ตอนที่ 1227 ใส่ร้ายผู้อื่นอย่างชั่วร้าย / ตอนที่ 1228 กักบริเวณ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1227 ใส่ร้ายผู้อื่นอย่างชั่วร้าย

 

 

เช่นนี้จักทำให้สามารถเตรียมการขั้นต่อไปได้ง่ายขึ้น

 

 

และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาต้องการทราบว่ามีมือสังหารคนใดอยู่ในกำมือของฉินเย่หานหรือไม่!

 

 

เมื่อซูหลีคิดถึงตรงนี้ นางกลับอดหายใจด้วยความหวาดหวั่นมิได้

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริง ฉินมู่ปิงผู้นี้เป็นคนน่ากลัวเกินไปแล้ว

 

 

ทว่าไม่ว่าจะเป็นความคิด แผนการก็ยังโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาต้องการสังหารฮ่องเต้…

 

 

แววตาของซูหลีเต็มไปด้วยความมืดมนเรียกเสด็จอาได้อย่างเต็มปาก ดูแล้วคล้ายกับมีสัมพันธ์ที่ค่อนข้างกับดีกับฮ่องเต้ ทว่าสามารถทำเรื่องที่เสียสติขนาดนี้ได้ คนเช่นนี้ไยจะสามารถพูดว่าเขาไม่น่ากลัวได้กัน

 

 

“เสด็จอา พระองค์ทรงกำลังล้อเล่นกับหลานกระมัง” ทางด้านซูหลีถูกสิ่งที่ตนนึกคิดทำให้ตกใจช็อกไป กลับได้ยินฉินมู่ปิงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

 

 

นางช้อนตามองเขา กลับพบว่าฉินมู่ปิงยังสามารถยิ้มได้ในเวลาเช่นนี้

 

 

รอยยิ้มของเขาช่างดูไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ดูคล้ายกับคนหนุ่มที่ไว้เนื้อเชื่อใจผู้อื่นอย่างหมดใจ

 

 

ใบหน้าของซูหลีผงะเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยต่อว่า

 

 

“ชิงหรงผู้นี้หลานมิรู้จักจริงๆ และไม่เคยพบนางมาก่อน ท่านน้าอยู่ในตำหนักชิงหนิงมาโดยตลอด หลายวันก่อนหลานพบนางเพียงคราหนึ่งเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ทุกคนล้วนทราบดี หากเสด็จอาทรงมิเชื่อ ทรงสามารถเรียกท่านน้ามาถามได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เรื่องดำเนินมาจนถึงบัดนี้แล้ว เขายังสามารถพูดคำพูดที่ ‘ไร้เดียงสา’ เช่นนี้ออกมาได้ ไม่รู้ว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไร้เดียงสากันแน่

 

 

“ชิงหรงก็พูดแล้วว่า ซื่อจื่อแอบลักลอบทุกคนเข้าไปหาแม่นางอู๋ คนที่ทราบเรื่องนี้คงมีไม่มากนัก” จี้เหิงหรานดูเหมือนกับตัดสินใจกัดฉินมู่ปิงไม่ปล่อยมิปาน เมื่อเห็นดังนั้นจี้เหิงหรานก็ฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยคำพูดคำรบนี้ออกมา

 

 

“คำพูดของใต้เท้าจี้นี้ ข้าไม่เข้าใจนัก” ทันทีที่ฉินมู่ปิงวางมาด เขาก็หยิบยกท่าทียามที่ไม่ฟังเหตุผลของผู้ใดในเมืองหลวงแสดงออกมา

 

 

“นี่มันไร้ซึ่งเหตุผล ข้าจะไปหาท่านน้าเพื่ออะไรกัน อีกยังมีคำพูดอะไรที่จะจำเป็นไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ แล้วพูดลับหลังผู้อื่นกัน”

 

 

“เรื่องนี้จักต้องถามมือสังหารเหล่านั้น” ทันทีที่จี้เหิงหรานได้ยินจึงหัวเราะขึ้นทันใด อีกทั้งรอยยิ้มยังเจิดจรัส เมื่อมองดูแล้วไม่เพียงไม่ทำให้ผู้คนมีความสุข แต่กลับให้ความรู้สึกสยดสยอง

 

 

“ซื่อจื่อคงยังไม่ทราบกระมัง มือสังหารที่ลอบสังหารฝ่าบาทในวันนี้หลังจากพลาดท่าล้มเหลวแล้วก็กินยาพิษฆ่าตัวตายทันที ทว่ากลับมีคนหนึ่งที่ทำไม่สำเร็จและถูกคนจับตัวเอาไว้เสียก่อน”

 

 

จี้เหิงหรานพูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงัก เขามองไปทางฉินมู่ปิงด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า

 

 

“คนที่อยู่หลังม่านเป็นใครอีกมินานก็คงรู้แล้ว เพียงแต่ไยซื่อจื่อถึงเลือกเวลานี้เข้าไปหาแม่นางอู๋กัน อีกทั้งยังต้องการให้แม่นางอู๋มารับฟังสิ่งใด นี่ก็เป็นเรื่องที่ใกล้จะถูกไขกระจ่างแล้ว!”

