บทที่ 289 การพูดคุยกับคนรู้จักในอดีต
ในพริบตาครึ่งเดือนผ่านไปและหมู่ตึกหยูอี่ยังคงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านเหมือนเดิม และหลิงตู้ฉิงยังคงปฏิเสธที่จะพบผู้มาเยือน
นอกเหนือจาก 3 วันแรกที่มีผู้มาลองดีและถูกสังหารลงเป็นจำนวนมาก ใน 10 วันถัดมา หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวเก็บศพได้เพียง 2 ศพ
ศพทั้งสองนี้ดูไม่ธรรมดา ร่างกายของพวกเขาแปลกราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่จะเป็นเผ่าพันธุ์อะไรนั้น พวกนางเองก็ไม่ทราบเช่นกันเนื่องจากพวกนางยังเด็กและไม่มีความรู้มากนัก
แต่ศพทั้งสองนี้ค่อนข้างดีหน่อย พวกนางได้แหวนมิติมา 4 วง แน่นอนว่าพวกนางไม่รู้ว่ามันมีสมบัติอะไรอยู่ด้านในบ้าง
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นของพวกนาง ทั้งสองจึงไม่กล้าสอดรู้สอดเห็น และพวกนางได้รับหน้าที่มาให้ทำแค่ลากศพไปทิ้งและเก็บของมีค่าที่อยู่บนตัวศพเพื่อรอการส่งมอบแค่เพียงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางรู้ชัดเจนว่าได้พบเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่เข้าแล้ว และหลิงตู้ฉิงก็ไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์เอาเสียเลย นอกจากสถานะของเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์แล้ว เขายังสามารถสร้างค่ายกลกระบี่ที่ทรงพลังได้อีกด้วย
ในขณะที่พวกนางยังคงคิดอยู่ จู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาพวกนางและพูดว่า “ข้าชื่อเสี่ยวหยูฉิง ข้ามาขอเข้าพบกับเจ้าของหมู่ตึกหยูอี่!”
“ขออภัย ตอนนี้นายท่านมีเรื่องสำคัญต้องทำ นายท่านของข้ายังไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ” เปียนเฉียวเฉียวตอบทันที
เสี่ยวหยูฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าเป็นคนมาจากอาณาเขตอื่น ข้ามาหาเจ้าของหมู่ตึกหยูอี่เพื่อมีเรื่องสำคัญจะมาปรึกษากับเขา พวกเจ้าโปรดแจ้งให้เขาทราบก่อนจะได้ไหม บางทีเจ้านายของพวกเจ้าอาจยินดีที่จะพบข้า”
เปียนเฉียวเฉียวคร่ำครวญ นางคิดกับตัวเอง ใครสนใจว่าเจ้ามาจากไหน? เพียงเพราะเจ้าคิดว่าตัวเองมีเรื่องสำคัญแล้วจะได้พบกับนายท่านอย่างงั้นเหรอ? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองมาจากอาณาเขตอื่นและอยู่ในตระกูลใหญ่โต เจ้านายของข้าเลยต้องเกรงใจอยากพบเจ้ากัน? คนที่ถูกฆ่าไปในไม่กี่วันที่ผ่านมายังมีพลังมากกว่าเจ้าอีก!
เปียนเฉียวเฉียวที่กำลังจะพูด แต่หยุนจื่อรุ่ยกลับพูดแทรกนางขึ้นมาก่อนว่า “ท่านเสี่ยว พวกเราต้องขออภัยด้วย แต่ตอนนี้นายท่านของเราไม่ว่างรับแขกจริง ๆ” หยุนจื่อรุ่ยยิ้มขณะที่นางพูดต่อ “นอกจากนี้ ท่านเสี่ยว อย่าได้คิดจะล่วงล้ำเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่ของเราโดยพลการอย่างเด็ดขาด ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาทุกคนที่บุกเข้าหมู่ตึกหยูอี่ของเรา ต่างเสียชีวิตโดยสภาพศพของแต่ละคนล้วนมีสภาพไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะบางศพที่พวกเราพี่น้องเก็บไปนั้นหลายศพก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ ดังนั้นข้าขอแนะนำว่าให้ท่านรอให้นายท่านของข้าว่างเสียก่อน จากนั้นท่านค่อยเข้ามาพบจะดีกว่า!”
