ตอนที่ 789-790

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.789 – สตรีขนดก
  “คนส่วนมากจะไม่คิดถึงเรื่องการแลกแก้วกับคะแนนนอกเสียจากเขาจะรวยมาก!นี่เป็นข้องดเว้นที่ตำหนักนอกตั้งใจตั้งเอาไว้เพราะหวังว่าศิษย์ในสำนักจะหาคะแนนจากหนทางอื่น…”
  เจ้าตำหนักหลงอธิบาย
  ซือหยูตกใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้
  เจ้าตำหนักหลงพูดต่อ
  “วิธีที่สองคือการทำภารกิจหอภารกิจจะจำหน่ายภารกิจมากกว่าพันภารกิจในทุกวัน แต่ละภารกิจจะเสนอคะแนนเป็นรางวัลเมื่อทำภารกิจสำเร็จ คนที่แข็งแกร่งบางคนทำภารกิจสั้นๆได้แล้วเสร็จสามถึงสี่ภารกิจในวันเดียว พวกเขาจะได้หลายสิบคะแนนในแต่ละวัน บางคนได้ถึงร้อยคะแนน”
  เจ้าตำหนังหลงพูดเสริม
  “ถ้าหากพวกเขาทำคะแนนต่อไปได้เรื่อยๆก็ไม่ยากนักที่จะได้หนึ่งพันคะแนนอย่างรวดเร็วพวกเขาจะได้เพิ่มฐานพลัง ภารกิจระดับสูง และคะแนนที่มากขึ้นต่อไป”
  ซือหยูพยักหน้าเขารู้แล้วว่าการทำการกิจคืองานหลักที่เขาจะต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
  เจ้าตำหนักหลงพูดต่อ
  “วิธีที่สามค่อนข้างทำยากแต่เจ้าจะใช้มันได้ในฐานะคะแนนอ้างอิง ตำหนักมักจะซื้อโอสถ สร้อย สมบัติวิเศษ วิชาบ่มเพาะ วัตถุดิบสัตว์อสูร และสิ่งอื่นๆที่ใช้ในระยะยาวอยู่เสมอ ราคาจะต่ำกว่าในท้องตลาดมาก และตำหนักจะต้องยืนยันถึงคุณสมบัติของสิ่งของที่เจ้านำมาขายได้ ดังนั้นการขายของให้ตำหนักจึงประหยัดเงินกว่าการใช้แก้ว”
  เจ้าตำหนักหลงพักหายใจ
  “วิธีสุดท้ายยากมากที่สุดตำหนักจะให้รางวัลกับศิษย์ที่ทุ่มเทต่อสำนัก และจะให้คะแนนจำนวนมาก แต่หาโอกาสได้ยากนัก เพราะตำหนักโลหิตยังอยู่ในช่วงสงบสุข ศิษย์นอกจึงไม่มีเหตุให้สร้างความดีความชอบได้”
  เจ้าตำหนักหลงพูดต่อ
  “แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้ารู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลมากนัก ข้าอยู่ตำหนักนอกมาเกินร้อยปี ข้าเห็นคนที่ได้รางวัลสุดท้ายแค่ครั้งเดียว”
  ซือหยูจดจำทุกสิ่งเอาไว้เขาจะต้องทำตามกฎเพื่อที่จะได้คะแนนอย่างเคร่งครัด
  ซือหยูมองรอบๆและพบว่าเขาได้มาถึงบ่อเซียนแล้วมันคือบ่อวิญญาณที่มีความกว้างหลายสิบศอกและเต็มไปด้วยวารีวิญญาณ มันมีพลังวิญญาณจำนวนมากอัดแน่นอยู่
  เจ้าตำหนักหลงหันมาหาเขา
  “เจ้าบ่มเพาะพลังอย่างสงบได้ที่นี่หลังจากบ่มเพาะเสร็จแล้วจงไปที่ห้องฝึกทันทีเพื่อปรับพื้นฐานพลังของเจ้า”
  ซือหยูพยักหน้าประสานหมัด และกล่าวขอบคุณ เขามองบ่อเซียนที่เต็มไปด้วยวารีวิญญาด้วยคยวามคาดหวัง เขาสูดหายใจลึกและลงไปในบ่อ
  เขารู้สึกเบาสบายเมื่อถูกห้อมล้อมโดยวารีวิญญาณอันอบอุ่นและอ่อนโยนวารีวิญญาณที่เก็บพลังเอาไว้มากได้ซึมผ่านผิวหนัง มันชำระล้างหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต
  ซือหยูรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อยเขารู้สึกยินดีและหลับตาปล่อยพลังชีวิต วารีวิญญาณที่ไหลเข้าสู่ร่างเริ่มสงบลง
  หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามซือหยูลืมตาขึ้นช้าๆ คลื่นลมได้หมุนวนเหนือศีรษะของเขา พลังวิญญาณจากสิ่งรอบข้างได้หมุนวนรอบศีรษะของเขาเช่นกัน
  เจ้าตำหนักหลงที่นั่งสมาธิอยู่อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมาดูเขามองซือหยูด้วยความยอมรับ
  “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเป็นอัจฉริยะอสูรที่ไปถึงขั้นห้าสิบพอร่างกายได้รับแรงกดดันมหาศาลที่นั่น มันก็ได้รับการปรับพลังที่มากพอ พอมาลงบ่อเซียน ร่างกายเจ้าก็ยิ่งแข็งแกร่ง! เจ้าเลยก้าวข้ามระดับพลังขั้นต่อไปได้ง่ายๆ!”