 

 

“เพียงแต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นซื่อจื่อยังคงรักษาความนิ่งเฉยได้เหมือนดั่งเวลานี้!”

 

 

จี้เหิงหรานพูดจบ สีหน้าของฉินมู่ปิงก็เริ่มย่ำแย่จนถึงขีดสุด

 

 

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ขาดเพียงมิได้เอ่ยว่าฉินมู่ปิงเป็นผู้บงการให้มือสังหารเข้ามาลอบฆ่าก็เท่านั้น!

 

 

หากในเวลานี้ฉินมู่ปิงยังสามารถรักษาความนิ่งเฉยไว้ได้ เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ผิดปกติจริงๆ!

 

 

“เสด็จอา! นี่จี้เหิงหรานใส่ร้ายผู้อื่นได้อย่างชั่วร้ายพ่ะย่ะค่ะ!” ใบหน้าของฉินมู่ปิงมีความเดือดพล่าน เขาชี้ไปที่จี้เหิงหรานและเอ่ยด้วยเสียงดังว่า

 

 

“วันนี้หลานมิได้ไปพบท่านน้าเลยสักครั้ง และในทางกลับกันหลานพำนักอยู่ในตำหนักของตนมาโดยตลอด หลานต้องการจะพักผ่อน กลางคืนยังคิดจะไปที่ตำหนักของใต้เท้าซูเพื่อฟังเพลงบรรเลงอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซูหลีงุนงงที่จู่ๆก็ถูกขานถึง ถึงกับผงะไปทันใด

 

 

“ทว่าบัดนี้ใต้เท้าจี้กลับพูดกล่าวหาว่าหลานเจตนาใช้ประโยชน์จากน้าของตน! เสด็จอาโปรดไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง ถึงอย่างไรหลานก็มิใช่คนเช่นนี้!”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1228 กักบริเวณ

 

 

“แม้หลานจะกำเริบเสิบสานถึงเพียงใด ก็ไม่มีทางลงมือกับเสด็จอาได้หากหลานกระทำเรื่องเช่นนี้จริง เช่นนั้นก็มิสมควรเป็นคน ควรจะเป็นได้เพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น!”

 

 

อากัปกิริยาของฉินมู่ปิงในเวลานี้ เต็มไปด้วยความเดือดดาล ซึ่งดูแตกต่างจากท่าทีนิ่งเฉยก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

 

 

ยามที่เขาพูดจาออกมา ยังทำให้ซูหลีรู้สึกคุ้นเคยกับท่าทีของซื่อจื่อที่เป็นผู้ดีมีเงินของเขา

 

 

ทั้งยังเปรียบผู้ที่ลอบสังหารเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก

 

 

มองดูแล้วดูจริงใจเป็นอย่างมาก เป็นคนที่ไม่สมควรจะถูกผู้อื่นสงสัยเลยแม้แต่น้อย

 

 

นัยน์ตามีประกายวูบไหวอย่างแรงกล้า แม้นางเห็นอากัปกิริยาของเขาแล้ว สุดท้ายก็ยังมิเอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

พูดตามความจริง นางนั้นมิเชื่อใจฉินมู่ปิงเลยสักนิด

 

 

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เขาต้องการให้นางส่งข่าวคราวทุกอย่างของฉินเย่หานให้กับเขา อีกทั้งยังใช้นางจัดการกับสกุลเซียว และยังต้องการใช้นางจัดการกับสกุลจี้อีกครา

 

 

คนผู้นี้เป็นคนที่ไม่สมควรไว้เนื้อเชื่อใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

ไม่ว่าเขาจะแสดงท่าทีเหมือนคนไม่มีสมองอย่างไร และดูเป็นคนเอ้อระเหยลอยชายไม่สนใจเรื่องสนใจราวถึงขนาดไหน

 

 

แต่ภายในมิรู้ว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่!