เสี่ยวหยูฉิงเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของหยุนจื่อรุ่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ขอบคุณเจ้ามากที่บอกข้าเรื่องนี้ เอาเป็นว่าข้าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบเสี่ยวหยูฉิงก็จากไป
“กลับมาพรุ่งนี้งั้นเหรอ? พรุ่งนี้นายท่านก็ไม่มีเวลาเหมือนกัน!” เปียนเฉียวเฉียวกล่าวขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“เฉียวเฉียว!” หยุนจื่อรุ่ยเตือนขึ้น “เราได้รับคำสั่งจากนายท่านให้รับแขกที่ทางเข้าอาคาร การตัดสินใจในวันนี้ของเจ้าไม่ดีเลย หากแขกที่มาเมื่อครู่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อารมณ์ร้อนและเขาหาเรื่องเรา ซึ่งแน่นอนว่านายหญิงย่อมจะออกหน้าแทนพวกเราแน่นอน แต่เราจะทำให้พวกเขาเสียหน้าไม่ได้ หรือไม่บางทีพวกเราอาจจะถูกนายท่านไล่ออกเชียวนะ!”
เปียนเฉียวเฉียวย่อตัวลงและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว…”
แม้ว่าทั้งคู่จะอายุไล่เลี่ยกัน แต่หยุนจื่อรุ่ยก็ยังมีความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเปียนเฉียวเฉียว
ในขณะที่พวกนางสองคนกำลังพูดกัน ทันใดนั้นกระแสการไหลเวียนของพลังวิญญาณภายในหมู่ตึกหยูอี่ก็หยุดลง
“นายท่านทำสำเร็จแล้ว!” เปียนเฉียวเฉียวตะโกนอย่างมีความสุข หยุนจื่อรุ่ยก็พยักหน้าอย่างมีความสุขเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกนางมองไปที่ด้านในอาคารและยังไม่มีใครออกมาเรียกพวกนางให้เข้าไปด้านใน พวกนางเองจึงไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไปข้างในและยังคงยืนรออยู่ด้านนอกเช่นเดิม
ในตอนนี้แม้ว่าหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กำลังควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆา จะทราบว่าหลิงตู้ฉิงได้ทำการปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์เสร็จแล้ว แต่ในเมื่อนางยังคงไม่ได้รับคำสั่งให้ปิดการใช้งานค่ายกลกระบี่ นางจึงยังคงการป้องกันของมันไว้เช่นเดิม
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดภารกิจการปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์ของหลิงตู้ฉิงก็เสร็จสิ้น
ในขณะนี้ บนยันต์สั่งสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าหลิงตู้ฉิงมีภาพร่างร่างหนึ่งลอยโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งรายละเอียดของภาพวาดนี้จะเห็นได้ว่าเป็นภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดกระโปรงยาว รายละเอียดภาพของนางล้วนชัดเจนสมบูรณ์ทั้งใบหน้าและผิวพรรณของนางล้วนขาวเนียนดั่งหยกหิมะ เส้นผมที่เงาวาวยาวประบ่า คางที่เรียวบาง คอที่เรียบเนียนตลอดจนกระดูกไหปลาร้าที่บอบบางและเอวที่เรียวเล็กของนางล้วนแสดงให้เห็นว่านางเป็นผู้หญิงที่งดงามดุจดั่งเทพธิดาในเทพนิยาย
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ภาพร่างของหญิงสาวผู้นี้บนยันต์สั่งสวรรค์โดยที่ไม่พูดอะไร จากนั้นเขามองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งในตอนนี้สภาพร่างของเสี่ยวเยว่เฟิงนั้นผอมมากจนเห็นโครงกระดูก
นี่เป็นเพราะนางสูญเสียพลังวิญญาณจากร่างกายไปเป็นจำนวนมาก จนตอนนี้ด้วยความอ่อนเพลียนางจึงได้ตกไปอยู่ในห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงจึงค่อย ๆ จัดท่าทางของเสี่ยวเยว่เฟิงใหม่เพื่อทำให้นางนอนหลับได้สบายภายในอ้อมแขนของเขามากยิ่งขึ้น เขารู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเยว่เฟิงนั้นร้ายแรงเพียงใด
หลังจากจัดท่าทางของเสี่ยวเยว่เฟิงใหม่เสร็จ หลิงตู้ฉิงก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ภาพวาดในยันต์สั่งสวรรค์
หญิงสาวที่อยู่ในภาพวาดตอนนี้ก็ล่องลอยไปมาอยู่ด้านในราวกับว่านางกำลังเต้นรำอยู่ในอากาศ
หลิงตู้ฉิงจ้องมองอยู่เป็นเวลานานก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงถอนหายใจอันแผ่วเบา และหญิงสาวผู้ที่อยู่ในภาพวาดก็ค่อย ๆ หันศีรษมองมาที่หลิงตู้ฉิงที่กำลังมองนางอยู่
หลังจากนั้นร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านในยันต์สั่งสวรรค์ที่ดูเหมือนจะเป็นภาพมายาก็กลับกลายคล้ายกับว่าตัวตนของนางนั้นมีตัวตนและมีชีวิตอยู่จริง
ทั้งสองต่างจ้องตากันเป็นเวลานานก่อนจะเริ่มสื่อสารกันผ่านสายตา
“เจ้าเป็นคนฆ่าข้า แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงเรียกข้าออกมากัน?” หญิงสาวนางนั้นถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงตอบกลับอย่างช้า ๆ “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
หญิงสาวหัวเราะเยาะ “เจ้าฆ่าข้า แต่ตอนนี้กลับมาต้องการให้ข้าช่วยเจ้างั้นเหรอ? แล้วคนอย่างเจ้ายังต้องการใครสักคนเพื่อช่วยเจ้าด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเจ้ามันไม่ต้องการให้ใครมาข้องแวะด้วย แล้วทำไมเจ้าถึงมาขอความช่วยเหลือจากข้าตอนนี้?”