  ในตำหนักนอกคนที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ส่วนคนที่อ่อนแอก็จะยิ่งอ่อนแอลงไป ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นจะได้ทรัพยากรที่มากกว่า พลังก็จะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วกว่า
  เป็นเช่นเดียวกับพวกที่อ่อนแอแม้แต่เจ้าตำหนักหลงก็อดอิจฉาซือหยูในความรวดเร็วของการเพิ่มพลังไม่ได้
  ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นพลังวิญญาณแข็งแกร่งเข้าสู่ร่างกายของซือยหูและบีบอัดลงไปในจุดกำเนิดพลังของเขา จุดกำเนิดพลังของซือหยูขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม จุดกำเนิดพลังของเขาได้ขยายใหญ่กว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว วารีพลังชีวิตก็เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวด้วย
  แค่พลังชีวิตที่เขาเก็บได้เพียงอย่างเดียวก็เทียบเท่าภูติระดับสี่แล้วตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับภูติระดับสี่ได้โดยไม่ต้องใช้สมบัติวิเศษเลย!
  หลังจากบ่มเพาะพลังเสร็จวารีวิญญาณในบ่อเหือดแห้งลง นั่นหมายความว่าหมดเวลาของเขาแล้ว เขาต้องออกไปจากที่นี่
  ซือหยูกล่าวลาเจ้าตำหนักหลงจากนั้นจึงทำตามคำแนะนำไปยังห้องฝึกเพื่อปรับพลัง ความนับถือและริษยาปรากฏบนสายตาของคนคุ้มกันตำหนักที่ยืนเฝ้าประตู
  ตอนที่พวกเขาเข้าสู่ตำหนักในอดีตพวกเขาใช้เวลาตลอดสามปีในการรวบรวมทรัพยากรให้มากพอจนกลายเป็นภูติระดับสอง แต่ซือหยูกลับทะลวงพลังได้ในทันทีที่มาถึง พวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?
  หลังจากที่ซือหยูไปมีสองคนได้ออกมาจากพื้นที่ลับส่วนนอกตำหนักเซียน หนึ่งในนั้นคือเฉาหลี่ที่แบกธนูคันใหญ่บนแผ่นหลัง นางมองซือหยูอย่างเยือกเย็น มีอีกคนอยู่ข้างๆนาง เขาค่อนข้างอวบ สายตานั้นเยือกเย็นไม่ต่างกัน
  “นี่คือซือหยูเซี่ยนที่สังหารเฉาหลิงเจี้ยนรึ?เจ้าบอกว่าเขาเป็นแค่ภูติระดับหนึ่งไม่ใช่รึไง?”
  ความตกใจปรากฏบนสายตาเฉาหลี่นางอธิบาย
  “ตอนที่พวกเราเข้าสอบเขาเป็นแค่ภูติระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาเป็นภูติระดับสองแล้ว!”
  “พี่ฉิงเฟิงท่านเจ้าตระกูลบอกให้เราขัดขวางการบ่มเพาะพลังของเขาจนถึงการเดินทาง พี่รู้วิธีที่เราจะทำได้บ้างไหม?”