 

 

“เสด็จย่าก็ทรงประทับอยู่ที่นี่! หลานเป็นคนอย่างไรเสด็จย่าก็คงทราบดี หากเสด็จอามิเชื่อใจหลานละก็ ก็สามารถเรียกเสด็จย่ามาถามไถ่ได้พ่ะย่ะค่ะ! หรือเป็นเพราะเรื่องที่หลายเคยกระทำก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงโด่งดังจนเกินไป ดังนั้นจึงล่วงเกินชิงหรงผู้นี้ ทำให้นางพูดจาส่งเดชเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ขณะที่ฉินมู่ปิงพูดยังลากไทเฮาเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

 

 

ไทเฮานั้นปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักใคร่เป็นอย่างมาก หลังจากไทเฮาได้ยินเรื่องนี้จักต้องปกป้องเขาอย่างแน่นอน

 

 

เรื่องนี้ตัวเขานั้นทราบดี ฉินเย่หานก็เข้าใจดีเสียยิ่งกว่า

 

 

ในสายพระเนตรของไทเฮาทรงเห็นฉินเฮ่าเป็นบุตรคนหนึ่งมาโดยตลอด ส่วนหลานชายนั้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่พระองค์จะมีฉินมู่ปิงเป็นหลานเพียงคนเดียว

 

 

ฉินเย่หานพลันลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ และเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า

 

 

“เจ้าเป็นหลานของเรา เราย่อมเชื่อใจเจ้าเป็นธรรมดา” คำพูดนี้เอ่ยอย่างไม่ลังเล ทั้งยังมีน้ำเสียงเย็นยะเยียบเหมือนดังแต่ก่อน

 

 

ซูหลีเห็นทุกสิ่งในสายตา ทว่านางกลับมิได้รู้สึกผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย

 

 

เรื่องการลอบสังหารประเภทนี้ มิใช่เรื่องใหญ่ที่จะกลายเป็นเรื่องเล็กๆได้ง่าย

 

 

จิตใจของฉินมู่ปิงจะล้ำลึกถึงเพียงไร ซูหลีก็เชื่อว่าเขาก็ยังเทียบกับฉินเย่หานมิติด

 

 

มิเช่นนั้นเกรงว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร คงจะเป็นฉินมู่ปิงแล้ว!

 

 

“เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราถูกลอบสังหารในเวลาไม่ถึงสองเค่อ อู๋โยวหรานก็มาที่นี่แล้ว นางพูดออกมามิได้ว่าทราบเรื่องที่เราถูกลอบสังหารได้อย่างไร ส่วนชิงหรงก็ยืนยันว่าเจอเจ้าอยู่กับอู๋โยวหราน”

 

 

ยามที่ฉินเย่หานเอ่ย พลันเดินรุดหน้าเข้าไปอีกหลายก้าว

 

 

เพียงแต่เขายังยืนอยู่ด้านบนซึ่งอยู่ห่างจากฉินมู่ปิงอีกหลายขั้นบันได ยามที่เขามองฉินมู่ปิงก็เหมือนกับคนที่อยู่เบื้องสูงมองคนที่อยู่เบื้องล่าง

 

 

สายตาของฉินมู่ปิงเข้มขึ้นเล็กน้อย ใบหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม

 

 

“ถึงอย่างไรมือสังหารก็ถูกจับกุมไว้แล้ว จากการลงโทษที่โหดร้าย สุดท้ายจักต้องมีผลไต่สวนออกมา” แววตาของฉินเย่หานเข้มขึ้น น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย เขามองที่ฉินมู่ปิงปราดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

 

 

“ดังนั้นจะต้องให้หลานชายลำบากอยู่ในตำหนักของตนสักสองสามวัน เพื่อรอการตรวจสอบทุกอย่างให้กระจ่าง”

 

 

“เราจะล้างมลทินทุกอย่างให้แก่เจ้า!”

 

 

ใบหน้าของฉินมู่ปิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

เขาเข้าใจคำพูดที่ฉินเย่หานต้องการจะสื่อ นี่ฉินเย่หานต้องการกักบริเวณเขา

 

 

เรื่องนี้สำหรับฉินมู่ปิงแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก

 

 

ทว่าฉินเย่หานกล่าวว่าเชื่อใจเขา อีกทั้งวิธีนี้ดูเหมือนว่าเป็นการให้โอกาสเขา เพื่อล้างข้อกังขาให้แก่เขา ฉินเย่หานถึงจัดการด้วยวิธีนี้

 

 

เขายังจะไม่รับปากได้อย่างไร

 

 

หากบัดนี้ไม่รับปาก เกรงว่าหลังจากออกจากหอเก็บตำราแห่งนี้ เขาจักกลายเป็นคนผู้บงการการลอบสังหารฉินเย่หานในวันนี้โดยปริยาย!

 

 

หากเป็นเช่นนี้…

 

 

นัยน์ตาของฉินมู่ปิงเข้มขึ้น มือของเขาอยู่ในบริเวณที่ไม่มีผู้ใดเห็น เขากำมือของเขาแน่น ทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉยเป็นธรรมชาติ หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่หาน สุดท้ายจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา!”