ตอนที่ 791-792

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.791 – เป็นหนี้ซื้อโอสถ
  ซือหยูแววตาเย็นชาเขาบินเข้าไปห้ามเลือดของเฉาหลี่ที่บาดแผล เขาถาม
  “เกิดอะไรขึ้น?”
  เฉาหลี่ที่กำลังหายใจเฮือกสุดท้ายชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ซือหยูมองที่นั่นและพบเงาสีน้ำเงินที่จางหายไป แม้แต่พลังก็ถูกซ่อนเอาไว้โดยสมบูรณ์แบบ
  …มีคนคิดจะลอบสังหารข้างั้นเรอะ?ซือหยูใจเต้นแรง คนผู้นั้นอยากจะฆ่าเขาและให้เฉาหลี่เป็นผู้เคราะห์ร้าย!
  ฟึ่บ!
  เสียงระเบิดดังสนั่นจนทำให้จ้าวเทวะมากมายรีบเข้ามาบุรุษสามคนสวมชุดดำ ใบหน้าดูเข้มงวด แม้แต่จ้าวเทวะด้วยกันเองก็หวาดกลัวสามคนนี้ ชายทั้งสามคือผู้คุมกฎและมักจะจัดการเรื่องเร่งด่วน
  “เจ้าอยู่ในที่เกิดเหตุใช่หรือไม่?เอาล่ะ…บอกพวกเราว่าเกิดอะไรขึ้น บอกมาให้ละเอียด…”
  หัวหน้าผู้คุมกฎสั่งคนที่มาด้วยกันให้เก็บหลักฐานทั้งหมดขณะที่สอบถามซือหยู
  ซือหยูเล่าเรื่องการประลองและแหวนมิติที่ระเบิดในตอนสุดท้ายพอเล่าจบก็เป็นเวลาที่ผู้คุมกฎอีกสองคนรวบรวมหลักฐานเสร็จพอดี นั่นร่วมถึงเศษเครื่องรางระเบิด
  “เครื่องร่างโจมตีระดับแปดรึ?มันมีผนึกสั่งระเบิดได้จากระยะไกล มีคนใช้มันลงมือกับพวกขเา!”
  หนึ่งในผู้คุมกฎกล่าวเมื่อมองหลักฐานเพียงเหลือบมองครั้งเดียว
  จากนั้นเขาจึงมองซือหยูด้วยความใจหายราวกับว่าตระหนักถึงบางอย่าง
  “เจ้าต้องระวังตัวในอนาคต!ตำหนักโลหิตกำจัดคนสกปรกได้ แต่ก็มิอาจให้ความปลอดภัยกับเจ้าได้ในทุกย่างก้าว”
  ซือหยูพยักหน้าเขามองเฉาหลี่ที่บาดเจ็บแล้วถาม
  “แล้วนางล่ะ?”
  ผู้คุมกฎส่ายหน้า
  “บาดแผลนางหนักเกินไปโอสถธรรมดาช่วยนางไม่ได้แล้ว มีเพียงโอสถชั้นกลางที่จะช่วยนางได้ ถ้านางมีคะแนนมากพอ นางจะซื้อโอสถชั้นกลางระดับสี่อย่างโอสถหลอมโลหิตกระดูก แต่นางเป็นแค่หน้าใหม่ นางน่าจะมีคะแนนไม่พอ เราทำได้แค่บอกตระกูลนางให้พานางกลับไปรักษา”
  กฎอันไร้การเอาใจใส่และโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนผิดหวังเพราะศิษย์สำนักกำลังจะตาย แต่พวกเขาก็มีทางเลือกเดียวคือการส่งนางกลับตระกูลเพราะนางมีคะแนนไม่พอ! นั่นทำให้ซือหยูตระหนักถึงความสำคัญของคะแนนอีกครั้ง!
  “ต้องใช้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะซื้อโอสถหลอมโลหิตกระดูกได้?”
