DND.793 – พบน้ำแข็งอุดร
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามซือหยูได้มาถึงอาณาเขตเขาอสูร มันเป็นเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้าแทบมืดสนิท แสงรำไรยามค่ำคืนเล็ดลอดผ่านเรือนของศิษย์มากมาย
แม้นภาจะมืดสนิทเขาอสูรก็ยังส่องสว่างตระการตา มันแทบจะเหมือนกับประภาคารที่ส่องแสงให้ภูเขาทั้งลูก
เขาอสูรนั้นยาวเพียงแค่ห้าร้อยศอกมันดูเหมือนกับภูเขาธรรมดาๆ แต่ก็มีศิลาวิญญาณส่องแสงมากมายประดับอยู่ ศิลาเหล่านั้นปล่อยแสงทุกเฉดสี
ซือหยูตะลึงภูเขาอสูรอันงดงามมันไม่ตรงกับภาพในใจที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้เลย มันควรจะเรียกว่า “เขานางไม้” เสียมากกว่า “เขาอสูร” เสียด้วยซ้ำ
ซือหยูสับสนและสงสัย…อสูรกระหายเลือดทั้งสี่ที่โหดร้ายอาศัยอยู่ในที่แบบนี้จริงๆรึ?
ซือหยูมีข้อสงสัยมากมายและเมื่อกำลังจะย่างกรายไปยังภูเขา เขาก็ได้เห็นเด็กสาวน่ารักสดใสวัยสิบขวบที่สวมชุดสีม่วงฟูฟ่อง นางดูน่ารักมีชีวิตชีวา
นางคาดเข็มขัดทองคำรัดเอวคอดกิ่วหน้าอกแบนราบเข้ากับขนาดตัว
เมื่อมองที่ใบหน้าของนางก็พบว่ามันงดงามอย่างมากเส้นผมสีดำปล่อยยาวถึงแผ่นหลัง มีผมบางส่วนม้วนลงมาปิดบังหน้าอกเอาไว้
นางมีใบหน้ารูปไข่ที่มาพร้อมผิวเรียบเนียนเปล่งประกายดั่งมณีดวงตาของนางสีม่วงสะท้อนแสงระยับ เป็นดวงตาที่ทำให้นางดูเฉลียวฉลาด
สาวน้อยหยุดเดินบนภูเขาและตกใจเมื่อเห็นซือหยูนางดูเหมือนกวางน้อยที่หวาดกลัว
นางมองดูซือหยูด้วยความสงสัยและเอานิ้วมือปิดปาก
“ท่านปู่มาหาสิ่งใดหรือ?”
เสียงของนางแหลมเล็กและเบาดั่งเสียงวิหคร้องนางน่ารักน่าหลงใหลจริงๆ ทุกคนคงหลงรักนางได้ง่ายๆ
ซือหยูตาลุกวาวเมื่อคิด…เด็กผู้หญิงคนนี้สวยมาก!หากโตขึ้นเมื่อใด นางจะต้องกลายเป็นสาวงามเหนือกว่าผู้ใดเป็นแน่!
“คุณหนูเจ้าอาศัยอยู่ในเขาอสูรงั้นรึ?”
ซือหยูแปลกใจที่พบนางที่นี่เขาสงสัยว่านางจะเป็นสาวรับใช้ของเหล่าอสูร
สาวน้อยพยักหน้าและกระพริบตาสีม่วงราวมณี
“ใช่แล้วปู่อยากให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่?”
นางช่างใจดียิ่งนัก!ซือหยูพยักหน้า
เขายิ้มเดินไปหานาง
“ข้าไม่ได้มาหาใครจริงๆแล้วข้าเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ ข้าอยู่ในเรือนกลาง”
ที่เขาอสูรนั้นมีที่พักอยู่ห้าเรือนสี่เรือนรอบๆที่เรือนที่ทิศเรือนกลางจะอยู่ระหว่างทุกเรือน สี่อสูรยึดครองงเรือนทั้งสี่ทิศเอาไว้แล้ว ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในเรือนกลาง
สาวน้อยตาเป็นประกายนางพูดด้วยความดีใจ
“โอ้…ปู่คือคนที่จะมาอยู่กับพวกเรานี่เอง!เดี๋ยวข้าจะนำทางให้!”
ซือหยูยิ้มพลางคิด…คิดอสูรทั้งสี่จะโหดร้ายป่าเถื่อนมันก็มิใช่กรณีเดียวกับสาวรับใช้ของพวกเขา!