  เฉาหลี่ถามใบหน้านางไร้อารมณ์ นางไม่พอใจอย่างมาก
  เพราะนางเพิ่งจะเข้าตำหนักโลหิตมาอย่างยากลำบากนางไม่อยากจะเสียเวลาเพื่อนายน้อยที่ตายไปแล้ว เช่นเดียวกับเฉาฉิงเฟิง
  ไม่ว่าเขาหรือนางก็มาจากตระกูลหลักพวกเขาจำต้องฟังคำสั่งเพราะยังแข็งแกร่งไม่พอใจ ดังนั้นทั้งสองจึงมิอาจเป็นอิสระจากการควบคุมของตระกูลเฉาได้
  “เรื่องง่ายมิใช่รึ?เราก็แค่ทำร้ายมันจนบาดเจ็บสาหัสก็พอแล้ว”
  เฉาฉิงเฟิงเสนอ
  เฉาหลี่ตาลุกวาว
  “พี่ฉิงเฟิงจะทำใช่หรือไม่?ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
  เขาเป็นภูติระดับแปดแม้ซือหยูจะมีพลังอันยิ่งใหญ่ เขาก็ควรจะพ่ายแพ้ เฉาฉิงเฟิงกล่าว
  “ไม่ได้ข้าเป็นศิษย์พี่ที่เข้าสำนักเมื่อสามปีที่แล้ว ไม่เหมาะสมที่จะจู่โจมหน้าใหม่ท่ามกลางสายตาผู้คน เจ้าต้องจัดการเอง”
  เฉาหลี่ตกตะลึง
  “ข้างั้นเรอะ?”
  นางเริ่มลังเลแม้นางอยากจะสู้กับซือหยูเพื่อที่จะได้เห็นกันไปเลยว่าใครแข็งแกร่งที่สุด แต่นางก็กังวลว่านางอาจจะสู้เขาไม่ได้
  “วางใจเถอะข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปสู้โดยไม่มีตัวช่วยอยู่แล้ว….”
  เฉาฉิงเฟิงกล่าว
  เขาหยิบเอาเครื่องรางออกมาจากกระเป๋า
  “ผู้เฒ่าตระกูลเราทำเครื่องรางนี้ขึ้นมามันมีพลังของภูติระดับเจ็ดอยู่ ถ้าเจ้าใช้มันได้ดี ซือหยูจะบาดเจ็บสาหัส”
  “สบายใจได้เขาไปถึงขั้นห้าสิบ พลังงจะต้องยอดเยี่ยมไม่ผิดแน่ ชีวิตเขาไม่เป็นอันตรายหรอก นี่…ฟังนะ…เจ้ากับข้ามาจากตระกูลเดียวกัน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเป็นอันตราย!”
  เฉาหลี่พยักหน้าหลังจากลังเลอีกครู่นางซ่อนเครื่องนางและไล่ตามซือหยูไป
  เฉาฉิงเฟิงตามนางไปและแสยะยิ้มให้เฉาหลี่ที่หันหลัง
  “หลี่เอ๋อข้าต้องลำบากให้เจ้าทำลายฐานพลังของไอ้เด็กนั่น! ส่วนรางวัลที่ตระกูลจะให้เจ้า ข้าจะรับไว้แทนเจ้าเอง!”
  …
  พื้นที่ฝึกฝนนั้นถูกคุ้มกันโดยภูติหลายคนมีจ้าวเทวะหนึ่งคนคอยแอบตรวจตราอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าจะมีจ้าวเทวะหลายคนในตำหนักนอก!
