บทที่ 485 ดังเดิม

บัลลังก์พญาหงส์

ปลาเขมือบแพะย่อมสดอร่อยจนคนแทบกัดลิ้นลงไปด้วย

 

 

แม้แต่ซวนเอ๋อร์ ก็กินเข้าไปบางส่วนด้วยความช่วยเหลือของแม่นม ท้องนั้นกลมป่อง ตอนที่ถาวจวินหลันเอามือไปลูบท้องก็ต้องตกใจยกใหญ่ “ทำไมเด็กคนนี้ไม่รู้จักอิ่มเลยเล่า?”

 

 

หลี่เย่กลับสงบนิ่ง “เด็กก็เป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ไม่ต้องให้เขากินเยอะขนาดนี้ก็พอแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไรเพคะ?”

 

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเจ็ดก็เป็นเช่นนี้” หลี่เย่พูดเนิบๆ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีก “มีครั้งหนึ่งที่เขากินอาหารที่เจ้าทำ ไม่ใช่ว่าพุงกางหรืออย่างไร? แล้วยังต้องเชิญหมอหลวงมาอีก” ถาวจวินหลันนึกภาพเหตุการณ์ตอนนั้นขึ้นมา ก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วก็ส่ายหัวถอนหายใจ “เวลาผ่านไปไวจริงๆ ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ตอนนี้ได้ยินว่าอี้เฟยเริ่มมองหาลูกสะใภ้แล้ว”

 

 

อี้เฟยเสาะหาลูกสะใภ้ไม่ใช่เรื่องลับอะไร แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดเปิดเผย แต่ก็รับรู้กันอย่างดี ฮ่องเต้เองก็ปล่อยเลยตามเลย อย่างไรแล้วก็เป็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชาย ให้ความคิดเห็นเล็กน้อยย่อมได้ แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจนั้นยังคงเป็นฮ่องเต้เท่านั้นก็พอ

 

 

แต่เริ่มมองหาลูกสะใภ้ตั้งแต่ตอนนี้ กลับเร็วกว่าหลี่เย่และองค์รัชทายาทตอนที่อายุเท่านั้นอยู่เยอะ ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนั้นองค์รัชทายาทและหลี่เย่เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นจึงต้องล่าช้าออกไปให้ดูเหมาะสม

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “อีกทั้งเริ่มเข้าว่าการแล้ว จึงออกจากวังหลวงน้อยครั้งนัก”

 

 

พอคิดถึงภาพขององค์ชายเจ็ดที่เดินตามหลี่เย่ทั้งวันในตอนนั้น และคิดถึงภาพชายหนุ่มเยาว์วัยที่ได้พบเห็นในช่วงหลายวันมานี้ นางก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่คนเดียวกันอีกแล้ว

 

 

เมื่อนึกถึงองค์ชายเจ็ด ถาวจวินหลันก็นึกถึงองค์รัชทายาทขึ้นมา นางพลันสงสัยเล็กน้อย คิดไปคิดมาก็เอ่ยปากถามว่า “ในเมื่อท่านกุมจุดอ่อนขององค์รัชทายาทอยู่ในมือ ท่านก็ไม่ต้องหวาดระแวงองค์รัชทายาทถึงขนาดนั้นแล้วซี หาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้…” องค์รัชทายาทจะต้องรักษาตำแหน่งไม่ได้อย่างแน่นอน

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “จับขโมยต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา พูดโดยไม่มีหลักฐานใครจะเชื่อ? ถึงเวลานั้นถูกลอบกัดเข้า จะกลายเป็นเรากล้ำกลืนเสียเอง มีเพียงแค่จับได้คาหนังคาเขาถึงทำให้องค์รัชทายาทหมดโอกาสแก้ตัว”

 

 

นอกจากจู่โจมตรงเป้าเพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจลงมือได้

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความคิดของหลี่เย่ จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก หยุดไปครู่หนึ่ง ก็คิดถึงคำพูดของไทเฮาในวันนี้ได้ จึงพูดขึ้นว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องต้องพูดกับท่าน”

 

 

นางสั่งให้แม่นมอุ้มซวนเอ๋อร์ออกไป และให้บ่าวรับใช้ยกโต๊ะไปจัดการ นางลงมือต้มชาเพื่อช่วยย่อยอาหาร แล้วถึงพูดเสียงเบาว่า “วันนั้นไทเฮาให้คนมาแจ้งข่าวว่ากู้ซีจะเข้ามาเป็นชายารองของท่าน และให้ข้าเก็บกวาดเรือน ข้านึกว่าท่านรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงจัดการเก็บกวาดเรือนเรียบร้อย แต่วันนี้ไทเฮากลับบอกข้าว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบ เป็นข้าเองที่ทำให้ท่านตกที่นั่งลำบาก”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้วทันที “กู้ซีหรือ?”