สาวน้อยนำซือหยูผ่านถ้ำในภูเขาก่อนจะพาไปยังอีกด้านเขาเห็นเรือนทั้งห้าหลังตั้งอยู่
แต่ละหลังนั้นกว้างใหญ่งดงามยังมีสวนสวยที่ประดับประดาอย่างดีตามรสนิยมของซือหยูพอดี
“ข้าจะพาปู่ไปที่ประตูไว้พบกันใหม่”
สาวน้อยยิ้มอย่างอ่อนหวานเผยให้เห็นลักยิ้มอันน่ารักน่าชัง
ซือหยูโบกมือให้นาง
“ลาก่อน!”
หลังพูดจบซือหยูหยิบตราประจำตัวแนบกับกำแพงศิลาข้างประตู มีเสียงดังเมื่อประตูเหล็กเปิด ซือหยูก้าวเข้าไปด้านใน
บรรยากาศนั้นดูอบอุ่นอย่างที่เขาชอบแต่ซือหยูก็ไม่ลืมว่าจื่อเสวียนมาที่นี่ก่อนหน้าเขา เขาบอกให้นางรอครึ่งวัน แต่มันผ่านไปแล้วหนึ่งวันเต็ม เขาไม่รู้ว่านางจะโมโหหรือไม่
ซือหยูที่เป็นกังวลมองดูสิ่งรอบข้างสวนในนี้ไม่ใหญ่มากนัก มีบ้านไผ่อยู่ภายใน เขาคิดว่านางน่าจะอยู่ที่นั่น
ซือหยูเดินไปข้างหน้าและกำลังจะเคาะประตูแต่เขาก็หยุดลงเพราะได้ยินเสียงน้ำไหลจากด้านใน
ซือหยูยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น…นางกำลังอาบน้ำอยู่หรือ?
ซือหยูส่ายหน้าหันไปนั่งรอบนม้านั่งในสวนอย่างใจเย็นเขารออยู่เงียบๆ
เอี๊ยด!
ในตอนนั้นเองประตูเปิดอ้าเบาๆ เสียงเบาๆของสตรีดังมาจากในบ้าน
“ข้าอาบน้ำเสร็จแล้วเข้ามานอนด้วยกันข้างในสิ”
ซือหยูตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยินเขาเขินอาย…หญิงสาวไร้เดียงสาอสูณเนรมิตรคนนี้ไม่รู้เลยรึว่าบุรุษกับสตรีจะต้องอยู่แยกกัน?
ซือหยูที่เห็นว่าจื่อเสวียนไม่ได้โกรธที่เขามาช้ายังรู้สึกผิดและไม่กล้าจะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้เขาทำได้แค่ทำใจเดินเข้าไป
ห้องนั้นมืดแต่เขาก็เห็นเงาร่างของสตรีนางกำลังนอนหลับ
ซือหยูไม่กวนนางหรือใช้เนตรวิญญาณมองนางใกล้ๆเขาไม่อยากจะทำสิ่งไม่ดีไม่งาม
ซือหยูมองรอบห้องก่อนจะนั่งและเริ่มทำสมาธิเพื่อบ่มเพาะพลังในมุมห้อง
“หวูซื่อทำไมเจ้าไม่มานี่ล่ะ? เจ้าแทบจะไม่บ่มเพาะพลังแต่กลับมาขยันตอนนี้น่ะเรอะ! เจ้าต้องมองหาซือหยูนะ!”
นางพลิกตัวกลับลืมตาช้าและมองซือหยูที่นั่งบ่มเพาะพลังขณะพูดก็กวักมือเรียกเขา แต่ซือหยูไม่ขยับตัว นางกำลังเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่น…
นางโมโหเล็กน้อยเมื่อไม่ได้รับคำตอบนางลุกขึ้น ชุดนอนบางที่สวมหลุดลงกับพื้นเผยให้เห็นเงาร่างกายอันสมบูรณ์แบบในห้องมืด นางเดินเข้ามาหาซือหยูและเบิกตากว้าง
“เจ้าไม่ใช่หวูซื่อนี่!เจ้าเป็นใคร?”
ซือหยูรู้อยู่แล้วว่านางไม่ใช่จื่อเสวียนและเขาก็มีความสงสัยขึ้นมา สาวน้อยน่ารักที่นำทางเขามาน่าจะเป็นสาวใช้ที่ได้รับมอบหมายให้จับตาดูเขา!