  ซือหยูถามในทันที
  ผู้คุมกฎมองซือหยูอย่างแปลกใจ
  “หมื่นคะแนนตำหนักเก็บโอสถนั้นไว้น้อยมาก แต่ถ้าเจ้าโชคดีก็อาจจะซื้อได้”
  โอสถนี้เป็นโอสถชั้นกลางที่ไม่เหมือนโอสถชั้นต้นที่เขาเคยเห็นและมันยังช่วยชีวิตคนได้ คนมากมายจึงทำงานทั้งปีเพียงเพื่อซื้อโอสถเม็ดเดียวและเก็บมันไว้อย่างดีเพื่อที่จะใช้ช่วยชีวิตตนเองในสักวันหนึ่ง
  หมื่นคะแนนรึ?ซือหยูตกใจกับราคาที่สูง เขาเหลือคะแนนไม่ถึงพันคะแนนด้วยซ้ำ
  “เจ้าไม่ต้องหาโอสถมาหรอกข้าได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น”
  เฉาหลี่พูดอย่างยากลำบากและดึงชายเสื้อซือหยูเบาๆด้วยมือข้างเดียวที่เหลือเสียงของนางอ่อนแอรวยรินราวกับว่านางจะตายในไม่ช้า
  ตะชาของเฉาหลี่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแต่เมื่อแหวนมิติจะระเบิด เขาเห็นกับตาว่าเฉาหลี่สามารถโยนแหวนใส่เขาได้ แต่นางก็เปลี่ยนทิศทางในเวลาท้ายสุด และเป็นเพราะการลังเลนั้นจึงทำให้นางต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้
  ซือยหูอยากจะใช้ชีวิตด้วยจิตใจที่สดใสและสง่างามสตรีสาหัสผู้นี้เป็นความหนักอึ้งในจิตใจของเขา เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ ยากที่เขาจะปล่อยให้นางตาย!
  แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาหมื่นคะแนนมาได้อย่างไรเพราะเขาเพิ่งจะเข้ารู้สำนัก เขาแทบจะไม่รู้จักใครสักคนเลย
  “หึหึศิษย์น้องซือ เจ้าเดือดร้อนเพราะมีคะแนนไม่พอหรือ?”
  ในตอนนั้นชายแววตามีเล่ห์เหลี่ยมที่ดูเหมือนอันธพาลได้เดินเข้ามาหาซือหยู
  ซือหยูขมวดคิ้ว
  “ข้ารู้จักเจ้ารึ?”
  ชายหนุ่มอันธพาลหัวเราะ
  “ศิษย์น้องซือเจ้าไม่รู้จักข้าอยู่แล้ว แต่ในตำหนักนอกแห่งนี้ ใครกันจะไม่รู้จักเจ้า?”
  “ขอแนะนำตัว…ข้าเฉินสวี่หลงแต่คนรู้จักข้าในชื่อนักเลงหลง ข้าเป็นคนใจดีเอื้อเฟื้อในตำหนักนอก ทุกคนรู้จักข้อนี้ดี ข้าชอบช่วยแก้ปัญหาให้ผู้คน ศิษย์น้อง ข้าเจ้าขาดคะแนน ข้าช่วยเจ้าได้นะ”
  ซือหยูตากระตุก
  “อืม…ข้าต้องการหมื่นคะแนนเจ้าจะช่วยข้ายังไง?”
  “ข้าให้เจ้ายืมได้หมื่นคะแนนแต่คนดีก็ต้องได้รางวัลในความดี ดังนั้นตอนเจ้าคืนข้า มันจะไม่ใช่แค่หมื่นคะแนน…”
  นักเลงหลงกล่าวและเลิกคิ้ว
  ซือหยูแสยะยิ้ม
  “ถ้าเจ้าอยากได้ดอกเบี้ยแพงๆก็พูดมาให้ชัดจะอ้อมค้อมอยู่ใย? ดอกเบี้ยเท่าไหร่? ว่ามา”
  ซือหยูเดาจากน้ำเสียงของเขาได้เลยว่าเขาจะต้องคิดดอกเบื้ยมหาศาลและดูเหมือนมันจะเป็นเช่นนั้นจริง
  นักเลงหลงไม่โกรธที่ซือหยูพูดเช่นนั้นเขาหัวเราะเบาๆ
  “ศิษย์น้องตรงไปตรงมานัก!ดอกเบี้ยคือเดือนละสามในสิบส่วน เจ้าจะต้องจ่ายสามพันคะแนนให้ข้าทุกเดือนจนกว่าเจ้าจะคืนคะแนนก้อนเต็มให้ข้าได้”
  ซือหยูมองนักเลงหลงและแสยะยิ้ม
  “สามในสิบส่วนต่อเดือนเรอะ?เจ้าใจดำเกินไปนัก!”
  ซือหยูยื่นดัชนีและพูดอย่างหนักแน่น
  “ข้าให้แค่หนึ่งในสิบต่อเดือนและเจ้าต้องช่วยหาคนที่จะขายโอสถหลอมโลหิตกระดูกให้ข้าด้วย นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ จะอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คนเดียวที่จะปล่อยดอกแพงเช่นนี้ในตำหนัก”
  นักเลงหลงใบหน้านิ่งงันเขาตอบด้วยเสียงลึกล้ำ
  “ศิษย์น้องหนึ่งในสิบต่อเดือนรึ? ข้าไม่เคยให้กู้ดอกเบี้ยน้อยเช่นนี้! แล้วเจ้ายังจะให้ข้าหาคนขายโอสถให้เจ้าอีก? ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้าควรจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษแบบนี้เล่า?”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เพราะข้าสอบได้ที่หนึ่งยังไงล่ะ”
  ถ้าซือหยูเป็นแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเป็นศิษย์ธรรมดาๆ นักเลงหลงก็คงจะไม่ยอมให้เขากู้คะแนนมากมายเช่นนี้ ซือหยูรู้ดีเพราะว่าคนที่ปล่อยกู้ย่อมต้องประเมินว่าอีกฝ่ายมีกำลังพอที่จะจ่ายหนี้หรือไม่!
