมัยไม่เสื่อมคลาย”
หรงจิงฟังแล้วผงกศีรษะ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานของคนทั่วไป แต่ว่าเขารู้ดีทั้งหมด
อดีตฮ่องเต้ทรงมอบราชบัลลังก์ให้เขาแล้วจึงได้เผยความลับนี้ตอนใกล้สวรรคต เพื่อให้ฮ่องเต้รุ่นหลังของเซี่ยวจิ่งกั๋วได้ใช้เป็นสถานที่สร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมา
แต่หรงจิงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสถานที่นั้นอยู่ตรงไหน
เมื่อคิดขึ้นมาทำให้หรงจิงเกิดความสนใจในเรื่องนี้ยิ่งขึ้น
ชิวเว่ยเต้าจึงจงใจลดเสียงเบาลงพูดว่า
“ผู้อาวุโสก่อนๆ ของหอความลับสวรรค์ได้วางค่ายกลมายาไว้ใกล้ๆ เทือกเขาสวินหลง นอกจากต้องมีอวี้หนี่ว์นำทางมิเช่นนั้นจะไม่มีทางเข้าไปได้เป็นอันขาด ทั้งยังอาจถูกกักขังจนตายอยู่ข้างในอีกด้วย”
หรงจิงฟังด้วยความประหลาดใจ