และนางผู้นี้กับเด็กสาวที่ชื่อหวูซื่อนั้นได้มาอยู่ในเรือนเขาโดยมีเหตุเพื่อรอเขา!ทั้งคู่จะต้องวางแผนอะไรบางอย่างแน่นอน
ซือหยูใจสั่นเมื่อคิดถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของอสูรทั้งสี่…นางถูกอสูรทั้งสี่สั่งมาให้ใส่ร้ายข้าที่ถ้ำมองสาวใช้สินะ?ถ้าเช่นนั้น แผนต่อไปก็คือการทำร้ายข้าจนปางตายหรือ?
ซือหยูไม่พอใจเลยเขาเริ่มคิดร้าย…ถ้าพวกมันไร้หัวใจก็อย่ามาบอกว่าข้าโหดร้ายตอบแล้วกัน!
ตอนที่นางร้องอุทานซือหยูกระโจนเข้าใส่นางราวกับพยัคฆ์น้อย เขาปล่อยหมัดด้วยมือทั้งสองเข้าใส่นาง และเมื่อซือหยูเตรียมจู่โจมมาแล้ว นางที่ยังตกใจอยู่มีเพียงเวลาให้ร้องออกมาอย่างตกใจเท่านั้น ผลที่ได้ชัดเจน…
นางร้องด้วยความเจ็บปวดจากนั้นจึงกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง!
เนื่องด้วยวัสดุที่ใช้สร้างกำแพงนั้นยอดเยี่ยมมันจึงไม่เป็นอะไรแม้จะโดนกระแทกอย่างแรง แต่นางนั้นบาดเจ็บสาหัส นางกระอักเลือดออกมาพร้อมกับภาพในตาที่มืดหมองลงง แต่นางก็ยังคงเห็นชายแก่เดินมาหานางก่อนที่จะหมดสติไป
ซือหยูสีหน้าไร้อารมณ์เขาโบกมือเรียกผ้าห่มมาปิดร่างเปลือยเปล่าของนางเอาไว้ แม้การต่อสู้จะเกิดขึ้นไม่นานก็ทำให้เกิดเสียงดังรบกวน คนเรือนรอบนั้นได้ยินกันหมด
ฟึ่บ!
คนสวมชุดม่วงบินออกมาจากเรือนบูรพานางมองซือหยูกับสาวใช้หมดสติด้วยความตกใจ
“ซือหยูเซี่ยนเจ้าทำร้ายนางทำไม?”
จื่อเสวียนถามด้วยความสับสน
ซือหยูตกใจกับคำถามของนางเขาเดินไปหาและถาม
“ทำไมเจ้าอยู่ในเรือนตะวันออกล่ะ?”
จื่อเสวียนกระพริบตาถามด้วยความงุนงง
“เจ้าของเรือนตะวันออกแลกเรือนกับพวกเราค่ายกลวิญญาณของเรือนกลางเสียหาย พลังวิญญาณเทียบไม่ได้กับเรือนรอบนอก เจ้าของเรือนตะวันออกรู้สึกว่าเราต้องการพลังวิญญาณเพราะเพิ่งจะมาใหม่ นางแลกเรือนกับพวกเราอย่างมีน้ำใจ นางเป็นคนใจดีจริงๆนะ”
หา?ซือหยูตัวแข็งทื่อ เจ้าของเรือนตะวันออกได้รับขนานนามว่าปีศาจบูรพา หนึ่งในสี่อสูร! อสูรพวกนี้โหดร้ายป่าเถื่อน การห่วงใยซือหยูกับจื่อเสวียนที่เพิ่งมาใหม่นั้นน่าตกใจโดยแท้
ซือหยูชี้สตรีที่หมดสติ
“นี่คือเจ้าของเรือนตะวันออกหรือ?”
จื่อเสวียนส่ายหน้า
“ไม่ใช่นางเป็นเจ้าของเรือนเหนือ เพราะพอเจ้าของเรือนตะวันออกย้ายมาที่เรือนกลาง นางก็กลัวว่าอีกคนจะไม่สบายใจกับเรือนใหม่ที่ไม่คุ้นเคย นางเลยมาอยู่เป็นเพื่อน”
ซือหยูชักสีหน้าในัทนทีเขายิ้มอย่างขมขื่น ความตกใจและรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้า
เขายิ้มอย่างขมขื่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อมองหญิงสาวที่หมดสติไปโลหิตนั้นไหลออกมาจากมุมปากของนาง ทำไมไม่มีใครบอกเขาก่อนเล่า? เพราะถ้าหากเขารู้ล่วงหน้า เขาก็คงไม่จู่โจมนางแบบนั้น!
