บทที่ 484 น้ำแข็งละลาย

บัลลังก์พญาหงส์

คำพูดของไทเฮาดังเข้าหูของถาวจวินหลัน ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกตื่นตะลึงมากกว่าอะไร นางไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา สุดท้ายแล้วอยากให้นางกล่อมหลี่เย่ให้รั้งกู้ซีเอาไว้ หรืออยากให้ชื่อเสียงดีๆ นี้เป็นของรางวัลที่นางเชื่อฟัง?

 

 

คิดไปคิดมา ถาวจวินหลันก็พูดแค่ว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่จวนน้อยนักเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพูดหรือไม่”

 

 

ไทเฮาขมวดคิ้ว ไม่ได้ดึงดันต่อไป เพียงแค่น้ำเสียงเรียบลงหลายส่วน “ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมก็ช่างเถิด เอาล่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าเองก็เหนื่อย เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันเองก็ไม่คิดอยู่นาน จึงลุกขึ้นขอตัวทูลลา

 

 

พอออกมาจากวังหย่งโซ่วแล้ว รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของถาวจวินหลันก็ดิ่งลึกลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ ท่าทีที่ไทเฮามีต่อนางยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ดูท่าทางต่อจากนี้ไปนางจะต้องเข้าวังหลวงให้น้อยลง

 

 

อีกทั้ง เรื่องนี้หลี่เย่ยังไม่รู้ ถ้าเขารู้แล้ว เขาจะไม่พอใจหรือไม่? นางเองก็จับทางไม่ถูก นางจัดเรือนโดยยังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้หลี่เย่รู้ บางทีตอนแรกหลี่เย่ยังปฏิเสธได้ แต่พอนางทำเช่นนี้กลับปิดหนทางปฏิเสธไปเสียแล้ว

 

 

เมื่อเดินออกมา กลับบังเอิญพบกับหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาสวมกระโปรงสีแดงอ่อน พานางกำนัลสองสามคนออกมาเดินเล่น ดูท่าทางสบายมาก

 

 

“เจ้าเข้าวังมาอีกแล้ว” หยวนฉงหวาเรียกถาวจวินหลันพลางยิ้มและพูด

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “อืม เข้ามาทำความเคารพไทเฮา”

 

 

“ทำไมไม่ไปหาฮองเฮาเหนียงเหนียงเล่า? กลัวว่านางจะวางยาเจ้าหรืออย่างไร?” หยวนฉงหวาพูดขึ้นมาเอง น้ำเสียงดูค่อนแคะเล็กน้อย “แต่เจ้าไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาโดยตลอด? ต่อให้นางวางยาเจ้าตายจริง เจ้าก็คงไม่กลัว”

 

 

ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว ควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่ไหว พูดเนิบๆ ว่า “ข้ามีเรื่องจะต้องกลับจวนไป ไม่พูดกับเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”

 

 

หยวนฉงหวาก็ยังเป็นหยวนฉงหวา แม้ว่าจะร่วมมือกับนาง ก็ยังคงแก้ไขท่าทีเช่นนั้นไม่ได้

 

 

“มีธุระหรือ? ใช่เรื่องต้องรับคนใหม่เข้าไปหรือไม่?” หยวนฉงหวายิ้มอย่างมุ่งร้าย เหมือนว่าไม่ไปสะกิดแผลของถาวจวินหลันแล้วก็คงไม่พอใจ

 

 

ถาวจวินหลันมองหยวนฉงหวาทีหนึ่ง หมดซึ่งความอดทน “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

 

 

เห็นว่าทำให้ถาวจวินหลันหงุดหงิดได้แล้ว หยวนฉงหวาก็หัวเราะด้วยความดีใจ สุดท้ายแล้วนางก็พูดว่า “ตั้งแต่ที่เสี่ยวหวังซื่อเข้าวังหลวงมา รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็น้อยลงไปเยอะ ช่วงเวลาดับไฟยามดึกก็ช้ามากขึ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม? เพราะว่าองค์รัชทายาทไปพักในห้องของเสี่ยวหวังซื่อบ่อยครั้ง”

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งไม่เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

 

 

