ตอนที่ 68 คนรักข้างตำหนัก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ก๊อกๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าต่างที่มีคนวางดอกไม้และจดหมายไว้ให้ในทุกเช้า มีใครบางคนกำลังเคาะหน้าต่างนั้น

 

 

ตึก ตึก หัวใจของกโยซึลเต้นดัง ตอนนี้นางเต็มไปด้วยคาดหวังที่ว่าหากเปิดหน้าต่างนั้นอาจจะทำให้นางได้พบกับผู้ที่เอาดอกมาให้เป็นของขวัญแก่นางทุกวันก็เป็นได้

 

 

“ใครกัน…”

 

 

ทั้งใจเต้น ทั้งคาดหวัง แล้วก็ทั้งหวาดกลัว

 

 

ความรู้สึกที่สับสนปนเปนำพาให้กโยซึลเดินไปเปิดหน้าต่างบานนั้นในที่สุด หลังจากที่ดึงบานหน้าต่างให้เปิดออกเบาๆ สายลมเย็นก็พัดเข้ามา นอกหน้าต่างบานนั้นมีบุคคลน่าสงสัยยืนแหงนหน้ามองกโยซึลที่อยู่ข้างใน หลังจากที่ได้เห็นในหน้านั้นอย่างชัดเจนแล้วดวงตาของกโยซึลก็เบิกโตขึ้นทันที

 

 

“รูแฮ!”

 

 

ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือผิดหวัง ทันทีที่เจอหน้ารูแฮ กโยซึลก็รู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นพาดพัดผ่านอกนางไป แต่ถึงอย่างไรการได้พบกับรูแฮก็เป็นเรื่องน่ายินดี ค่อยยังชั่วที่คนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างคือรูแฮ แถมยังไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็นที่หน้าต่างบานนี้ กโยซึลอิงขอบหน้าต่างแล้วโน้มตัวลงไป นางสบตากับรูแฮแล้วถามด้วยสีหน้าคาดหวัง

 

 

“รู้อยู่แล้วหรือ”

 

 

“อะไรหรือ”

 

 

“หมายถึงที่นี่ รู้หรือว่านี่เป็นหน้าต่างบานที่อยู่ใกล้กับเตียงนอนที่สุด”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

คำที่พูดตอบมาโดยไม่ลังเลทำให้กโยซึลเผยรอยยิ้มกว้าง

 

 

ต้องเป็นรูแฮอยู่แล้ว จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากรูแฮ

 

 

ก็แค่ชื่อดอกไม้ ไม่รู้จักแล้วจะเป็นไรไป ก็คงเพราะเห็นว่าสวยเลยเลือกดอกไม้นั้นมาให้ กโยซึลรู้สึกเหมือนความคิดอันวุ่นวายในใจได้ถูกจัดระเบียบ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้คนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างคือรูแฮ การที่รูแฮมาหานางเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมกโยซึลถึงดูดีใจถึงเพียงนี้ ทว่าแค่ได้เห็นนางร่าเริงรูแฮก็ดีใจจนยิ้มกว้าง ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

 

 

“หากเคยได้เข้ามาที่ตำหนักดงบีแล้วก็เดาได้ไม่ยาก ดูโครงสร้างของห้องจากข้างนอกก็คิดว่าหน้าต่างบานนี้น่าจะอยู่ใกล้กโยซึลที่สุด”

 

 

“ใกล้ที่สุดสินะ”

 

 

กโยซึลยิ้มพลางทวนคำรูแฮ รูแฮยื่นมือเข้ามาข้างในพร้อมสัมผัสแก้มของกโยซึล มือของเขาเย็นเพราะต้องยืนรออยู่ข้างนอก กโยซึลประกบมือเข้ากับฝ่ามือที่กอบกุมแก้มนางไว้เพื่อให้คลายเย็นลง

 

 

“เจ้าดีใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

 

 

“ใช่”

 

 

“ถ้ารู้ว่าจะชอบ ก่อนหน้านี้ข้าน่าจะบอกให้เปิดหน้าต่างให้ตั้งนานแล้ว”

 

 