  เขาทาบตราประจำตัวกับกำแพงศิลามีหลายตัวเลือกปรากฏออกมา :
  การจำลองการต่อสู้และห้องฝึกเต็มแล้ว…
  การต่อสู้แบบเปิดและห้องฝึกใช้สิบคะแนนในการเข้าแต่ละครั้ง…
  หลังจากซือหยูอ่านตัวเลือกก็สงสัย…การจำลองต่อสู้กับห้องฝึกงั้นรึ?ซือหยูสงสัยเรื่องนี้มากแต่ห้องเต็มไปแล้ว เขาได้แต่เลือกการต่อสู้แบบเปิดและห้องฝึก
  มันคือห้องฝึกส่วนรวมที่มีคนมารวมตัวกันอยู่พวกเขาทั้งหมดนั่งสมาธิ บ่มเพาะ และฝึกต่อสู้กันเอง
  ซือหยูเอามือป้องปากที่นี่มีคนอยู่เยอะมาก อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าพันคน มีคนอยู่ทั่วทุกมุม
  ยอดฝีมือมักจะเลือกสถานที่สงบเงียบและไม่นิยมการถูกรบกวนนั่นจึงเป็นเหตุที่มีคนมากมายอยู่ที่นี่ พวกเขาเลือกบ่มเพาะพลังที่นี้แม้จะต้องทนรับเสียงรบกวนจากการต่อสู้ก็ตาม
  หลังจากซือหยูเข้าในข้างในพลังวิญญาณที่เหนือกว่าภายนอกสามเท่าได้พัดตีเข้ามา พอถึงตอนนี้เขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงเลือกมาที่นี่
  การบ่มเพาะที่นี่วันเดียวก็เทียบเท่ากับการบ่มเพาะข้างนอกสามวันผู้คนจึงหลั่งใหลมาที่นี่ราวกับฝูงเป็ด
  และทุกคนที่จ่ายสิบคะแนนได้ง่ายๆในการเข้ามาบ่มเพาะที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์พี่มากฝีมือศิษย์ใหม่มิอาจจ่ายสิบคะแนนในตอนนี้ได้
  ซือหยูมองจนทั่วเพื่อหาที่ว่างเมื่อเจอแล้วจึงเดินไปนั่งบ่มเพาะพลังปรับฐานให้มั่นคง
  เขาหยุดหลังจากที่หมุนเวียนพลังจนทั่วร่างและมั่นใจว่าร่างกายของเขาคุ้นเคยกับขอบเขตใหม่แล้วแต่ซือหยูยังคงไม่ยืนขึ้น เขาครุ่นคิดถึงเรื่องวิชาบ่มเพาะที่เขากำลังเจออยู่
  วิชาที่เขากำลังตั้งใจในตอนนี้คือโอรสสวรรค์จ้องนภาส่วนวิชาอื่นอย่างอรหันต์แปดอักษรนั้นเขาบ่มเพาะเสร็จแล้ว
  ตอนนี้เขาไม่มีวิชาบ่มเพาะให้ใช้งานโดยเฉพาะดูเหมือนว่าเขาจะต้องซื้อตำราสักเล่ม แต่เขาก็ต้องคิดให้ดีว่าควรจะเลือกตำราใด และพลังแบบใดที่เขาต้องใช้งาน
  เขาเคยใช้สายฟ้าเพลิง และน้ำแข็ง ตอนนี้เขามาถึงจิวโจวแล้ว…ข้าจะหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับพวกมันได้ไหมนะ?
  ตำหนักโลหิตเป็นสำนักอสูรเขาสงสัย…ข้าจะบ่มเพาะวิชาอสูรดีหรือไม่?
  ซือหยูครุ่นคิดกับเรื่องสำคัญเช่นนี้และเมื่อเขาคิด กลิ่นหอมรุนแรงก็ได้กระทบจมูก มีมือนุ่มๆมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา
  ซือหยูตกตะลึงเขาลืมตาขึ้นทันที เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาใกล้เขา คนผู้นี้จะต้องเชี่ยวชาญวิชาอำพราง!
  แต่ที่ซือหยูรำคาญจริงๆก็คือนางเป็นสตรีนางยังเช็ดเหงื่อเขาไปอีก!
  เขาเป็นบุรุษการมีสตรีมาใจดีด้วยตัวนางเองควรจะทำให้เขาพอใจ แต่ตอนนี้เขารู้สึกขยะแขยงสตรีไร้ยางอาย นี่เป็นการเข้าใกล้เขามากเกินไป!
  เขาลืมตาและตกตะลึงเมื่อเห็นว่าผู้บ่มเพาะทุกคนหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจทราบตอนนี้เหลือแต่ห้องฝึกที่ว่างเปล่าและสงบเงียบ ราวกับว่าพวกเขาถูกลบหายไปจากโลก
  เกิดอะไรขึ้น?ซือหยูสงงสัยและเงยหน้ามองสตรีที่เช็ดเหงื่อเขา เขาอยากจะถามหาเหตุผลจากนาง
  และเมื่อชายตามองก็พบกับขาของสตรีในระดับสายตานางสวมกระโปรงยาวสีแดงเลือด มันดูดีและงดงามมาก
  แต่ซือหยูก็ต้องงุนงงเมื่อเห็นต้นขาใต้กระโปรงของนางมันมิใช่เพราะเป็นจุดสำคัญ แต่สิ่งที่เขาได้เห็นบนต้นขาของนางก็คือขนสีดำเต็มไปหมด!