“องค์รัชทายาทไม่ชอบพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไม่เห็นว่าจะรังเกียจเสี่ยวหวังซื่อ และใช้เสี่ยวหวังซื่อทำให้พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจ วิธีนี้ข้าเป็นคนบอกองค์รัชทายาทเอง องค์รัชทายาทไปหาเสี่ยวหวังซื่อทุกวัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่แตะเสี่ยวหวังซื่อแม้แต่น้อย” รอยยิ้มของหยวนฉงหวายิ่งไม่น่าดู “มองดูเสี่ยวหวังซื่อมีความทุกข์แต่พูดไม่ได้ มองดูพระชายาองค์รัชทายาทอารมณ์เสียหงุดหงิดทุกวัน ข้าจึงอารมณ์ดีมาก”

 

 

ถาวจวินหลันมั่นใจแล้วว่าหยวนฉงหวาพูดกับนางเยอะขนาดนี้ ก็เพียงเพราะความสบายใจสามคำนี้เท่านั้นเอง

 

 

“ช่วงนี้อี๋เฟยก็ได้รับความโปรดปรานเช่นเดียวกัน” หยวนฉงหวาพูดต่อ “เพียงแค่ข้าคิดภาพอี๋เฟยถูกเปิดเผยความผิด ก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ได้รับความโปรดปรานก็ดี ได้รับความโปรดปรานมากขึ้นก็ดี ในอนาคตก็ยิ่งน่าสงสาร”

 

 

จากคำพูดของหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็อดคิดถึงสถานการณ์นั้นไม่ได้ แล้วก็นึกสงสารฮ่องเต้ หากรู้เรื่องที่อี๋เฟยทำอะไรเอาไว้ เกรงว่าฮ่องเต้คงต้องเอานางตายแน่นอนใช่หรือไม่?

 

 

“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าสบายใจก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” ถาวจวินหลันไม่อยากฟังต่อ เบนตัวเดินออกไป นางรู้สึกว่าที่จริงหยวนฉงหวาคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ที่ไม่ได้บ้าอย่างถึงที่สุดก็เป็นเพียงเพราะหยวนฉงหวายังไม่ได้แก้แค้นเท่านั้นเอง รอจนถึงวันที่ได้ชำระแค้นแล้ว เกรงว่าหยวนฉงหวาคงสิ้นสติไปจริงๆ

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ฉับพลันก็รู้สึกทั้งสงสารและหวาดกลัว ผู้หญิงภายในวังหลังลึกนี้ เหมือนจะไม่มีใครหาความสุขได้เลยใช่หรือไม่? วันข้างหน้านางก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?

 

 

ความเย็นเยียบกระแสหนึ่งพัดขึ้นมาจากปลายเท้า แต่เดิมที่ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกร้อน ตอนนี้กลับอดสั่นสะท้านไม่ได้

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งไม่อยากรั้งอยู่อีกต่อไป

 

 

เมื่อกลับมายังจวนตวนอ๋อง ถาวจวินหลันก็คิดถึงความผิดปกติของหลี่เย่ในหลายวันมานี้ คิดเรื่องเหลวไหลเปะปะ แม้แต่ความคิดไปหยอกล้อหมิงจูและซวนเอ๋อร์ก็ยังไม่มี

 

 

เมื่อคิดไปมา นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและใช้ปิ่นเกล้าผมแบบง่ายๆ และใช้ผ้าห่อเอาไว้ ก่อนเดินเข้าไปในครัวเล็ก ด้วยแขนเสื้อเป็นอุปสรรคกับการทำงาน จึงต้องถกแขนเสื้อขึ้นไปบางส่วน

 

 

แม้จะบอกว่าเป็นสามีภรรยากันมานานแล้วไม่เห็นต้องออดอ้อนเอาใจกันอีก แต่นางก็ยังอยากรู้ว่าหากหลี่เย่รู้ว่านางลงครัวทำอาหารเองแล้วจะชอบใจหรือไม่?

 

 

ด้วยตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลง พอคิดไปคิดมาแล้ว ถาวจวินหลันจึงทำปลาเขมือบแพะ น้ำแกงเห็ดสามสหาย และยังมีถั่วงอกสดและถั่วลันเตาผัดที่หาได้ยากในเวลานี้

 

 

นอกจากทำปลาเขมือบแพะแล้ว อย่างอื่นก็เป็นอาหารธรรมดาทั่วไป

 

 

สุดท้ายถาวจวินหลันก็สั่งให้คนเอาเหล้าผลไม้ที่เพิ่งหมักในปี้นี้มาไหหนึ่ง

 

 

ตอนที่หลี่เย่กลับมา อาหารยังทำไม่เสร็จ เพราะไม่เห็นคนของถาวจวินหลัน เมื่อถามบ่าวรับใช้แล้วถึงได้รู้ว่าวันนี้ถาวจวินหลันลงครัวด้วยตนเอง เขายังรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย

 

 

ตอนแรกคิดจะไปดู แต่พอคิดว่าตัวเองมีแต่จะไปทำให้วุ่น จึงไปดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจูแทน

 

 

ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่บนเตียงเล่นเสือผ้าเป็นเพื่อนหมิงจู ตอนนี้หมิงจูทำทุกอย่างด้วยตนเองเป็นกว่าครึ่งแล้ว เด็กโตคนหนึ่ง เด็กเล็กคนหนึ่งพูดตามคำผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับดูมีความสุขมาก

 

 

หลี่เย่ก้าวขึ้นไปอุ้มหมิงจู ฉับพลันนั้นซวนเอ๋อร์ก็พุ่งขึ้นมา “ท่านพ่อ!” ไม่เพียงเอ่ยเรียกเต็มปากเต็มคำ แต่ยังมีความสุขมาก

 

 

ทว่ารอยยิ้มของหลี่เย่พลันก็หายไป อุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนขาของตน ยิ้มและพูดว่า “ซวนเอ๋อร์คิดถึงพ่อขนาดนี้เลยหรือ?”

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างแรง ชี้ไปที่น้องสาว “คิดถึงท่านพ่อทั้งนั้น”

 

 

ไฉนเลยหมิงจูจะเข้าใจเรื่องคิดถึงหรือไม่คิดถึง ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงถาวจวินหลัน แม่นม และซวนเอ๋อร์ที่วนอยู่รอบตัวนาง ส่วนพ่อที่นางไม่ได้พบบ่อยๆ นี้จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้

 

 

ดังนั้นหมิงจูจึงมองไปทางซวนเอ๋อร์อย่างมึนงง

 

 

ซวนเอ๋อร์เองก็ไม่ประหม่า และพูดคำที่น่าตกใจออกมา “ท่านแม่ก็เช่นกันขอรับ”

 

 

หลี่เย่หัวเราะออกมาในทันใด “เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร” เขาอยู่เล่นเป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

หลังจากถาวจวินหลันทำอาหารเสร็จ ล้างมือและปล่อยผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนั้นถึงได้ไปหาหลี่เย่ ส่วนหน้าที่ต่อไปนั้น เช่นวางอาหาร ตั้งโต๊ะ ย่อมไม่จำเป็นต้องมีนาง

 

 

ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะของสามพ่อลูก จึงหยุดฟังอยู่ข้างนอกครู่หนึ่งถึงได้เปิดม่านเดินเข้าไป จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ได้ยินเสียงพวกเจ้าตั้งแต่ไกล มีเรื่องอะไรน่าดีใจขนาดนี้หรือ?”

 

 

หลี่เย่เงยหน้ายิ้มตอบ “ข้าจักกะจี้ซวนเอ๋อร์”

 

 

เห็นเสื้อผ้าของซวนเอ๋อร์เละเทะไปหมด หมิงจูเองก็เละเทะเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็หัวเราะออกมา “เขากลัวคนจักกะจี้เพคะ ท่านก็อย่ารังแกเขาอีกเลย มิเช่นนั้นเล่นมากเกินไปแล้วกลางคืนจะฉี่รดที่นอนเอา”

 

 

คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของซวนเอ๋อร์เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด “ไม่มี! ไม่ฉี่รดที่นอน!”

 

 

ซวนเอ๋อร์จะอายุสามขวบแล้ว เด็กอายุเท่านี้ก็รู้จักคำว่าหน้าตาแล้ว ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ซวนเอ๋อร์ก็มักจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ถาวจวินหลันและผู้ใหญ่เห็นท่าทีของเขาก็อดหัวเราะไม่ได้

 

 

ถาวจวินหลันเห็นซวนเอ๋อร์มีท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งมีความสุข ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

หลี่เย่เองก็เช่นกัน แต่กลับจงใจพูดขึ้นมาช้าๆ “อย่างนั้นหรือ? สองวันมานี้ข้ายังได้ยินแม่เจ้าพูดว่าจะต้องทำกางเกงให้เจ้าอีกสองตัว มิเช่นนั้นฤดูหนาวฉี่รดที่นอนแล้วจะไม่มีเปลี่ยน”

 

 

ซวนเอ๋อร์อายจนต้องไปหลบทันที แต่ก็ทำให้คนอื่นหัวเราะออกมามากขึ้นในทันใด

 

 

หัวเราะหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงได้พูดออกมาว่า “เอาเถิด ควรทานอาหารแล้ว หมิงจูก็ต้องทานนมแล้วเช่นกัน”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า ส่งหมิงจูให้กับแม่นมที่อยู่ข้างๆ ก่อนจัดการกับเสื้อผ้าของซวนเอ๋อร์ด้วยตนเอง แล้วถึงได้พาเขาไปเตรียมตัวทานอาหาร

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเสื้อผ้าของหลี่เย่มีจุดที่สกปรก จึงดึงเขาเอาไว้และถามว่า “ทำไมถึงได้สกปรกเยอะขนาดนี้เพคะ?”