  ซือหยูนั้นเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ไร้ขอบเขตเขาผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรถึงขั้นห้าสิบ เจ้าตำหนักสองคนยังนับถือเขาอย่างมาก ทุกคนรู้ว่าอนาคตของซือหยูจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมาก และทุกคนก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างซือหยูสามารถจ่ายหนี้ได้
  นักเลงหลงเริ่มลังเลเพราะซือหยูมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาไม่รับข้อตกลง คนปล่อยกู้คนอื่นก็จะชิงโอกาสและเอาตัวซือหยูไปแทน! แม้ดอกเบี้ยจะต่ำลง แต่พวกเขาก็ได้กำไรอย่างงามอยู่ดี
  นักเลงหลงเงียบไปครู่หนึ่งเขากัดฟันตอบ
  “ก็ได้…ข้าตกลง”
  นักเลงหลงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อมองซือหยู
  “ไม่เคยสักครั้งที่ข้าตกลงแบบนี้ศิษย์น้อง เจ้าต่อรองได้ชำนาญนัก!”
  ซือหยูตอบ
  “มิใช่ว่าข้าต่อรองเก่งข้าก็แค่ไม่ชอบใช้เงินเปลือง!”
  ชายคนนี้อยากจะเก็บเกี่ยวซือหยูอย่างงามซือหยูก็เพียงแค่ไม่โดนหลอก เขาเพียงต่อราคาเท่านั้น นั่นไม่นับว่าเป็นการต่อรองที่ดี
  “ก็ได้ใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจกันเลย”
  นักเลงหลงหยิบม้วนกระดาษเก่าออกมา
  ซือหยูทำข้อตกลงกับเขาเขายินยอมจ่ายดอกเบื้ยหนึ่งในสิบจนกว่าเขาจะคืนคะแนนได้หมด
  “เอาล่ะคำสาบานสำเร็จแล้ว ส่วนโอสถหลอมโลหิตกระดูก ข้ามีขายเจ้า แต่ราคาจะสูงกว่าตลาดหนึ่งในสิบส่วน มันจะมีราคาเป็นหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคะแนน…”
  เขาพูดต่อ
  “หอค้าโอสถอาจจะไม่มีโอสถหลอมโลหิตกระดูกขายเจ้าต้องคิดให้ดี”
  ซือหยูไม่คิดหน้าหลังก่อนจะบอก
  “ได้ข้าจะยืมอีกพันคะแนนกับเจ้า แต่ข้ากู้มามากเช่นนี้ ทำไมไม่ทำข้อตกลงกันอีกสักข้อเล่า?”
  นักเลงหลงตาลุกวาว
  “ได้ว่ามาเลยศิษย์น้อง”
  “ข้าอยากได้สูตรโอสถชั้นต่ำสองสูตรกับวัตถุดิบสิบชุดข้าจะรับทั้งหมดจากเจ้า เจ้าแปลงค่าเป็นคะแนนเสีย นับว่าเป็นการกู้อีกสัญญาที่ข้ากู้เจ้า…”
  เพราะคะแนนของเขาทั้งหมดจะหมดในวันนี้เขาจะต้องหาทางเอาคะแนนคืนมา เขามีทักษะปรุงยาอยู่บ้าง ถ้าเขาปรุงโอสถขายในตำหนักได้ เขาก็จะได้คะแนนกลับคืนมา
  นักเลงหลงกลอกตา
  “ศิษย์น้องเจ้าปรุงยาเป็นด้วยเรอะ?”
  คนรอบๆล้วนตกใจเมื่อได้ยินคำถามเพราะนักปรุงยานั้นหายาก อย่างแรกที่จะเป็นได้คือต้องมีวิญญาณที่แข็งแกร่ง จากนั้นต้องได้รับความรู้จากนักปรุงยา และการจ่ายเงินมหาศาลเพื่อที่จะฝึกวิชาปรุงยา!
  เงื่อนไขแรกนั้นพอจัดการได้แต่เงื่อนไขที่สองและสามนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสทั้งสิ้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะเป็นนักปรุงยา!
  ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
  “ไม่หรอกแต่ข้ามีสหายที่เชี่ยวชาญการปรุงยา”
  นักเลงหลงยังคงสงสัย
  “ก็ได้ข้ายอมรับข้อตกลงนี้ ข้าจะไปหาสูตรโอสถแล้วกลับมาคุยเรื่องราคากับเจ้า”
  ซือหยูพยักหน้าเขารีบจากไปหลังจากที่ได้โอสถหลอมโลหิตกระดูก…
  “ศิษย์น้องซือผู้นี้ไม่มั่นใจไปหน่อยรึเขากล้ากู้กับนักเลงหลงน่ะรึ? ไม่รู้จักกลัวบ้างรึไง!”
  “ศิษย์น้องซืออาจจะมีคิดว่าเขาได้รับความยกย่องจากตำหนักและจะได้ถอนหนี้คืนแต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แผนของศิษย์น้องซือก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าแน่”
  “ใช่แล้วคนปล่อยกู้อย่างนักเลงหลงใช้ชีวิตเสรีในตำหนัก ผู้เฒ่าหลายคนแม้แต่เจ้าตำหนักยังต้องทำเป็นมองไม่เห็นเขา มันไม่น่าสงสัยหรอกรึ? นั่นก็เพราะพวกเขามีเส้นสายแน่นหนาในตำหนักใน ศิษย์นอกเลยไม่กล้าเบี้ยวหนี้”
  “ศิษย์น้องซือต้องลำบากแน่”
  ซือหยูรู้เรื่องเหล่านี้ดีกว่าใครเพราะอย่างไร ชีวิตที่แล้วเขาก็คือนักธุรกิจ เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์และพฤติกรรม
  เขารู้อันตรายที่ซ่อนอยู่ของดอกเบี้ยสูงด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรีบจ่ายหนี้ให้หมด มิเช่นนั้นเขาจะจมลงสู้วังวนของหนี้ไร้จุดจบ!
  หลังจากซือหยูไปที่ฝ่ายคุมกฎเขาก็ได้รับรู้ว่าตระกูลเฉาได้เข้ามาพาตัวเฉาหลี่ไปแล้ว ซือหยูรีบไล่ตามไปทันที เพราะเห็นเด็กตระกูลเฉาสองคนที่รอดตายจากการทดสอบที่แล้ว
  พวกเขาแบกเฉาหลี่ออกจากตำหนักพวกเขามิได้ไปในทิศทางของตระกูลเฉา แต่เป็นป่าขังภูติ
  แม้เฉาหลี่จะขยับไม่ได้นางก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดเพี้ยน
  “เจ้าจะพาข้าไปไหน?ข้าต้องเจอท่านเจ้าตระกูล”
  ทั้งสองไม่ตอบแต่เพียงแบกนางตรงไปยังป่าทึบ
  “พวกเจ้ารวมหัวฆ่าข้างั้นเรอะ?”
  เฉาหลี่หวาดกลัว
  เพราะยังคงมีสัตว์อสูรที่หลงเหลืออยู่ร่อนเร่ไปรอบป่าร่างกายนางชุ่มเลือดเช่นนี้จะต้องไม่รอดพ้นจมูกของพวกมันเป็นแน่ นางจะกลายเป็นอาหารมื้อต่อไปของพวกมัน! แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้นางสั่นไปทั้งตัว
  “รวมหัวฆ่าเจ้าเรอะ?คิดอะไรของเจ้ากัน! พวกข้าแค่ทำตามคำสั่งเจ้าตระกูล”
  ความสงสารปรากฏบนใบหน้าของหนึ่งในสองคนนั้น
  “พี่หลี่เอ๋ออย่าโกรธพวกข้าเลย มันไม่ใช่ความคิดเราสองคน และพี่ก็รู้มากเกินไป! พอบาดเจ็บหนักเช่นนี้ คงจะดีกว่าที่จะพาไปโลกหน้าแทนที่ที่จะต้องเสียโอสถชั้นกลางให้กับคนหมดประโยชน์”
  เขาพูดต่อ
  “เจ้าตระกูลพูดด้วยตัวเองต่อให้เจ้าตระกูลพูดด้วยตัวเองให้พวกข้าสังหาร แต่พี่สาวเคยสอนเรามาก่อน เราจะปล่อยให้เป็นไปตามชะตาตรงนี้”
  อีกคนถามอย่างเย็นชา
  “เจ้าจะเสียเวลาคุยกับนางทำไม?นางก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำจากตระกูลรองที่มีพรสวรรค์ในพลังนิดหน่อยเท่านั้น แต่นางก็ยังคิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับตระกูล! น่าขันนัก! ไปกันเถอะ”
  หลังจากทั้งสองพูดจบทั้งคู่ได้บินออกไปโดยทิ้งเฉาหลี่ที่ขยับตัวไม่ได้เพียงลำพังในป่า นางน้ำตาซึม ความชิงชังเปล่งออกจากดวงตา
  นางพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตระกูลเฉารับฟังทุกคำสั่งและทำตามคำสั่งทั้งหมด! นางถึงกับทำภารกิจอันตรายอย่างการก่อฝูงสัตว์อสูรในการสอบ พอหลังจากนางบาดเจ็บสาหัส พวกเขาไม่แม้แต่ช่วยนาง แต่กลับทิ้งนางให้ตาย!