  มันขึ้นหนายิ่งกว่าของผู้ชายวัยกลางคนเสียอีก!มันแทบจะเหมือนกับเส้นผมบนศีรษะ!
  ซือหยูหน้าแดงด้วยความอับอาย…นางมาจากที่ใดกัน?
  เขาเงยหน้าช้าๆและพบว่าเอวของนางหนาราวกับถังน้ำเมื่อเงยขึ้นไปอีกก็เห็นหน้าอกขนาดยักษ์
  อกของนางนั้นใหญ่โตราวกับลูกฟุตบอล!แต่เมื่อเขามองผ่านชายเสื้อนางเข้าไป เขาก็พบว่าอกของนางเป็นหินสองก้อนที่ไม่ใช่หน้าอกมนุษย์เลย!
  ซือหยูตกใจจนแทบจะกระอักเลือดนี่คือบุรุษที่แต่งกายเป็นสตรี!
  ในตอนนั้นซือหยูก็ได้ยินเสียงถาม
  “อ๊าย…มีคนกำลังชื่นชมข้าอยู่รึ?”
  มันเป็นเสียงที่ทำให้เขาสั่นไปถึงกระดูกมันเป็นเสียงอันอ่อนหวานไพเราะเหมือนสตรี แต่เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ชาย ซือหยูรู้สึกราวกับตัวเองต้องยาพิษ!
DND.790 – จู่ๆก็เจอกะเทย
  ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขาขนลุกซู่ เขากลิ้งกับพื้นไปมาโดยไม่พูดแม้สักคำเดียว ผ่านไปนานกว่าที่เขาจะหยุดและหันไปมองคนข้างหลัง
  ซือหยูรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้เมื่อมองอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวเขาเห็นชายอวบร่างหนาที่สวมชุดกระโปรงสีสันฉูดฉาด
  ชุดบางมิอาจเก็บซ่อนร่างกายกำยำของเขาได้มีหลายส่วนปริออกมาเผยให้เห็นส่วนอวบอั๋น ชายอวบผู้นี้ยืนไขว้ขา เขาถือม้วนกระดาษสีขาวในมือซ้ายที่ปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง
  เขากระพริบตาเหลือบมองซือหยูไม่หยุดท่าทางยั่วยวนของเขาทำให้ซือหยูสั่นไปทั้งกาย เขากลัวอีกฝ่ายมาก
  “เขาเป็น…กะเทย”
  ซือหยูสูดหายใจเข้าลึกเมื่อคิดว่าโลกนี้ก็มีกะเทยอยู่ด้วย!
  ชายอวบดูเขินอายบนใบหน้าเขาเอามือปิดหน้าและพูดอย่างเอียงอาย
  “น่าอายจริงๆ!หนุ่มน้อยเห็นเรือนร่างข้าหมดแล้ว”
  ซือหยูกลืนน้ำลายแม้เขาจะใช้ชีวิตมาสองครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกะเทยตัวจริง!
  ชายอวบมองซือหยูแบบโปรยเสน่ห์เขาย่อเอวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะคุยกับซือหยู
  “หนุ่มน้อยข้าเหรินเหยา…”
  เมื่อเขาเงยหน้าก็พบว่าซือหยูหายไปแล้วทุกสิ่งที่เขาเห็นก็มีเพียงปีกคู่ยาวของซือหยูที่หนีไป
  ชายอวบมองซือหยูที่หนีไปอย่างไม่พอใจนักแต่มันก็มีความเขินอายอยู่ด้วย
  “โอ้!ถึงจะหนีก็ยังหล่อ! ข้ารักเขา!”
  เมื่อเขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายในตอนนี้เขาได้ล้มลงกับพื้นและกลิ้งอย่างบ้าคลั่งเพื่อหนีไปจากที่นี่ มีเพียงอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะทำให้ซือหยูตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ซือหยูยังใจเต้นแรงเมื่อออกจากห้องฝึก เขาหน้าซีดเหมือนกับผี
  มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!เขามองรอบๆและปากบิดเบี้ยว เขาพบว่ามีมากกว่าพันคนอยู่ที่นี่ พวกเขาคือทั้งหมดที่เคยบ่มเพาะอยู่ด้านใน
  บอกได้เลยว่าพวกเขาหนีไปในตอนนี้กะเทยมายังฝึกทุกคนหนีไปหมดโดยทิ้งซือหยูเอาไว้และไม่แม้แต่เตือนเขา! พวกเขาเกือบจะทำให้ซือหยูถูกกะเทยคุกคามอยู่แล้ว!