ซือหยูถอนหายใจและเข้าช่วยนางพยุงอยู่ในท่านั่งเขาวางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังและอัดพลังชีวิตที่ช่วยฟื้นฟูสายพลังของนางเข้าไป
ขณะที่รักษานางนางก็ตื่นขึ้นมาในทันที นางมองซือหยูด้วยแววตาว่างเปล่าขณะสะลึมสะลือก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
จนถึงเช้าวันถัดไปนางถึงตื่นขึ้นมาเต็มที่นางพบชายแก่ในสายตา เมื่อเจอเขานางก็ตื่นตัวขึ้นทันที นางมองรอบๆด้วยแววตาเยือกเย็น
นางเพิ่งจะรู้ตัวว่านางเปลือยอยู่บนเตียงศิลาและมีชายแก่ยืนหันหลังให้นางอยู่หน้าเตียง!นางเพิ่งจะนึกได้ว่านางบาดเจ็บสาหัสในเมื่อคืน นางโดนชายคนนี้ทำให้หมดสติโดยไร้เหตุผล!
และตอนที่นางตื่นมากลางดึกนางยังจำได้ลางๆว่าชายแก่คนนี้กำลังคลำร่างกายของนาง! นางหน้าซีดเผือดและปากสั่น
“เจ้า…เจ้าทำอะไรกับข้า?”
ซือหยูหันไปหานางด้วยความรู้สึกผิดเมื่อมีแสงสว่างเขาก็เห็นว่านางงดงามเป็นที่สุด นางมีเส้นผมดำเรียบ คิ้วอันสง่างาม และดวงตาที่บริสุทธิ์ราวกับวันสดใส นางยังมีจมูกราวกับชาวกรีกและริมฝีปากสวยได้รูป
ซือหยูลืมหายใจขณะมองนางนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอสตรีที่งดงามขนาดนี้ตั้งแต่ที่มาถึงจิวโจว ความงามของนางนั้นเกือบเทียบได้กับเซี่ยจิงหยู!
แต่เขามีเรื่องราวรักใคร่มากมายอยู่แล้วในเฉินหลงเขาได้เห็นหญิงงามมามากมาย ดังนั้นเขาจึงมีภูมิต้านทานในเรื่องนี้!
ดังนั้นเขาจึงใจเย็นอยู่ได้แววตาของเขาสดใสเมื่อกล่าวขอโทษนาง
“แม่นางข้าขอโทษจริงๆนะ!”
“เจ้าทำอะไรข้า?”
นางกัดฟันถามซ้ำ
ซือหยูตกใจและตระหนักว่านางหมายถึงสิ่งใดเขาจึงรีบพูด
“แม่นางพักผ่อนตามสบายข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า! ข้าแค่รักษาเจ้าเท่านั้น!”
นางสบายใจเล็กน้อยหลังจากได้ฟังครึ่งประโยคแรกแต่คำต่อมานั้นทำให้แววตานางเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง…มันนับว่าเป็นการรักษาได้ยังไง? เพราะนางจำได้ชัดเจนว่าเขาใช้มือสัมผัสแผ่นหลังของนาง!
“นี่เจ้า…เจ้ามันหน้าด้าน!ข้าจะฆ่าเจ้า!”
จิตสังหารเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของนาง
นางใช้มือขวายันตัวแต่มันก็ทำให้สายพลังโลหิตของนางกระตุกอย่างแรงนางร้องครางด้วยความเจ็บปวดและล้มลง มันทำให้ผ้าคลุมที่คลุมตัวนางเลื่อนลงมาเล็ดน้อยเผยให้เห็นเรือนร่างส่วนหนึ่ง
นางรีบดึงผ้าห่มปิดและยิ่งโกรธแค้นนางมิได้เพียงอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่ชายคนนี้ยังเห็นร่างเปลือยของนางอีก!