DND.792 – สี่อสูรผู้ยิ่งใหญ่
  ความเสียใจและโศกเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาน้ำตาที่ไหลลงบนบาดแผลทำให้นางแสบจนร้องครางด้วยความเจ็บปวด ทั้งร่างนั้นนั่นระริก ตอนนั้นเอง สายลมรุนแรงพัดเข้ามาพร้อมกับพลังมหาศาลของคนผู้หนึ่ง พลังนี้ทำให้เฉาหลี่ใจสลาย มันแข็งแกร่งราวกับพลังของสัตว์อสูรที่จะมาเอาชีวิตนาง
  “ดูเหมือนข้าจะมาทันเวลาสินะ”
  เสียงอ่อนโยนดังสะท้อนพื้นที่โดยรอบ
  เมื่อนางลืมตาก็ตกใจกับสิ่งวที่เห็น
  “ซือหยูเซี่ยน…นี่เจ้า!เจ้ามาทำอะไร?”
  ซือหยูย่อตัวข้างนางและหยิบโอสถหลอมโลหิตกระดูกป้อนให้นาง
  “ข้าทำให้เจ้าได้เพียงเท่านี้”
  เมื่อพูดจบเขายืนขึ้นเงียบๆอยู่ข้างๆนาง เขาปล่อยพลังออกมาเพื่อขับไล่เหล่าสัตว์อสูรที่ถูกกลิ่นเลือดล่อมาที่นี่ แม้เฉาหลี่จะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไร นางก็สัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์ที่เข้าสู่ร่างกาย มันทำให้ชิ้นส่วนร่างกายนางพื้นฟูอย่างรวดเร็ว
  ผ่านไปครึ่งชั่วยามร่างกายเฉาหลี่ฟื้นฟูสมบูรณ์พร้อม ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นบนตัวนาง นางแปลกใจและยินดีอย่างมาก นางมองซือหยูด้วยความรู้สึกขอบคุณ
  ความขมขื่นและเดียวดายได้แสดงผ่านใบหน้า
  “คนที่อยากฆ่าข้ามาจากตระกูลข้าที่ข้าติดตามรับใช้อย่างไม่ลืมหูลืมตาส่วนคนที่ช่วยชีวิตกลับกลายเป็นคนที่ข้าอยากสังหาร ลักลั่นนัก”
  ซือหยูมองนาง
  “เจ้าเป็นอิสระแล้วลากันตรงนี้เถอะ”
  “เดี๋ยวก่อน”
  เฉาหลี่เรียกซือหยูเพื่อหยุดเขา
  “ข้ามีหลักฐานว่าตระกูลเฉามีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกฝูงสัตว์อสูร”
  ซือหยูไม่หันไปมองนางเขาส่ายหน้า
  “แล้วยังไงรึ?”
  “เจ้าไม่อยากจะล้างแค้นหรือไง?”
  เฉาหลี่ถามอย่างสงสัย
  ซือหยูหัวเราะเบาๆ
  “ลบตระกูลเฉาให้หายไปจากโลกนี้ช่วยให้ข้าหมดปัญหาได้หลายเรื่องถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ทำได้ง่ายดายนัก แต่เจ้าคิดจริงๆรึว่าจำกำจัดตระกูลเฉาได้ด้วยแค่หลักฐานที่เจ้ามี? ตำหนักโลหิตต้องอยากจะสืบสวนอยู่แล้วว่ามันเป็นฝีมือใคร”
  เพราะตอนที่สำนักนอกจากสำนักใหญ่ทั้งสิบแปดพบกับความเปลี่ยนแปลงใหญ่มันมักจะเกิดเรื่องน่าเศร้าอันดินแดนในปกครองนั้น การค้าจะระส่ำระสาย นั่นจะส่งผลต่อตำหนักโลหิตโดยตรง
  ดังนั้นจึงไม่สมเหตุสมผลนักที่ตำหนักโลหิตจะก่อการสิ่งใดที่ทำให้เสียหายต่อตระกูลในการปกครองของตัวเองโดยเฉพาะด้วยเหตุผลแค่การมีคนตายไม่กี่คน นอกจากนั้นยังเห็นว่าตำหนักโลหิตรู้อยู่แล้วว่าฝูงสัตว์อสูรเกิดจากตระกูลเฉา แต่พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เพราะไม่อยากจะเสียผลประโยชน์