“ก่อนหน้านี้…รูแฮมาบ่อยอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ชู่! เป็นความลับ” รูแฮเอานิ้วแตะที่ปากทำท่าทีมองดูรอบข้าง จนกโยซึลหดไหล่ตกใจ พลอยทำท่าจะยกนิ้วขึ้นแตะปากตามไปด้วย

 

 

“นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ข้าแอบมาดูกโยซึลใกล้ๆ ได้ ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงจะแอบมาไม่ได้แล้ว”

 

 

กโยซึลโน้มคอลงทำมือเป็นเรียกให้รูแฮเข้ามาหา พอรูแฮขยับเข้าไปใกล้ก็เอามือป้องพูดกระซิบ

 

 

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกรงว่าจะถูกจับได้แล้ว”

 

 

“ข้างในมีใครอยู่อย่างนั้นหรือ” รูแฮตกใจชะงักถอยหลังไป กโยซึลยิ้มมุมปากพลางพูด

 

 

“ถูกเราจับได้อย่างไรเล่า”

 

 

“แย่จริง ข้าตั้งใจจะมาแกล้งกโยซึลเสียหน่อย กลับเป็นตัวข้าที่โดนแกล้งเสียได้” รูแฮยิ้มขึ้นมาเช่นกัน แม้แต่การล้อเล่นที่ไม่ได้น่าขันเขาก็ยังรู้สึกสนุก เพียงแค่ได้คุยยืดยาวในเรื่องที่ไร้สาระเขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว

 

 

“อยู่ดีๆ ก็มาหาเราเช่นนี้ มีเหตุอันใดหรือ ปกติรูแฮไม่เคยแอบมาในเวลานี้”

 

 

“มีธุระให้ต้องออกจากพระราชวังด่วน ข้าเลยรีบมาบอก”

 

 

“อา…ต้องไปกะทันหันหรือ” กโยซึลถามด้วยความตกใจ

 

 

รูแฮแม้จะยิ้มอยู่แต่ที่หางตาของเขาบ่งบอกว่าตัวเขาเองก็รู้สึกจำใจ

 

 

“ต้องออกจากพระราชวัง…นานเท่าไร ไม่สิ เพราะเหตุใดกัน” กโยซึลหัวใจหายวาบ นางยื่นตัวออกนอกหน้าต่างราวกับว่าจะกระโดดออกไปทั้งอย่างนั้น พลางสาดคำถามต่างๆ อย่างไร้สติ

 

 

“คงไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขามกอันตอนนั้นหรอกใช่หรือไม่ คงไม่ใช่ว่าฝ่าพระบาทลงโทษรูแฮใช่หรือไม่ เราจะไปถามที่พระตำหนักดงชอน จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้”

 

 

“ใจเย็นก่อนกโยซึล ใจเย็นๆ” รูแฮคว้าสองแขนของกโยซึลไว้จากนอกหน้าต่าง แม้ตัวเขาเองก็รู้สึกอึดอัด แต่พอได้เห็นท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของกโยซึลแล้วเขาก็ยิ้มขึ้นมา

 

 

“นึกไม่ถึงว่ากโยซึลจะใจร้อนกว่าที่คิด หากไม่รั้งไว้คงจะไปพระตำหนักดงชอนเป็นแน่”

 

 

“เราไปแน่! คิดว่าเราไม่กล้าหรือ เพื่อรูแฮแล้ว ต่อให้…ต่อให้เป็นฝ่าพระบาทเราก็หาได้กลัวไม่!”

 

 

แม้ในยามที่ตะโกนคำว่าฝ่าพระบาทนางจะดูลังเลไปบ้าง แต่เรื่องสำคัญกว่าคือการที่เขาต้องรู้จักมองข้ามมันไป รูแฮยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเอามือลูบแก้มกโยซึลอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ฝ่ามือแต่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้อย่างนุ่มนวล

 

 

“กโยซึลจะต่อสู้กับฝ่าพระบาทฮวางแทจาที่แสนน่ากลัวเพื่อข้า ข้าซาบซึ้งใจนัก”

 

 

“ม ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอก! นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไป ฮวางแทจาแห่งจักรวรรดิจะใช้อำนาจในทางมิชอบไปกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ ไม่เพียงฮวางแทจา ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิก็ไม่ได้เช่นกัน”

 

 