ซือหยูค่อนข้างร้อนรนเพราะนางผู้นี้คือหนึ่งในอสูรทั้งสี่ น้ำแข็งอุดร! ถ้าหากเขาจำผิดไม่ นางคือคนที่ผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรได้ไกลสุด นางคือภาพเงาตัวสูงที่อยู่บนชั้นห้าสิบเจ็ด! พลังของนางอยู่จุดเหนือสุดในอสูรทั้งสี่!
DND.794 – เพลงกระบี่เก้าสุริยา
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะทำให้หนึ่งในอสูรทั้งสี่บาดเจ็บทันทีที่เข้ามาในเขาอสูรและหลังจากที่นางฟื้นตัว นางก็จะหาทางลงโทษเขา!
“แม่นางมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ห้องนี้?”
ซือหยูสิ้นหวัง
น้ำแข็งอุดรแทบคลั่งเมื่อได้ฟังนางด่าเขาทันที
“พูดเหลวไหล!มีสาวใช้ในกลางเขาที่จะรับเจ้าแล้วบอกว่าเรือนถูกแลกแล้ว ไอ้แก่ตัณหากลับ ข้าสาบานว่ามันจะไม่จบแค่นี้แน่!”
ซือหยูถอนหายใจ…ทำไมนางถึงไม่ฟังคำอธิบายของข้ากัน?
ซือหยูโกรธแต่ก็หันหลังจากไป
“ข้าจะไม่พูดอะไรอรกแล้วถ้าเจ้าต้องการ ข้าจะไปหาเจ้าได้ทุกเมื่อ”
เขารีบเดินจากไปเหลือเพียงจื่อเสวียนที่สับสน
“นี่เจ้า!”
น้ำแข็งอุดรหรือปิงหวูชิงนั้นโกรธจัด
ซือหยูเดินจากไปโดยไม่สนใจนางและเริ่มวางแผนในอนาคตตามที่เฉาหลี่พูด เขาจะต้องเดินทางไปยังเขาวิญญาณจรัสเพราะได้ที่หนึ่งในการสอบ นางยังบอกว่าเฉาเอวี่ยหมิงได้วางกับดักสังหารเขาเอาไว้
แม้เขาจะไม่กลัวเขาก็รู้ว่าจะต้องหาข้อมูลของเขาวิญญาณจรัสที่ชัดเจน แต่เมื่อเขากำลังจะออกจากเขาก็มีชายคนหนึ่งมองเขาด้วยความตกใจ
เขามองซือหยูหัวจรดเท้าราวกับจะมองให้ทะลุปรุโปร่งซือหยูเริ่มกลัวสายตานี้ เพราะหลังจากวันก่อนที่ได้เจอกะเทย เขาก็เริ่มรู้สึกไวต่อสายตาของบุรุษมากขึ้น
“พี่ชางก่วนมาทำอะไรตั้งแต่เช้าตรู่อย่างนี้? เปลี่ยนอาชีพมาเป็นโจรแล้วรึ?”
ซือหยูถามด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนักขณะเดินลงเขา
ชายที่มองเขาคือชางก่วนหยุนซื่อเขามาเพื่อที่จะเก็บร่างไร้วิญญาณของซือหยู เขาแปลกใจที่เห็นว่าซือหยูยังมีชีวิตอยู่ เขาตกใจมาก!
ชางก่วนหยุนซื่อมองเขาอสูรด้วยความกลัวในหัวใจเขาชี้หน้าตัวเอง
“ข้าอาจจะกล้าเป็นโจรแต่ข้าไม่กล้าปล้นพวกอสูรหรอก!”
ชางก่วนหยุนซื่อโพล่งขึ้นมา
“แปลกนัก!เจ้ากลับผ่านคืนก่อนมาได้อย่างปลอดภัย สี่อสูรสงสารเจ้าเลยไว้ชีวิตงั้นรึ?”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเพราะพวกอสูรไม่ได้สงสารเขาแต่เป็นซือหยูที่ลงมือจู่โจมก่อน เขาทำร้ายปิงหวูชิงจนบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นขยับตัวไม่ได้!
“พี่ชางก่วนบอกว่าได้หรือไม่ว่าเขาวิญญาณจรัสอยู่ที่ไหน?”