  เฉาหลี่ก้มหน้าพูดอย่างขมขื่น
  “เจ้าคิดอ่านได้ดีกว่าข้าเสียอีกข้าทำอะไรตระกูลเฉาไม่ได้เลย”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วข้าก็จะไปล่ะ”
  “เดี๋ยวก่อน!มีสองเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าด้วย”
  เฉาหลี่เรียกเพื่อหยุดเขาอีกครั้ง
  ซือหยูหันไป
  “ว่ามา…”
  เฉาหลี่จ้องมองซือหยู
  “อย่างแรกคนที่ส่งเครื่องรางระเบิดให้ข้าเพื่อพยายามฆ่าเจ้าคือเฉาฉินเฟิง เขาเป็นภูติระดับแปดที่เป็นศิษย์นอก เขาเป็นศิษย์ลำดับสิบที่แข็งแกร่งมาก ระวังให้ดีถ้าต้องเจอเขา”
  เฉาฉินเฟิงงั้นหรือ?ซือหยูจดจำชื่อนี้เอาไว้ในใจ
  “ส่วนเรื่องที่สองคือในภายในหนึ่งเดือนเจ้าจะต้องไปที่ภูเขาวิญญาณจรัสเพื่อทำภารกิจเดินทางเพราะเจ้าได้ที่หนึ่งในการสอบเข้า เฉาเอวี่ยหมิงจะพยายามฆ่าเจ้าที่นั่นแน่นอน เขาวางกับดักสำหรับเจ้าไว้หมดแล้ว เจ้าควรจะปฏิเสธภารกิจด้วยทุกวิถีทาง!”
  นางลืมตากว้างเมื่อเตือนเขา
  “และเจ้าก็ควรจะเลี่ยงการออกจากตำหนักก่อนจะมีพลังสูงพอที่จะปกป้องตัวเอง”
  ซือหยูขมวดคิ้ว
  “ภูเขาวิญญาณจรัสสินะ?กับดัก? เจ้าพูดถึงกับดักแบบใดกัน?”
  เฉาหลี่ส่ายหน้า
  “ข้าไม่รู้ข้ารู้แค่ว่าเขาวิญญาณจรัสสำคัญต่อตำหนักโลหิตอย่างมาก มีสมุนไพรวิญญาณจำนวนมากเติบโตที่นั่น ส่วนผู้เฒ่าตำหนักในก็คอยเฝ้าดูแลอยู่ มันมีการคุ้มกันแน่นหนาตลอดเวลา”
  นางพูดต่อ
  “ส่วนกับดักเฉาเอวี่ยหมิงไม่ได้บอกรายละเอียดกับข้า แต่เฉาเอวี่ยหมิงมีเส้นสายกับตำหนักโลหิต ถ้าเขามั่นใจจะสังหารเขาที่นั่น เขาก็คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดมาแล้วล่ะ เจ้าจะเป็นอันตรายแน่ถ้าไปถึงที่นั่น”
  ซือหยูประสานหมัดให้นาง
  “ขอบคุณมากที่บอกเรื่องนี้กับข้าเจ้าพูดว่ามีเรื่องจะถามข้านี่…จะถามอะไรล่ะ?”
  เฉาหลี่กัดริมฝีปากเบาๆ
  “ข้าอยากถามว่าเหตุใดเจ้าถึงช่วยข้ากัน?”
  ซือหยูมองนางพลางยักไหล่
  “ใครจะไปรู้ล่ะ?บางทีข้าอาจจะช่วยเพราะเจ้ายังมีความดีในจิตใจอยู่บ้าง หรือบางทีอาจจะเพราะข้าใจอ่อนเกินไปก็ได้”
  เมื่อพูดจบเขาบินขึ้นฟ้ากลับไปยังตำหนัก เมื่อดูเวลาก็หยุดคิดไม่ได้…แย่แล้ว! ข้าสัญญาจื่อเสวียนว่าจะกลับไปหลังครึ่งวัน แต่มันเกือบจะผ่านไปทั้งวันแล้ว!
  เมื่อคิดได้อย่างนี้เขาก็เป็นกังวลอย่างมากเขารีบมองหาเรือนตัวเองอย่างร้อนใจ แต่หลังจากรอดการถูกกะเทยล่าตัวมาได้และให้โอสถเฉาหลี่ เขาก็ลืมเส้นทางและหลง!
  ในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะ มันคือเสียงของชางก่วนหยุนซื่อและเหล่าสหายของเขาที่เพิ่งจะเดินกลับหลังจากร่ำสุรา พวกเขาพูดคุยและหัวเราะชอบใจ
  “พี่หยุนซื่อขอบคุณที่ประกันคะแนนให้พวกเา! พวกเราขอบคุณท่านมาก”
  ชายหนุ่มภูติระดับสามสามคนที่เมามายทุกคนกำลังพูดสรรเสริญเยินยอชางก่วนหยุนซื่อ
  ชางก่วนหยุนซื่อโบกมือและหัวเราะอย่างสุขใจ
  “ง่ายดายนักสำหรับข้ามันก็แค่พันคะแนนเท่านั้น พวกเจ้าไม่คืนข้าก็ไม่เป็นไร พวกเจ้าทุกคนเป็นพี่น้องข้านี่”
  ซือหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำสนทนาดูเหมือนว่าชางก่วนหยุนซื่อจะใช้ชื่อของตัวเองค้ำประกันสามคนนี้และยังจ่ายพันคะแนนให้กับเจ้าหนี้
  ถ้าสามคนนี้หนีไปชางก่วนหยุนซื่อจะต้องใช้หนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่โดยพื้นฐานตระกูลของชางก่วนหยุนซื่อนั้น คะแนนจำนวนเล็กน้อยมิได้มีผลกับเขาแม้จะถูกทั้งสามโกงก็ตามที
  “โอ้นั่นน้องซือไม่ใช่รึ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อเหลือบเห็นซือหยูที่กำลังงุนงง
  เขาตาลุกวาวและรีบขจัดกลิ่นสุราบนตัวและกล่าวลาทั้งสามคนเขารีบเข้าไปหาซือหยู
  “ฮ่าๆๆน้องชาย ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเจ้ารวดเร็วเช่นนี้! ไปหาสุราดื่มกันเถอะ ข้าเลี้ยงเอง!”
  ซือหยูมองสามคนที่เพิ่งจะแยกตัวจากชางก่วนหยุนซื่อเขาถอนหายใจ
  “พี่หยุนซื่อข้าเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อท่าน ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ที่ข้าจะพูดสิ่งนี้…”
  ชางก่วนหยุนซื่อเงียบลงเขาบอก
  “น้องซืออยากกล่าวประการใดก็ได้เลย”
  “มีสหายหลายประเภทนักในโลกใบนี้สหายบางคนที่ผูกมิตรยามร่ำสุรากระยาหารก็แค่มองหาผลประโยชน์ ท่านต้องระวังตัวใให้ดี”
  ชางก่วนหยุนซื่อพูดอย่างกระอักกระอ่วน
  “ข้าแค่รู้สึกว่าปฏิเสธพวกเขามันน่าอายสำหรับข้าแต่ข้าฟังเจ้าแล้ว…และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก น้องซือ ขอบคุณที่เจ้าห่วงใย”
  “ตอนนี้ไปดื่มให้เมากันเถอะ!”
  ชางก่วนหยุนซื่อกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
  ซือหยูหัวเราะเบาๆอย่างขมขื่นแต่ก็ปฏิเสธ
  “ข้าต้องกลับเรือนเดี๋ยวนี้ข้าหลงทางและแค่อยากจะได้คนนำทางข้า พี่ชางก่วน ท่านคุ้นเคยตำหนักที่นี่ ช่วยหาข้าเรือนจะได้หรือไม่?”
  ชางก่วนหยุนซื่อหัวเราะลั่น
  “แม้แต่คนที่สอบได้ที่หนึ่งอย่างเจ้าก็หลงทางได้เหมือนกันสินะ!ฮ่าๆๆๆ ได้ๆๆ ข้าจะพาเจ้าไป ว่าแต่…เรือนเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”
  ซือหยูคิดก่อนจะตอบ
  “อยู่ที่เขาอสูรมันชื่อแปลกมาก…สำนักวิถีอสูรตั้งชื่อประหลาดเช่นนี้ตลอดเลยรึ?”
  “พี่ช่วงก่วนท่านเป็นอะไร?”
  ซือหยูสังเกตว่าชางก่วนหยุนซื่อหยุดเดินในพริบตาเสียงหัวเราะของเขาก็หายไป
  ชางก่วนหยุนซื่อหันไปมองหน้าซือหยูด้วยความยากลำบากเขามองซือหยูด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
  “เรือนเจ้าอยู่ที่เขาอสูรจริงๆเรอะ?ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม?”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่แล้วมันคือชื่อสถานที่ที่ผู้เฒ่าหลี่กับเจ้าตำหนักคงฉานบอกข้า ทำไมล่ะ? มันมีอะไร?”
  ชางก่วนหยุนซื่อสูดหายใจเข้าลึกใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ดวงตามีแค่ความเห็นใจ
  “น้องซือดูแลตัวเองด้วย ข้าขอโทษ แต่ข้าพาเจ้าไปที่นั่นไม่ได้หรอก”
  ชางก่วนหยุนซื่อไม่เดินต่อแม้แต่ก้าวเดียวหลังจากที่พูดแบบนั้นซือหยูใจเต้นแรงและสงสัย
  “พี่ชางก่วนอธิบายเรื่องนี้กับข้าให้ชัดๆไม่ได้รึ?”