“ยอดเยี่ยม” รูแฮพยักหน้า เขาทำท่าเหมือนจะปรบมือให้ แต่แล้วก็หยุดไป “แต่จะทำอย่างไรดี เรื่องที่ข้าต้องออกจากพระราชวังไม่ใช่คำสั่งโดยมิชอบเลยสักนิดเดียว”

 

 

เพียงแค่คำพูดเดียวของรูแฮก็ทำให้ใบหน้าของกโยซึลเปลี่ยนไป จากที่โมโหก็เปลี่ยนเป็นเสียใจ แล้วก็มาเป็นหน้านิ่งฉายแววมึนงง รูแฮที่เห็นสีหน้าเหล่านั้นทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะพูดความจริงออกไป

 

 

“รู้ใช่หรือไม่ว่าข้ามีหน้าที่รับผิดชอบงานฝ่ายพิธีการ มีงานของฝ่ายพิธีการที่ทำให้ข้าต้องออกไปทำภารกิจที่ต่างเมือง ไม่ได้ไปตลอดกาล แล้วก็ไม่ใช่ด้วยคำสั่งโดยมิชอบของผู้ใดด้วย”

 

 

“…งานของฝ่ายพิธีการหรือ”

 

 

เพราะคำอธิบายของรูแฮจึงทำให้กโยซึลวางใจจนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากเอามือกดหน้าอกเพื่อสงบใจที่เต้นโครมครามอยู่ซักพัก นางก็มองกลับไปที่รูแฮด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

 

 

“ไม่ยอมพูดความจริงแล้วอยู่ๆ มาบอกว่าต้องออกนอกพระราชวังแบบนี้มันอะไรกัน ตั้งใจจะหลอกให้เราตกใจใช่หรือไม่”

 

 

“ฮ่า ฮ่า ดูออกแล้วหรือ”

 

 

“ทำเกินไปแล้ว”  กโยซึลบ่นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองก่อนจะหันหลังหนีไป ไม่พอยังปิดหน้าต่างไปเลย

 

 

“กโยซึล”

 

 

ก๊อกๆ รูแฮเคาะหน้าต่างอีกครั้ง ไม่ว่ารู้ว่าหน้าต่างที่ปิดสนิทนั้นจะยอมเปิดออกอีกหรือไม่ รูแฮเม้มปากถามกับตัวเอง หรือว่าเขาล้อเล่นแรงเกินไป รูแฮเอามือวางที่หน้าต่างอย่างแผ่วเบา ยืนมองเงาของ

 

 

กโยซึลที่ยืนอยู่ตรงนั้น

 

 

“ขออภัย เป็นเพราะข้ายังไม่อยากจากเจ้าไปง่ายๆ เลยล้อเล่นแรงเกินไปเสียแล้ว”

 

 

“รู้หรือไม่ว่าเราตกใจเพียงใด”

 

 

เขาได้ยินน้ำเสียงน้อยใจ รูแฮจึงใช้แต่ละคำพูดปลอบประโลมกโยซึลช้าๆ

 

 

“ไม่ใช่ว่าตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วหรือ ตลาดหลวงจะจัดขึ้นในช่วงนี้ กโยซึลเองก็น่าจะจำได้ว่ามีการเตรียมการเพื่อการนี้มานานเพียงใด”

 

 

แม้จะไม่ได้ตอบกลับแต่ตรงหน้าต่างก็เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย ราวกลับว่ากโยซึลกำลังผยักหน้าตอบรับอยู่ เพียงได้เห็นดังนั้นรูแฮก็พูดต่อได้อย่างคลายกังวล

 

 

“ถึงแม้ตลาดหลวงจะจัดขึ้นในเมืองหลวง แต่ที่นอกเมืองก็มีการจัดตลาดนอกด้วยเช่นกัน ล่าสุดที่เมืองทางใต้มีเรื่องการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับตลาดนอก จึงมีคำสั่งให้ออกไปทำภารกิจเพื่อไปตรวจสอบแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้นข้าจึงจะไม่อยู่ในวังหลวงสักพัก เพราะเป็นภารกิจเร่งด่วนเลยทำให้ต้องออกเดินทางทันที พอรับเรื่องแล้วข้าก็รีบมาบอกเจ้า”

 

 