ซือหยูถาม
ชางก่วนหยุนซื่อพูดขณะที่เดิน
“เขาวิญญาณจรัสเป็นหนึ่งในแปลงสมุนไพรวิญญาณของตำหนักโลหิตที่นั่นมีพลังวิญญาณหนาแน่น มีสภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับการเพาะสมุนไพรต่างๆ วัตถุดิบปรุงโอสถระดับสูงส่วนใหญ่มาจากที่นั่น”
ชางก่วนหยุนซื่อพูดต่อ
“ว่ากันว่าเผ่ามนุษย์กับภูติผีเคยต่อสู้กันเมื่อร้อยปีก่อนและราชาเฉินอี้เจิงก็ตายที่นั่น”
“อาจจะเป็นเพราะพลังที่ยังเหลืออยู่จากตัวตนทรงพลังมาหมายที่เคยต่อสู้ที่นี่ถึงวิเศษและเหมาะสำหรับการปลูกสมุนไพรวิญญาณ ตำหนักให้ความสำคัญกับมันมากจนวางกำลังทหารคุ้มกันตลอดเวลา มันสำคัญพอๆกับตำหนักนอก!”
ซือหยูครุ่นคิดอย่างหนัก…สนามรบของมนุษย์กับภูติผีรึ?แล้ว…เฉินอี้เจิง…เขาคืออดีตราชาเขตกลางคนเก่าผู้ที่เกือบจะได้เป็นจักรพรรดิจิวโจว!
ชาวจิวโจวคิดว่าเขาตายที่นั่นขณะที่ความจริงคือเขาบาดเจ็บเพราะราชาเขตกลางคนปัจจุบันจนถูกบังคับให้ไปซ่อนตัวที่โลกเฉินหลง ความจริงถูกฝังอยู่ในประวัติศาสตร์!
ซือหยูเก็บอารมณ์ต่างๆเอาไว้และถาม
“ข้าเคยได้ยินว่าคราวนี้คนที่ผ่านการสอบเข้าตำหนักนอกอาจจะได้ไปที่นั่นข้าเลือกที่จะไม่ไปได้หรือไม่?”
ชางก่วนหยุนซื่อรู้แล้วว่าซือหยูถามเพื่ออะไรสีหน้าเขาดูอิจฉาซือหยู
“จริงด้วย!ข้าเกือบลืมเลย การสอบครั้งนี้มีการเดินทางไปเขาวิญญาณจรัสเป็นรางวัล ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ! แต่…เดี๋ยวสิ…เจ้าไม่อยากไปรึ? เจ้าถูกชิงหัวใจไปเมื่อคืนบนเขาอสูรรึ?”
เขาถามกลับ
“เจ้ารู้ไหมว่าเขาวิญญาณจรัสวิเศษยังไง?อสูรทั้งสี่ขอตำหนักหลายครั้งหลายหนเพื่อหวังจะได้ภารกิจขุดค้นที่นั่น แต่ก็โดนปฏิเสธทุกครั้ง แล้วก็…เจ้ารู้ไหมว่าทำภารกิจที่นั่นจะได้คะแนนเท่าไหร่?”
หา?ซือหยูตกใจกับคำถามฃ
“ข้าไม่รู้เลย”
สีหน้าชางก่วนหยุนซื่อตอนนี้นั้นราวกับอยากจะบีบคอซือหยูให้ตาย
“ถ้าหากศิษย์นอกถูกขอให้ไปทำภารกิจที่นั่นมันก็มีเหตุผลเดียว นั่นคือการเปิดดินแดนใหม่”
เขาพูดตค่อ
“มันคือการบุกเบิกดินแดนรกร้างและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแปลงที่เหมาะกับการเพาะปลูกรางวัลจากภารกิจนี้อย่างเดียวก็ได้ห้าร้อยคะแนนแล้ว ถ้าขุดเจอของที่หลงเหลือจากการต่อสู้ในอดีตอย่างอาวุธเทพ ตำรา หรือบางอย่างที่คล้ายกันก็จะแลกเป็นคะแนนได้มากกว่าเดิมอีก!”
“ศิษย์ในมักจะทำภารกิจนี้บ่อยครั้งต่อให้โชคร้ายเจอแค่เศษเหล็กก็ยังแลกได้สองพันคะแนน ถ้าโชคดีเจอของจากเผ่าภูติผีก็จะแลกได้หลายหมื่นคะแนน”
ว้าว!ซือหยูเบิกตากว้าง เขารู้แล้วว่าคะแนนหายากเพียงใด พันคะแนนต่อปีก็เยอะแล้วสำหรับภูติชั้นต้น แต่หากได้ไปเขาวิญญาณจรัส เขาก็จะได้อย่างน้อยห้าร้อยคะแนน!