หลิงตู้ฉิงเงียบเมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวผู้นี้
นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างเย้ยหยัน นางมองดูเขาและถามคำถามมากมาย
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อนางเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้โต้ตอบอะไรและเอาแต่เงียบ และนางก็รู้สึกว่าล้อเลียนเขาจนมากพอแล้ว จากนั้นนางจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังและเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าช่วย เจ้าจงแก้ตัวกับข้า!”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้ามีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 4 คนและภรรยา 5 คน”
หญิงสาวในภาพวาดไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ดวงตาของนางกลับดุร้ายในทันที
เมื่อสายตาของนางกลายเป็นแข็งกร้าว บรรยากาศรอบ ๆ สวนด้านหลังก็เริ่มเปลี่ยนไปในพริบตา บรรยากาศทุกอย่างเริ่มมืดครึ้มขึ้นและเริ่มมีเสียงฟ้าร้องขึ้นบนฟ้า พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อสัมผัสได้กับบรรยากาศรอบ ๆ ที่เปลี่ยนแปลง หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ภรรยาคนหนึ่งของข้าเรียนวิชาของเจ้า!”
หญิงสาวในภาพวาดที่กำลังจ้องไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวเมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของนางก็ค่อย ๆ อ่อนโยนลง จากนั้นนางจึงพูดขึ้น “ ข้าเข้าใจว่ายังมีเศษวิญญาณของข้าบางส่วนที่ยังคงล่องลอยวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่วิญญาณที่เหลือนั่นจะได้วนเวียนกลับชาติมาเกิด?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “มันน่าจะไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากถ้าเทียบกับเจ้าในเรื่องสติปัญญา นางค่อนข้างหัวทึบกว่าเจ้ามากเชียวล่ะ และมาจนป่านนี้นางยังไม่สามารถเรียนรู้ทักษะของเจ้าได้ครบทั้งหมดด้วยซ้ำ ข้าไม่เคยเห็นคนที่กลับชาติมาเกิดและโง่มากจนไม่สามารถเรียนรู้ทักษะของตนเองได้”
หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “อืม ยังไงข้าก็ต้องขอดูให้เห็นด้วยตาของข้าเองก่อน”
“เจ้าควรจะเชื่อข้า” หลิงตู้ฉิงพูด “แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากเห็น ข้าจะพาเจ้าไปพบกับนาง แต่ก่อนที่เราจะไป เจ้าเห็นไหมว่าคนของข้าที่เป็นผู้ช่วยในการเรียกเจ้ามาตอนนี้นางลงแรงไปมากพอสมควร ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยนางสักหน่อยก่อนล่ะ?”
หลิงตู้ฉิงพูดขณะที่เขามองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ผู้หญิงในภาพวาดทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “นางเป็นผู้หญิงของเจ้า เจ้าต้องดูแลผู้หญิงของเจ้าด้วยตัวเอง!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เอาล่ะ งั้นข้าจะพานางไปที่ห้องของนางก่อน จากนั้นแล้วข้าจะพาเจ้าไปพบภรรยาของข้า”
เขาเก็บยันต์สั่งสวรรค์ และพาเสี่ยวเยว่เฟิงกลับไปที่ห้องของนาง
เมื่อเห็นเสี่ยวเยว่เฟิง เสี่ยวหลิงเฟิงก็ปิดปากของนางด้วยความตกใจ
“พี่ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูแลนางแทนข้าชั่วคราวไปก่อน เมื่อเสร็จธุระข้าจะกลับมาช่วยนางอีกที” เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็เดินออกไปทันที