“…อย่างน้อยก็ทำดีอยู่เรื่องหนึ่ง” คำที่บอกว่ามาหานางในทันทีนั้นทำให้กโยซึลใจอ่อนลง รูแฮรีบเสริมทันที

 

 

“ข้าอยากมาหากโยซึลจนถึงขั้นละทิ้งทุกมารยาท แล้วมาคอยอยู่ที่หน้าต่างเช่นนี้แล้ว จะไม่ยอมให้ข้าได้เห็นใบหน้าอีกครั้งเลยหรือ”

 

 

“ฮึ ใครใช้ให้รูแฮเริ่มพูดไร้สาระก่อนกัน”

 

 

“ก็ท่าทางของกโยซึลยามโมโหช่างน่ารัก ตอนที่ได้เห็นว่ากโยซึลเป็นห่วง ข้าดีใจมากจึงโลภเกินไป”

 

 

“ชิ” กโยซึลเบะปากพลางบ่นพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นท่าทีที่ดีกว่าปิดปากไม่พูดอะไรเลย

 

 

ก๊อกๆ รูแฮเคาะขอบหน้าต่างเบาๆ ช้าๆ

 

 

“ข้าอยากเจอเจ้า”

 

 

“…จะไปนานแค่ไหนหรือ”

 

 

“ไม่น่าจะเกินครึ่งเดือน”

 

 

“ตั้งครึ่งเดือนเชียวหรือ”

 

 

“ไหนๆ ก็ลงไปแล้ว เลยได้ไปตรวจดูหน่วยงานสำคัญต่างๆ ของเมืองทางใต้ด้วย ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นการจัดตารางที่รีบเร่งที่สุดแล้ว” รูแฮยังคงเอาแต่ลูบหน้าต่างที่ถูกปิดแน่นอย่างไร้ประโยชน์ต่อไป

 

 

“ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

 

 

ไม่มีคำตอบจากฝั่งด้านในของหน้าต่าง ยังคงเห็นแค่เพียงเงาร่างของกโยซึลอยู่เช่นเดิมราวกับว่านางถูกสลักอยู่บนนั้น รูแฮหยุดที่จะแก้ตัว

 

 

เวลาล่วงเลยไปโดยไร้ซึ่งคำพูดใด กโยซึลพิงหลังเข้ากับหน้าต่าง และรูแฮก็ลูบที่หน้าต่างบานนั้น

 

 

“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังอยากเจอเจ้าอีกสักครั้ง อยากจะดูหน้าเจ้าให้เต็มตาก่อนที่จะต้องจากไป”

 

 

พลั่ก หน้าต่างถูกเปิดออกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับตอนที่ถูกปิด บานหน้าต่างหายไปข้างในจากการดึงอย่างเต็มแรง เป็นตัวของกโยซึลที่ถลาออกมานอกหน้าต่างแทน

 

 

ตาของนางแดงก่ำ

 

 

ทันทีที่หน้าต่างถูกเปิดออกรูแฮก็เอื้อมมือเข้าไป นิ้วของกโยซึลและรูแฮสอดประสานเข้าด้วยกัน กโยซึลทะยานตัวออกไปข้างหน้าราวกับหกล้ม รูแฮเองก็เขย่งตัวขึ้นสุดเท้า

 

 

ทั้งคู่เคลื่อนไหวพร้อมกัน

 

 

ริมฝีปากทั้งสองประกบกันอย่างพอดิบพอดี จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนขยับราวกับพยายามหาพื้นที่ของตัวเองอย่างเชื่องช้าเป็นธรรมชาติ ความชุ่มชื้นถูกเติมเต็ม พวกเขาไม่สามารถเจอกันได้ทุกวัน บางคราต้องผ่านไปหลายวันถึงจะได้เจอกันก็มี ขนาดอยู่ในพระราชวังเดียวกันยังเจอกันได้ยาก หากต้องแยกกันไปในที่ที่ห่างไกลแล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันแต่ก็ยังรู้ได้ว่าทางใต้ของพระราชวังและทางตะวันออกของพระราชวังนั้นมีคนรักของตนอยู่ ในครั้งแรกที่ต้องห่างกันไกล กโยซึลถึงได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าความรู้สึกที่นางมีให้รูแฮนั้นมากมายเพียงใด