คนอย่างซือหยูที่เป็นหนี้ต้องไปที่นั่นแน่เพราะมันคือสถานที่ที่สี่อสูรใฝ่ฝันที่จะไป
อย่างไรก็ตามหากเขาตัดสินใจเดินทางไปที่นั่น เขาก็ต้องเตรียมรับมือกับดักเอาชีวิตที่เฉาเอวี่ยหมิงวางเอาไว้ มีเพียงการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่เขาจะเผชิญอุบายเจ้าเล่ห์ได้อย่างไม่เกรงกลัว ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่เขาจะไปยังห้องตำราและเลือกวิชาบ่มเพาะใหม่
“พี่ชางก่วนรู้วิธีที่ข้าจะได้ตำราบ่มเพาะจากห้องตำราหรือไม่?”
ซือหยูถาม
ชางก่วนหยุนซื่อไม่แปลกใจกับคำถามของซือหยูเพราะสิ่งแรกที่ศิษย์ใหม่ของตำหนักโลหิตเล็งเป้าก็คือตำราบ่มเพาะเหล่านี้ เขาตอบซือหยู
“ขึ้นอยู่กับระดับของวิชายืมวิชาวิญญาณระดับต่ำก็ต้องใช้พันคะแนนแล้ว”
เขากล่าวต่อ
“ระดับกลางใช้ห้าพันคะแนนระดับสูงก็สองหมื่น ห้าหมื่นคะแนนได้ระดับสุดยอด ส่วนวิชาระดับตำนานชั้นต่ำๆจะใช้หนึ่งแสนคะแนน ใช้ห้าแสนคะแนนแลกกับระดับกลาง ล้านคะแนนสำหรับวิชาระดับสูง สามล้านคะแนนสำหรับวิชาสุดยอด”
“น้องซือถ้าเจ้ามีแค่พันคะแนน เจ้าก็แลกได้แค่วิชาระดับต่ำๆ”
ซือหยูไม่สนใจวิชาวิญญาณอยู่แล้วเพราะวิชาระดับนั้นไม่ดึงดูดต่อเขาอีกต่อไป แต่ซือหยูก็เกือบจะเป็นลมเมื่อได้ยินว่าวิชาระดับตำนานต้องใช้คะแนนหนึ่งแสนคะแนนเป็นต้นไป!
ศิษย์ธรรมดาต้องทำงานเป็นร้อยปีกว่าจะได้วิชาระดับตำนานเช่นนั้นส่วนวิชาระดับตำนานในขั้นที่สูงขึ้นก็มิอาจหาได้เลยแม้จะทำงานไปตลอดชีวิต!
ชางก่วนหยุนซื่อส่ายหน้าเมื่อได้เห็นสีหน้าของซือหยู
“เอาเถอะ…ราคาเป็นแสนคะแนนนั่นก็ไม่สูงเกินไปหรอกเจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาระดับตำนานล้ำค่าเพียงใด? หากราคาต่ำเพราะหาเจอได้ทุกที่ก็คงไม่เรียกว่าวิชาระดับตำนาน แล้ววิชาระดับตำนานทั้งหมดในห้องตำราก็มักจะเป็นตำราเต็มเล่ม ราคาเหล่านี้คือการยืนยันคุณค่า”
เขาพูดต่อ
“หากเขาไปขายข้างนอกก็ได้แก้วอย่างน้อยๆสี่แสนดวงแต่ถึงจะแพงอย่างนั้น คนที่มีเงินมากพอก็หาซื้อมันไม่ได้ ทุกคนที่มีวิชาระดับตำนานจะซ่อนเอาไว้ไม่เผยออกมา ดังนั้นแล้วต่อให้รวยอย่างไร คนผู้นั้นก็มิอาจหาซื้อวิชาระดับตำนานได้”
เขาส่ายหน้า
“ส่วนพวกวิชาระดับสูงก็มีแต่จ้าวเทวะที่จะครอบครองจะไม่นับว่ามันล้ำค่าได้อย่างไร?”