  ซือหยูถาม
  ชางก่วนหยุดซือสูดหายใจเข้าลึกเพื่อฝืนใจให้เย็นลงเขามองซือหยูและพูดอย่างเคร่งเครียด
  “น้องซือเจ้าไปเองเถอะ ข้าจะอวยพรให้เจ้าโชคดี”
  ซือหยูยิ่งสับสน
  “บอกข้าให้ละเอียดทีเถอะ”
  ชางก่วนหยุนซื่อกลืนน้ำลายเขามองรอบๆราวกับหวาดกลัว จากนั้นจึงพูดเบาๆ
  “เขาอสูรเป็นที่ที่สี่อสูรอาศัยอยู่นอกจากพวกนั้นจะแข็งแกร่งมากแล้วก็ยังวิปริตพิสดาร”
  เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง
  “พวกเขาทุกคนสร้างปัญหากับภัยพิบัติใหญ่ในตำหนักนอกแม้แต่เจ้าตำหนักทั้งสามคนยังคุมไม่อยู่ พวกนั้นป่าเถื่อนไร้กฎเกณฑ์”
  เขาส่ายหน้า
  “เพราะแบบนี้จึงไม่มีใครกล้ารบกวนพวกเขาต่อให้มีใครพิการหรือถูกรังแกจนตายก็ไม่มีใครเลยที่จะไปปรักปรำได้ แม้แต่ผู้คุมกฎก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
  ซือหยูตัวสั่นเมื่อได้ฟังคำอธิบายของเหล่าอสูรยากที่เขาจะเชื่อว่ามีตัวตนที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้อยู่ในตำหนักนอก! สมกับเป็นสำนักวิถีอสูร คนในสำนักโหดร้ายป่าเถื่อนโดยสันดานจนคนทั่วไปหยั่งไม่ถึง
  “แล้วอสูรทั้งสี่คือผู้ใดกัน?”
  ซือหยูถามสีหน้าเขามืดหมองลง เขาเริ่มสงสัยว่าเหตุใดเรือนของเขาจึงไปอยู่ท่ามกลางอสูรเหล่านั้น!
  ชางก่วนหยุนซื่อตอบด้วยความเศร้า
  “อสูรทั้งสี่เป็นที่รู้จักกันในนามปีศาจบูรพาพิษประจิม วนิพกทักษิณ จักรพรรดิอุดร ทั้งสี่นามนี้คือนามผู้ที่เคยเป็นผู้ปกครองไร้เทียมทานในอดีต”
  “พวกเขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยรึ?พวกเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์ในระดับสูงอีกหรือ?”
  ซือหยูถามอย่างเคร่งเครียด
  ชางก่วนหยุนซื่อพยักหน้า
  “ถูกเผง!มีไม่กี่คนเท่านั้นในตำหนักในที่กล้าต่อกรกับสี่คนนี้ อสูรทั้งสี่คือพวกที่จะเข้าตำหนักในได้โดยตรง และด้วยหลายปีที่พ้นผ่าน พวกเขาได้เลยขอบเขตภูติไปแล้ว แต่พวกเขาก็กดฐานพลังของตัวเองเอาไว้เพื่อที่จะอยู่ในตำหนักนอก”
  ซือหยูถามด้วยความสงสัย
  “พวกเขาทำไปทำไมกัน?ตำหนักในสภาพแวดล้อมดีกว่าไม่ใช่หรอกรึ? ทำไมพวกเขาอยากอยู่ในตำหนักนอกต่อล่ะ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อเอามือปิดปาก
  “มีคนบอกว่าพวกเขาอยากจะได้ไปยังดินแดนลับเก่าแก่แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดเลย”
  “นี่แผนที่ตำหนักนอกตอนนี้ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้ล่ะ”
  ชางก่วนหยุนกซื่อยื่นแผนที่ให้ซือหยู
  “น้องซือข้าขอลาเจ้าตรงนี้ ดูแลตัวเองด้วย พรุ่งนี้ข้าจะไปหน้าเขาอสูร ถ้าเจ้ายังมีชีวิตรอดให้เรียกชื่อข้า ข้าจะไปแบกเจ้าออกมา”
  เมื่อชางก่วนหยุนซื่อพูดจบเขารีบพุ่งตัวสิ่งหนีไป ซือหยูตกใจมากและเรียกเขา
  “เดี๋ยวก่อน!ที่พูดว่าจะแบกข้าออกมามันหมายความว่ายังไง? เฮ้! บอกข้าที..”
  ซือหยูรู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อมองชางก่วนหยุนซื่อที่วิ่งหนีเขาเมื่อเห็นว่ามิอาจได้รับคำตอบ เขาก็หันไปยังทิศทางของเขาอสูร