 

 

“ตอนนี้ เดี๋ยวนี้… ข้าอยากจะข้ามหน้าต่างเข้าไปกอดกโยซึลเหลือเกิน”

 

 

เขาเตรียมใจมาแล้วอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าจะซ้อมมาดีแค่ไหนความโหยหาก็มีแต่จะมากขึ้นอยู่ดี ทั้งๆ ที่ตั้งใจแค่จะมาดูหน้าแล้วกลับไป แต่ไม่ว่าอย่างไรรูแฮก็เอาแต่ยืนชิดอยู่ริมหน้าต่าง หันตัวกลับไปไม่ได้เสียที แม้จะมีหน้าต่างคั่นกลาง แต่จิตใจของคู่รักยังคงโหยหาซึ่งกันและกัน

 

 

“จะเข้ามาหรือ”

 

 

“เจ้าอย่าท้าทายจิตใจของบุรุษนัก”

 

 

“ท้าทายอะไรกัน” คำถามที่ถามขึ้นอย่างมึนงงนั้นทำเอารูแฮหลุดขำ

 

 

หากพูดถึงในใจของเขา เขาได้ปีนข้ามหน้าต่างไปเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแล้ว ข้ามหน้าต่างนี้ไปแล้วซ่อนอยู่ในห้อง อาศัยจังหวะที่กโยซึลไม่รู้ตัวเข้าสวมกอดนาง แล้วก็กอดนางไปเรื่อยๆ เฉยๆ อย่างนั้น เขาอยากกอดนางเหลือเกิน

 

 

แต่รูแฮทำได้แค่อดกลั้นแล้วดับตัณหาของตัวเอง

 

 

ใจหนึ่งก็คิดว่าจะปล่อยให้ตัวเองทำทุกอย่างตามที่ใจปรารถนาไม่ได้ เขาเลือกที่จะทำตามความคิดนั้น จากนั้นก็อดทนแล้วอดทนอีก ทั้งที่ก็แอบเสียดาย แต่การทำเป็นไม่สนใจความปรารถนาที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ที่กั้นระหว่างพวกเขาจะเป็นเพียงขอบหน้าต่างเตี้ยๆ แต่ความหมายที่มีกลับเป็นอะไรที่มากกว่านั้น นี่คือหน้าต่างของพระราชวัง หน้าต่างของวังตะวันออก หน้าต่างของพระตำหนักดงบี หากเพียงแค่ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง หากเพียงแค่นางไม่ใช่พระชายาฮวางแทจา หากเพียงเขาไม่ได้เป็นแค่ฮวางเซจา สมมุติฐานอันไร้ประโยชน์โผล่ขึ้นมาเต็มหัว

 

 

หากไม่ใช่พระราชวัง

 

 

ความคิดที่ผ่านไปในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับสลักลึกในหัวของรูแฮ

 

 

ขอเพียงแค่ไม่ใช่พระราชวัง

 

 

รูแฮพึมพำถ้อยคำที่ยิ่งพูดก็ยิ่งอันตรายขึ้นซ้ำๆ กโยซึลก้มตัวลงมองไปที่รูแฮ เขาจับมือนางที่อิงกับขอบหน้าต่างแล้วยื่นหน้าขยับเข้าไปใกล้ ถ้าขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อยริมฝีปากของเขาคงจะสัมผัสเข้าที่แก้มของนางได้

 

 

ในระยะห่างที่แทบจะไม่มีอยู่จริงนั้น รูแฮเปิดปากพูดออกมาอย่างระมัดระวัง

 

 

“กโยซึล”

 

 

กโยซึลกระพริบตาแล้วมองรูแฮอยู่เงียบๆ ไร้ซึ่งคำตอบใด ดวงตาอันใสสะอาด ยามที่สบกับดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ความร้อนในตัวเขาพุ่งขึ้นราวกับเปลวไฟอีกครั้ง รูแฮควบคุมหัวใจที่เต้นโครมครามของตัวเอง จากนั้นก็ยกสิ่งที่เขาคิดอยู่ตลอดในหัวออกมาพูดอย่างระมัดระวัง

 

 

“กโยซึล…ข้าอยากจะขอร้องอะไรเจ้าสักอย่าง”