ชางก่วนหยุนซื่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับมุมมองของซือหยูซือหยูยิ้มอย่างขมขื่น โชคดีที่เขาได้รู้เรื่องนี้ก่อน มิเช่นนั้นคงได้ขายหน้าในห้องตำราเป็นแน่
ซือหยูคิดถึงเฉาหลิงเจี้ยนเขาเสียใจที่ไม่สืบเรื่องวิชาปรับกระดูกร้อยอสูรก่อนจะสังหาร แม้จะเป็นวิชาที่ไม่สมบูรณ์ มันก็ล้ำค่าอย่างมาก
จู่ๆซือหยูก็คิดขึ้นมาได้
“พี่ชางก่วนเป็นไปได้ไหมที่ข้าจะแลกวิชาบ่มเพาะกับห้องตำรา?”
“แลกงั้นรึ?”
ชางก่วนหยุนซื่อพอจะเข้าใจได้เขาพยักหน้า
“เป็นไปได้ถ้าเจ้ามีวิชาบ่มเพาะ เจ้าไปเสนอให้ห้องตำราเก็บฉบับคัดลอกเอาไว้ พอมันผ่านการประเมิน เจ้าก็จะแลกเป็นวิชาระดับเดียวกันได้”
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเริ่มคิดว่าควรจะแลกอรหันต์แปดอักษรหรือไม่ หลังจากตัดสินใจแล้วก็ตามชางก่วนไปยังห้องตำราทันที
“น้องซือเจ้าคิดจะแลกวิชาบ่มเพาะจริงๆรึ?”
ชางก่วนหยุนซื่อถาม
เขาแนะนำอย่างระวัง
“ถ้าเจ้าอยากจะแลกจริงๆทำไมไม่เข้าไปดูที่ห้องตำราก่อนล่ะว่ามีวิชาที่เจ้าต้องการหรือไม่?”
ซือหยูพยักหน้าเดินตามเขาไปยังห้องตำราแต่เขาก็งุนงงเมื่อพบว่าแม้เขาจะไม่ต้องการวิชาใด เขาก็ต้องใช้สองร้อยคะแนนในการเข้าห้อง! และเขาก็อยู่ในห้องได้เพียงสองชั่วยาม!
ซือหยูรู้สึกเจ็บใจเมื่อเสียคะแนนแต่กลับไม่ได้อะไรเลยเขารีบมองหาวิชา ห้องตำรานั้นแบ่งเป็นชั้นวิญญาณและตำนานเพื่อแยกระดับวิชาเอาไว้
ซือหยูไม่สนใจชั้นวิญญาณชางก่วนหยุนซื่อเองก็ไม่สนใจมันเช่นกัน จำนวนตำราในชั้นตำนานนั้นน้อยกว่ามาก มีชั้นตำราเพียงไม่กี่สิบชั้นเท่านั้น
ชั้นตำราเต็มไปด้วยวิชาช่วยเหลือวิชาอสูร วิชาของทั้งห้าธาตุ วิชาร่างกาย วิชากระบี่ เป็นอันต่อเนื่องไป
เดี๋ยวสิ!วิชากระบี่งั้นรึ? ทันทีที่เขาเห็นตำรากระบี่ เขาก็เดินตรงไปยังชั้นนั้นทันที
ชางก่วนหยุนซื่อถามด้วยความสงสัย
“น้องซือใช้กระบี่ได้งั้นรึ?”
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าเคยใช้บ่อยครั้งในอดีตข้าอยากจะดูว่ามีวิชากระบี่ที่เหมาะกับข้าหรือไม่”
เขาเหลือบมองผ่านตำราต่างๆและเห็นว่าส่วนมากนั้นมีแต่วิชากระบี่อสูรซือหยูมิได้เชี่ยวชาญการใช้กระบี่เล่มเดียวเลย เขาจึงไม่สนใจวิชาเหล่านั้น
หลังจากที่เขาตำราทั้งหมดบนชั้นก็ส่ายหน้าและกำลังจะเดินออกไปแต่ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นตำราที่ไม่สมบูรณ์บนชั้น มันปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา
ซือหยูหยุดเดินอยู่กับที่เขากระทืบพื้นเรียกสายลมพัดฝุ่นที่จับตำรา ฝุ่นปลิวหายไปเผยให้เห็นข้อความตัวใหญ่ต่อหน้าต่อตา
เมื่ออ่านข้อความเหล่านั้นก็ทำให้โลหิตไหลเวียนเร็วจนแทบคลั่งดวงตาเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“เพลงกระบี่เก้าสุริยา!”
ซือหยูท่องชื่อตำราช้าๆเขาสูดหายใจเข้าลึก