  “น้องชายเจ้ายังไม่ตายสินะ?”
  ยอดฝีมือที่นั่งใกล้ซือหยูในห้องฝึกมองเขาอย่างเป็นห่วงเมื่อเดินเข้ามาหาซือหยูเขาละอายใจที่ไม่ได้เตือนซือหยู
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเขาชี้หน้าตัวเองและถามอย่างขมขื่น
  “ตาข้างไหนเจ้าเห็นข้าตายเรอะ?”
  ความขมขื่นปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน
  “น้องชายเจ้าอย่ามาโทษข้านะ ตอนที่อสูรมาที่นี่ เขาก็เลือกเจ้าทันที เขาขู่ห้ามไม่ให้ข้าเตือนเจ้า ข้าจะทำอะไรได้…”
  อสูรรึ?ซือหยูตกใจ อสูรที่ไหนกัน?
  แต่ก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสถามเสียงหอบก็ดังมาจากท้องฟ้า
  “หนุ่มน้อยรอข้าก่อน… แค่ก แค่ก ไปชมจันทร์เต็มดวงคืนนี้กันเถอะ ข้าเตรียมสุราดีกับอาหารไว้แล้ว คืนนี้จะต้องสวยแน่ๆ!”
  ฟึ่บ!
  ศิษย์นอกทั้งหมดกระจัดกระจายราวผึ้งแตกรังเมื่อได้ยินเสียงกะเทยราวกับว่าคนที่มาคืออสูรตัวจริง พวกเขาทำได้แค่หนีไปยังทุกทิศทาง!
  ซือหยูตัวสั่นเขาไม่กล้าจะลังเลแม้แต่น้อย เขารีบหนีต่อไป เมื่อมาถึงที่ร้างงที่ไม่มีใคร ตอนนั้นกะเทยจึงหยุดไล่ตามเขา
  เขายังใจสั้นเมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของกะเทยคนนั้นแม้จะไม่ผิดที่เขาจะเป็นกะเทย แต่มันก็ผิดที่เขาแต่งกายข้ามเพศด้วยรูปลักษณ์น่ากลัวเช่นนั้น! แม้แต่สววรรค์ก็ทนรับการผสมผสานนี้ไม่ได้หรอก!
  ซือหยูปวดหัวเมื่อคิดถึงจื่อเสวียนแต่เขาก็ไม่ได้โศกเศร้าที่ลักตัวนางมายังตำหนักโลหิต เพราะมีวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะรู้ที่อยู่ของนางและรู้ว่านางเคลื่อนไหวถึงขั้นใดแล้ว
  ถ้าหากเขาปล่อยให้นางเคลื่อนไหวตามต้องการเขาก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าเมื่อใดที่นางจะเข้าถึงตัวเขา และถ้าเขาเผยตัวผิดเวลาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลที่ได้ก็คือความตาย!
  หลังจากมองรอบๆซือหยูเดินไปยังเรือนของเขา แต่หลังจากเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลัง มันคือสัมผัสอันตราย
  หัวใจซือหยูสั่นอย่างบ้าคลั่งเขารีบแตะพื้นออกบิน เป็นเวลาเดียวกับที่ศรธนูพุ่งเฉียดลำตัวของเขาไป
  ซือหยูร่อนลงกับพื้นและมองด้านหลังอย่างเยือกเย็นเขาพบสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ในเรือน นางสีหน้าเยือกเย็น นางเล็งคันศรมายังซือหยู
  ฟึ่บ!
  เมื่อนางปล่อยนิ้วธนูอีกดอกก็พุ่งเข้าใส่ซือหยู พร้อมกันนั้นเองได้มีแสงสีเงินปรากฏบนฝ่ามือของซือหยู ธนูสีเงินปรากฏในมือเขา มันคือธนูมังกรฟ้าดิน! เขารีบอัดพลังชีวิตยิงกลับไป
  ปั้ง!