 

 

หลี่เย่ไม่ชอบกู้ซีจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่สนิทกัน อีกทั้งมองใบหน้าที่คล้ายกับมารดาของตน เขาก็หลบแทบไม่ทันแล้ว เรื่องนี้ทำให้เขาลำบากใจจริงๆ

 

 

แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ช่างเถิด ความตั้งใจของไทเฮา แม้เป็นข้าก็ขัดขวางไม่ได้ ไทเฮาอยากให้ข้าและตระกูลกู้กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น”

 

 

แต่เมื่อกู้ซีเข้ามาในจวน เขากลับไม่อยากสนิทสนมด้วยจริงๆ คิดไปมา เขาก็พูดว่า “เลี้ยงดูให้อยู่อาศัยไม่อดอาหารไม่ขาดตกบกพร่องก็พอ” ส่วนเรื่องอื่นก็ถือว่าปล่อยไป

 

 

ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ทำเช่นนี้เกรงว่าตระกูลกู้และจวนตวนชินอ๋องคงไม่ได้สนิทสนมกันมากขึ้น แต่กลับยิ่งทำให้เกิดช่องว่างต่างหาก

 

 

อีกทั้งนี่ยังถือว่าทำลายชีวิตที่เหลือของกู้ซี

 

 

แต่นางจะเอาอะไรไปกล่อมหลี่เย่? ใจจริงแล้วนางไม่อยากแบ่งหลี่เย่ให้คนอื่น อีกทั้งคำพูดเหล่านั้นก็เป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น

 

 

เพื่อเปลี่ยนเรื่องพูด และเพื่อถามสิ่งที่คาอยู่ในใจมาหลายวัน ถาวจวินหลันจึงถามหลี่เย่เสียงเบา “ท่านโกรธข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

 

หลี่เย่นิ่งไป แล้วก็หลบสายตาของถาวจวินหลันด้วยความประหม่า เพียงแค่หัวเราะเฝื่อนๆ “หมายความว่าอย่างไรกัน”

 

 

ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่มีปฏิกิริยามากขนาดนี้ ไฉนเลยจะยังไม่เข้าใจ? จึงหัวเราะขมขื่นกล่าว “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจกันมากนัก แต่ก็รู้ใจกันแปดถึงเก้าส่วน แล้วทำไมท่านต้องปิดบังข้าเล่า? มีอะไรก็ควรพูดตรงๆ หากข้าไม่ดี ข้าก็จะได้แก้ไข มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นพวกเราถึงจะไม่ห่างเหินกัน มิใช่หรือเพคะ”

 

 

หลี่เย่เริ่มคล้อยตามเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าลง พูดต่อเสียงเบา “คราวนี้ท่านหลบหน้าข้าอยู่หลายวัน ถ้ายังมีครั้งต่อไปเล่า? ก็ยังจะหลบข้าอยู่อีกหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้ายอมให้ท่านไล่ข้าออกไปจากจวนเลยดีกว่า มิเช่นนั้นข้าคงลำบากใจมาก”

 

 

นี่เป็นความในใจของนาง ตอนที่ยังไม่รู้สึกว่าหลี่เย่หลบหน้า ก็ยังพอปล่อยไปได้ แต่หลังจากรู้สึกแล้ว ช่างทุกข์ทนอย่างยากจะเอ่ย

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ “วันนั้นเรื่องที่เจ้าเดินทางออกมาจากบ้านตระกูลเฉิน ข้ารู้แล้ว ข้า…” หยุดไปครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็เหมือนเรียกความกล้าขึ้นมา กอดอกของตนเองเอาไว้ “ข้าก็ไม่สบายใจ”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป ที่นางก็คิดไว้ก็คือเรื่องนี้ แต่เดิมนางอยากจะปิดบังหลี่เย่ ก็เพราะกลัวว่ากลัวเขาจะคิดมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ คิดไปคิดมาก็รู้สึกสงสัย นางให้คนปิดไว้มิใช่หรืออย่างไร? หลี่เย่ไปรู้มาจากที่ไหนกัน?