 

 

หลี่เย่ก้มหน้ามองดู แปลกใจเช่นกัน “ไม่รู้ว่าไปเปื้อนอะไรที่ไหนมา”

 

 

ถาวจวินหลันกล่าวโทษ “ทำไมถึงได้สะเพร่าเช่นนี้เจ้าคะ? ท่านเดินไปมาข้างนอก คนอื่นเห็นเข้าจะทำเช่นไรเพคะ?”

 

 

หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ “นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครมาดูละเอียดเช่นนี้อีก อีกอย่างหนึ่งน่าจะเปื้อนตอนที่กลับมาแล้ว มิเช่นนั้นหวังหรูและโจวอี้ก็คงจะสังเกตเห็นแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันคิดแล้วก็เห็นด้วย “น่าจะเป็นซวนเอ๋อร์ทำเปื้อน” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดถึงเรื่องอื่น “วันนี้ข้าทำปลาเขมือบแพะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ทำมานานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือตกไปบ้างแล้วหรือยัง นี่เป็นของที่ข้าเรียนตอนสมัยยังเป็นหญิงสาวนอกวัง เป็นอาหารที่ท่านพ่อชอบที่สุด”

 

 

 หลี่เย่ย่อมต้องเคยกินปลาเขมือบแพะมาก่อน อาหารชนิดนี้เมื่อเอามารวมกันแล้วก็คือคำว่าสดใหม่สองคำนี้ รสชาติย่อมไม่ต้องพูดถึง เขารู้ว่าอาหารชนิดนี้เวลาทำขึ้นมานั้นจะต้องมีขั้นตอนยิบย่อยมากมาย จึงได้ขมวดคิ้วพูดว่า “อยู่ดีๆ ทำอาหารที่ต้องเหนื่อยเช่นนี้ทำไมกัน? ทำให้ตัวเองเหนื่อยแท้ๆ ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ทำไมถึงไม่รักร่างกายตัวเองบ้างเล่า?”

 

 

หลี่เย่ตำหนินาง ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา หลี่เย่ใส่ใจเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังเป็นห่วงนางอยู่ แล้วจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?

 

 

นางก็ก้มหน้าหัวเราะและพูดว่า “เพียงวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เหนื่อยหรือลำบากเลยเพคะ ขอเพียงท่านชอบ ข้าจะทำทุกวันก็ย่อมได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว”

 

 

แต่นางกลับไม่รู้ว่าพอหลี่เย่ได้ยินคำพูดนี้ของนาง เรื่องที่ติดที่อยู่ในใจมาหลายวันนี้กลับค่อยๆ สลายหายไป พอเข้าใจแล้วหลี่เย่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย จะหวาดระแวงเช่นนั้นทำไมกัน? สถานการณ์ตอนนี้และต่อจากนี้ถึงสำคัญที่สุด ส่วนก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่ผ่านไปนานเช่นนั้นยังจะคิดให้เขาทำอะไรอีก?

 

 

“เหนื่อยเกินไปข้าเจ็บปวดใจ” หลี่เย่จับมือของถาวจวินหลันไว้เอง ก่อนกดเสียงต่ำพูดเช่นนี้ออกมา ไม่ให้บ่าวรับใช้ที่ตามมาข้างหลังได้ยิน

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็รู้สึกเขินอาย หันไปมองบรรดาบ่าวรับใช้ตามสัญชาตญาณ พบว่าอยู่ไกลไม่ได้ยินคำพูดของพวกนาง ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ แล้วซวนเอ๋อร์ก็ยังอยู่ นางเองก็ทำเรื่องอื่นไม่ได้จริงๆ มองหลี่เย่อย่างกล่าวโทษทีหนึ่ง แล้วไม่กล้ามองเขาอีก

 

 

แต่ในใจก็ยังลอบถอนหายใจเบาๆ