  ธนูทั้งสองปะทะกันอย่างอากาศเกิดไฟปะทุหลายสาย ธนูพลังชีวิตนั้นมีพลังด้อยกว่าลูกธนูของจริงอย่างมาก มันถูกแทงทะลุผ่านแต่ก็ช้าลงไปมาก ซือหยูเพียงแค่ต้องขยับหลบเล็กน้อยเท่านั้น
  เฉาหลี่เบิกตากว้าง
  “เจ้าใช้ธนูได้เหมือนกันเรอะ?”
  นางถาม
  นางตกใจอย่างมากนางบอกได้อยากง่ายดายว่าซือหยูเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ธนู และความแม่นยำของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร ถ้าหากธนูของซือหยูมิใช่แค่สมบัติเทพและถ้าเขามีลูกธนูของจริง ธนูของเขาก็ไม่ได้มีพลังน้อยไปกว่านาง
  ความเย็นชาฉาบแววตาซือหยู
  “ถึงจะอยู่ในตำหนักเจ้าก็ยังคิดจะฆ่าข้าอีกเรอะ? เจ้ามันภักดีจริงๆ”
  เฉาหลี่สีหน้าไร้อารมณ์
  “ใครบอกว่าข้าจะฆ่าเจ้า?ข้าก็แค่อยากจะสู้กับเจ้าสักหน่อย”
  แม้ว่าซือหยูจะได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าเขาก็ไม่เคยสู้กับเฉาหลี่ที่มีฐานพลังสูงสุดอย่างจริงจัง
  “ต่อสู้งั้นเรอะ?ข้าไม่สนหรอก…”
  ธนูวางคันธนูลงเขาไม่คิดจะต่อสู้อย่างไร้ความหมาย
  เฉาหลี่พูดอย่างเยือกเย็น
  “นี่มิใช่เจ้าตัดสินตอนที่ผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรขั้นที่ยี่สิบห้า ข้าได้ตรามัจฉามังกรมา มันทำให้ข้ามีสิทธิพิเศษ นั่นก็คือสิทธิ์ที่ข้าจะท้าประลองใครก็ได้ คนที่ถูกท้าประลองห้ามปฏิเสธ มิเช่นนั้นจะถูกหักร้อยคะแนน!”
  ซือหยูขมวดคิ้วตอนนี้เขากำลังต้องการคะแนนเป็นอย่างมาก เขาจะเสียคะแนนไปไม่ได้ เขาหันไปและยอมสู้กับนาง
  “ก็ได้…เจ้าพร้อมรึยังล่ะ?”
  เฉาหลี่สีหน้าเป็นกังวลนางดึงสายธนูอย่างมุ่งมั่นและยิงธนูใส่เขา ซือหยูก็ยิงธนูไปพร้อมกัน เขาใช้ธนูของเขาเบี่ยงเส้นทางธนูของนาง จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่เฉาหลี่
  เฉาหลี่รู้จุดอ่อนในการต่อสู้ระยะประชิดของนางดีนางรีบถอยกลับและยิงธนูไม่หยุด พลังชีวิตของซือหยูอ่อนด้อยกว่านาง ความเร็วของเขาก็ช้ากว่า นางสามารถรักษาระยะห่างได้
  ซือหยูใช้ทักษะธนูรับมือกับนานได้ไม่นานเพราะการใช้ธนูของเขาขึ้นอยู่กับลูกธนูที่สร้างจากพลังชีวิตดังนั้นเขาจึงเปลืองพลังกว่าเฉาหลี่มาก หากต่อสู้ยืดเยื้อ พลังของเขาจะหมดลงท้ายด้วยความพ่ายแพ้!
  แม้เฉาหลี่จะไม่กล่าวเฉพาะเจาะจงซือหยูก็รู้ดีกว่าผู้แพ้จะต้องได้รับการลงโทษ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ดวงตาของเขาได้มีเพลิงคลั่งที่มิอาจมองด้วยตาเปล่าแผดเผา มันคือเพลิงวิญญาณของกบแก้วเพลิงเนตรขาว แม้ว่าภูติระดับห้าจะไม่ตายเพราะเพลิงนี้ พวกเขาก็ยังได้รับความเจ็บปวด
  “อ๊ากกก!”
  เฉาหลี่ครางด้วยความเจ็บปวด
  “เจ้าโจมตีวิญญาณได้งั้นเรอะ?”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้าเห็นเป็นอะไรล่ะ?”