 

 

หลี่เย่รู้ว่าถาวจวินหลันสงสัย จึงหัวเราะขมขื่น “บ่าวหลุดปากพูดออกมา แต่เดิมข้าก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แต่เจ้ากลับจงใจปิดบังข้า ข้าถึงได้หงุดหงิดที่สุด”

 

 

ด้วยไม่อาจพูดกับคนอื่นได้ เรื่องที่ยิ่งปิดบังไว้ก็ยิ่งคาใจ ในใจของมนุษย์นั้นล้วนคิดเหมือนกัน แม้จะรู้ว่าที่จริงแล้วถาวจวินหลันไม่ได้ทำอะไร แต่ในใจของเขาก็รู้สึกผิดปกติอยู่ดี

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือวันนั้นเขาถามแล้วรอบหนึ่ง ถาวจวินหลันกลับไม่ได้มีท่าทีจะจริงใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เขาขัดใจมากขึ้นไปอีก

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น สุดท้ายก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งพบเจอสิ่งนั้น แต่เดิมนั้นนางไม่อยากให้หลี่เย่คิดมาก แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม ไม่เพียงแค่ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ตอนแรก แต่เรื่องราวก็ไม่เป็นไปดั่งใจหวัง

 

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน” ถาวจวินหลันมองดวงตาของหลี่เย่พลางอธิบายอย่างจริงใจ “ข้าแค่ไม่อยากทำให้ท่านกังวลเท่านั้นเพคะ ข้าได้ยินว่าตระกูลข่งตกที่นั่งลำบาก คิดว่าสาแก่ใจเลยอยากจะไปดู ข้าอยากไปดูว่าอะไรเรียกว่าทำไม่ดีย่อมได้ผลร้าย และอะไรเรียกว่ากรรมตามสนอง!”

 

 

แม้ตอนแรกจะยังพบหน้ากันอย่างสงบสุขได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เก็บอารมณ์ต่อไปไม่ได้ ความรังเกียจคิดแค้นที่นางมีต่อตระกูลข่งนั้น ไม่เพียงแค่ข่งอวี้ฮุย คนกลับกลอกเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือตระกูลข่งไร้เยื่อใยไม่มีศักดิ์ศรีตอนที่ตระกูลถาวตกที่นั่งลำบาก

 

 

“ส่วนเงินที่ให้ผู้หญิงเหล่านั้น ก็ด้วยสงสารพวกนางเท่านั้นเพคะ” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง “เก็บพวกนางไว้ให้นึกแค้นตระกูลข่ง สาปแช่งตระกูลข่ง ไปกระจายข่าวสิ่งที่ตระกูลข่งทำ ทำลายชื่อเสียงของพวกเขาไม่ดีหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันพูดถึงตอนสำคัญ ก็แทบจะไม่สนใจแล้วว่าหลี่เย่จะคิดอย่างไร แม้กระทั่งนางเองยังไม่สนใจว่าคำพูดเหล่านี้ฟังแล้วโหดร้ายยิ่งนักอีกด้วย

 

 

หลี่เย่มองท่าทีตื่นเต้นของถาวจวินหลัน ก็เริ่มรู้สึกคล้อยตามเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา จับมือของถาวจวินหลันที่กำเข้าหากันแน่นเพราะความโกรธเอาไว้ พูดว่า “ข้าขอโทษ”

 

 

เขาพูดสามคำนี้ด้วยเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ ฉับพลันหิมะในใจของถาวจวินหลันก็ค่อยๆ ละลายไป นางอ้าปากน้อยๆ สุดท้ายก็ส่ายหน้าเอ่ย “ท่านต้องขอโทษข้าเรื่องอะไรอีกเพคะ?”