  หลังเขาพูดจบก็โจมตีวิญญาณนางอีกครั้งเฉาหลี่ครวญครางด้วยความเจ็บปวดอีกครา พลังชีวิตในตัวนางหยุดนิ่งลง
  ซือหยูใช้โอกาสนี้ย่นระยะเฉาหลี่ตกใจแต่ก็มิอาจทำอะไรได้ นางทำได้แค่ทนรับมัน
  ซือหยูจู่โจมวิญญาณจนห่างจากนางแค่สิบศอกด้วยระยะเพียงเท่านี้ ธนูนั้นไร้ประโยชน์
  แต่เฉาหลี่ก็ยังไม่อยมแพ้นางกัดฟัน
  “มันยังไม่จบแค่นี้…”
  “หมัดมังกรหยก!”
  นางตะโกนทั้งที่ยังกัดฟันนางจู่โจมลำตัวซือหยู
  สายพลังโลหิตของซือหยูเปล่งแสงสีทองพลังมหาศาลเอ่อล้นออกมาขณะที่เขาเผชิญหน้ากับเฉาหลี่ตรงๆ
  “อ๊าาาา!”
  เฉาหลี่ตกใจมากนางร้องออกมาด้วยความปวดร้าวและกระเด็นลอยออกไป เลือดพุ่งออกมาจากปากนาง
  ตอนเผชิญหน้ากันเมื่อครู่พลังกายของซือหยูอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่านางแล้ว! ซือหยูใช้โอกาสนี้ซัดฝ่ามือในนางจนนางกระอักเลือดออกมาและกระเด็นไปในพุ่มไม้
  เสื้อผ้าของนางขาดเพราะการโจมตีของเขาทั้งร่างกายของนางชุ่มโลหิต สภาพนางย่ำแย่! นางที่ล้มอยู่บนพุ่มไม้ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย มีเพียงอกที่ขยับขึ้นลงเพราะการหายใจอย่างหนัก
  “ข้ายอมแล้ว…ข้าแพ้ข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าเพราะเรื่องตระกูลเฉาอีกแล้ว”
  เฉาหลี่ตระหนักได้ถึงความพ่ายแพ้ของนาง
  ส่วนเครื่องรางที่นางมีอยู่นั้นนางไม่ได้คิดใช้มันแต่แรก เพราะนางมิได้โง่ ถ้าหากนางสังหารซือหยูเข้า คนที่โดนลงโทษก็จะไม่ใช่เฉาฉิงเฟิงแต่เป็นนาง!
  ซือหยูตัดสินใจครู่หนึ่งสุดท้ายเขาเลือกไว้ชีวิตนาง เพราะเขาอยู่ในตำหนักมิใช่โลกภายนอก
  “อย่าลืมที่เจ้าพูดก็แล้วกัน…”
  ซือหยูเตือน
  เขาหันเตรียมจะจากไปแต่ในตอนนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเมื่อมองแหวนมิติของเฉาหลี่ มันเกิดรอยแตกที่ราวกับว่าแหวนกำลังจะระเบิด!
  ซือหยูรีบหนีเฉาหลี่เองก็สัมผัสได้ นางรีบถอดแหวนและขว้างทิ้งไป
  นางเหลือบมองซือหยูด้วยหางตานางคิดได้ในทันทีว่าถ้านางขว้างมันใส่เขา นางจะสังหารเขาได้อย่างแน่นอน แต่หลังจากที่นางลังเล นางก็กัดฟันข้วางมันไปยังทิศตรงข้าม
  แต่นางช้าเกินไปเล็กน้อยแหวนระเบิดในระยะสามสิบศอกนับจากตัวนาง พลังมหาศาลที่น่ากลัวได้พุ่งพล่านออกมามิใช่ภูติระดับเจ็ด แต่เป็นพลังของภูติระดับแปด!
  ดังนั้นเฉาหลี่จึงถูกแรงระเบิดเข้าล้อมนางกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน ส่วนหนึ่งของร่างกายนางโดนระเบิด ไหล่ซ้ายของนางแตกละเอียด ส่วนอื่นของร่างกายก็ได้รับแรงระเบิดเช่นกัน
  มีแค่ศีรษะของนางที่สภาพยังดีและทำให้นางรอดชีวิตอยู่ได้แต่ก็เป็นเพียงลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น ขณะนั้นเอง ซือหยูเกือบหนีแรงระเบิดไม่พ้น แต่เศษแหวนก็ทำให้ใบหน้าเขามีรอยแผล