 

 

“เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป” หลี่เย่พูดเสียงต่ำ ความหงุดหงิดภายในใจนั้นเหมือนกับเชือกมัดเขาเอาไว้แน่นหลายชั้น ทำให้เขาดิ้นไม่หลุด

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มสดใส “ข้าเองก็คิดมากเช่นเดียวกัน ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ยิ่งท่านคิดมาก ข้าเองก็ยิ่งดีใจ” เพราะนี่แสดงออกว่าหลี่เย่ใส่ใจนางมากเพียงใด

 

 

นางลิ้มลองรสชาตินี้ด้วยตนเอง ดังนั้นถึงยิ่งเข้าใจ หากไม่สนใจ แล้วจะมานั่งทรมานกว่าครึ่งวันเพราะการกระทำเพียงเล็กน้อยของเขาหรือ?

 

 

แล้วจะมองดูเขาเข้าใกล้ชิดกับคนอื่นแล้วทรมานเหมือนมีน้ำมันราดกองไฟหรือ?

 

 

“ต่อจากนี้ไปไม่ให้หลบหน้าข้าอีกแล้วนะเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ ขยับเข้าไปในอ้อมกอดของหลี่เย่ “ไม่ว่าอย่างไร ห้ามทำเช่นนั้นอีก ข้าทรมานเหลือเกิน”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ถาวจวินหลันแสดงอารมณ์ของตนเองออกมาก่อน ทันใดนั้นหลี่เย่ก็ตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก และชื่นชอบเป็นอย่างมาก

 

 

ถาวจวินหลันเรียบร้อยอยู่ในกฎเกณฑ์ตลอด เทียบกับผู้หญิงบอบบาง พึ่งพาคนอื่นแล้วนั้น น้อยครั้งนักที่นางจะเป็นเช่นนี้

 

 

แต่ทุกครั้งที่นางแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา เขาก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้น และยิ่งหวงแหนมากขึ้น เขาหวังว่าถาวจวินหลันจะพึ่งพาเขา หวังว่าถาวจวินหลันจะไม่ห่างเขาไปไหน

 

 

มีบางครั้งที่ถาวจวินหลันหัวแข็งมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่า ที่จริงแล้วถาวจวินหลันไม่เห็นเขาสำคัญ ไม่มีเขาถาวจวินหลันก็ยังใช้ชีวิตต่อได้ด้วยดี

 

 

วันนี้ตอนนี้ความรู้สึกเช่นนี้กลับสลายหายไป

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยแบ่งปันความทุกข์ซึ่งกันและกัน พูดคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่นาน เช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม จึงมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจ

 

 

ถาวจวินหลันรออยู่สามวันก็ไม่เห็นกู้ซีเข้าจวนมา จึงเริ่มรู้สึกอึดอัด ในเมื่อพูดว่าไทเฮาเร็วที่สุด คิดว่าควรจะเป็นสองสามวันนี้เสียอีก แล้วทำไมถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย? เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น!

 

 

หรือว่าหลี่เย่ทำอะไร? ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ แต่กลับส่ายหน้าและปฏิเสธไป ถ้าหลี่เย่ทำจริงก็ต้องบอกนาง

 

 

หรือจะบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อคิดถึงสุขภาพของกู้ซี นางก็ยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้มาก อย่างไรตอนนี้ก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของกู้ซีรับไม่ไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 

เมื่อพูดถึงอากาศหนาว ถาวจวินหลันก็คิดว่าตนเองนั้นยิ่งไม่ได้เรื่อง ปีนี้ต้องใส่เสื้อชุดคลุมบางเร็วกว่าปีที่แล้วสี่เดือน และต้องเผาถ่านเร็วขึ้น

 

 

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงรู้สึกมือเท้าเย็นเยียบ และยิ่งไม่อยากออกไปไหน ด้านนอกหนาวเกินไป ออกไปครั้งหนึ่งก็แข็งแทบทนไม่ไหว

 

 

ด้วยไม่ชอบออกไปข้างนอก ดังนั้นนางจึงรู้ข่าวคราวล่าช้าไปเล็กน้อย แม้ว่าจะมีคนมารายงานข่าวสำคัญ แต่ข่าวเล็กๆ น้อยๆ กลับไม่ได้รับรู้

 

 

วันนี้ถ้าองค์หญิงแปดไม่ได้มาหานางที่นี่ ก็ไม่รู้ว่านางจะได้ยินข่าวนี้จากที่ไหน