ตอนที่ 532 โดนถ่ายรูปแล้ว / ตอนที่ 533 ทำให้ใจสั่นนิดหน่อย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 532 โดนถ่ายรูปแล้ว

 

 

           แชะ…

 

 

           จู่ๆ ก็มีเสียงแฟลชถ่ายรูปดังขึ้นจากด้านข้าง

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นแค่เพียงเด็กวัยรุ่นผมดำคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย พร้อมลูบหัวปอยๆ ด้วยความละอายใจ “ขอโทษพี่ ขอโทษ เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าท่าทางของพวกพี่ดูดีเกินไปแล้ว ผมอดใจไม่ไหวเลยกดถ่ายรูปไป”

 

 

           ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าไป๋จิ่งพวกเขาจะไม่สบายใจ จึงเอ่ยต่ออีก “ถ้าพวกพี่ไม่ชอบ ผมจะลบแล้ว แต่ว่า…”

 

 

           เด็กวัยรุ่นคนนั้นยื่นมือถือมาอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่งและมั่วไป๋ “แต่ว่าถ่ายออกมาดีมากจริงๆ ถ้าลบไปแบบนี้น่าเสียดายออก งั้น…อย่าลบเลยนะพี่”

 

 

           ไป๋จิ่งดูภาพในมือถือ ตัวเองยื่นมือไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้จะไม่ชัดแต่ก็เห็นถึงการรอคอยอันน้อยนิดนี้ได้

 

 

           ส่วนมั่วไป๋ถึงแม้ว่าสีหน้าจะเรียบเฉย แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความอ่อนโยนขึ้นแม้เพียงนิดก็ตาม

 

 

           เหมือนกับเด็กวัยรุ่นผมดำพูดไว้ รูปภาพรูปนี้ถ่ายออกมาได้ดีจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งใจเต้น เขาตัดใจลบรูปไม่ลงอยู่แล้ว

 

 

           เขาเงยหน้ามองมั่วไป๋ เด็กวัยรุ่นผมดำคนนั้นก็มองมั่วไป๋เช่นกัน ทั้งสองคนมองมั่วไป๋ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย

 

 

           ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าในดวงตานั้นกลับเขียนตัวหนังสือขึ้นมาอย่างชัดเจน

 

 

           “ลบไปน่าเสียดาย อย่าลบเลย”

 

 

           ทั้งคู่มองมั่วไป๋อย่างนี้ มั่วไป๋ถูกมองขนรู้สึกอึดอัดใจ

 

 

           เขากระแอมไอเบาๆ “อืม”

 

 

           เด็กวัยรุ่นผมดำไม่เข้าใจคำว่า ‘อืม’ หมายความว่าอะไร แต่ไป๋จิ่งกลับเข้าใจได้ในพริบตา คำว่า ‘อืม’ ของมั่วไป๋คือการตอบกลับประโยคเมื่อครู่นี้ที่ว่า ‘อย่าลบเลยนะพี่’ ของเด็กวัยรุ่น

 

 

           นัยน์ตาเขาทอประกายความดีใจแทบบ้า รีบฉวยโอกาสที่มั่วไป๋ไม่สนใจ ให้เด็กวัยรุ่นคนนั้นแอบส่งรูปให้เขา

 

 

           ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นจะชอบพวกเขาสองคนมาก ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ สองคนนี้

 

 

           เขามองพวกเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกพี่คบกันมานานเท่าไหร่แล้วเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักไป ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับเอ่ยปากว่า “วันนี้วันแรก”

 

 

           เด็กวัยรุ่นรู้สึกแปลกใจ อีกนิดเกือบจะตกเก้าอี้แล้ว “เป็นไปไม่ได้มั้ง พวกพี่เอาจริงเหรอ ผมรู้สึกว่าพวกพี่เหมาะสมคู่ควรกันสุดๆ เลย”

 

 

           เมื่อครู่นี้เพราะว่าเห็นสองคนนี้ดูมีความรักให้กันดี ดังนั้นถึงได้รู้สึกว่าภาพของพวกเขาดูสวยงามเป็นพิเศษ เขาจึงแอบกดถ่ายรูปเอาไว้

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนเพิ่งจะคบกัน นี่ฟังดูแล้วมหัศจรรย์เกินไปแล้วมั้ง

 

 

           “อืม”  มั่วไป๋เอ่ยรับเสียงหนึ่ง ไม่ได้ชี้แจงอะไรมากมาย เรื่องที่เกี่ยวกับเขาและไป๋จิ่งในอดีต เขาไม่อยากอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

 

 

           อีกอย่างก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่กับไป๋จิ่งอีกครั้ง

 

 

           จะมามัวแต่ยึดติดกับอดีตไม่ปล่อยไปสักทีก็ไม่มีประโยชน์อะไร

 

 

           เด็กวัยรุ่นผมดำหัวเราะ “แหะๆ” สองเสียง แล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเอง “แต่ว่าผมก็ยังรู้สึกว่าพวกพี่เหมาะสมคู่ควรกันสุดๆ อยู่ดี”

 

 

           ไป๋จิ่งพึงพอใจกับคำประเมินของเขาอย่างยิ่ง

 

 

           เขาเห็นด้วยอยู่ในใจเงียบๆ

 

 

           เขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองกับมั่วไป๋เหมาะสมคู่ควรกันมาก

 

 

           แต่ละคนนั่งรอกันเพียงไม่นานก็ได้เวลาเข้าโรงฉายแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งถือแก้วโคล่าขึ้นมา แล้วส่งสายตาบอกให้มั่วไป๋ถือป๊อบคอร์น

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง “ทำไมนายไม่ถือ”

 

 

           ไป๋จิ่งเริ่มแกล้งทำไขสือ เขายกมือที่ถือแก้วโคล่าขึ้นมา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่มีมือแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋อดกลั้นความอยากจะกุมขมับเหลือเกินไว้ เมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่ถือป๊อบคอร์นมาตลอด ตอนนี้ยังมาเอะอะว่าไม่มีมืออีก

 

 

           แต่พอสบสายตาซื่อๆ ของไป๋จิ่ง มั่วไป๋ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับชะตากรรมยื่นมือไปถือป๊อบคอร์นขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋เตี้ยกว่าไป๋จิ่งนิดหน่อย แต่รูปร่างในสายตาชาวอเมริกันก็ยังถือว่าผอมสูง

 

 

           บวกกับรูปโฉมภายนอกที่เห็นเด่นชัด เพียงชั่วครู่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมาย

 

 

 

 

ตอนที่ 533 ทำให้ใจสั่นนิดหน่อย

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งไม่ได้สนใจสายตารอบข้าง จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว

 

 

           สาเหตุที่ไป๋จิ่งไม่ได้รับผลกระทบก็เพราะหัวใจทั้งดวงของเขาอยู่ที่มั่วไป๋คนที่อยู่ข้างกายเขาแล้ว ส่วนมั่วไป๋เองก็ไม่มองใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

 

 

           เมื่อเข้ามาในโรงฉาย แสงไฟได้มืดลงทันที มั่วไป๋เดินอยู่ข้างไป๋จิ่ง เขากอดถังป๊อบคอร์นไว้ สายตามาหยุดลงตรงป๊อบคอร์นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ไป๋จิ่งป้อนป๊อบคอร์นให้ตัวเองกินเมื่อครู่นี้ขึ้นมาในหัว

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ ความรู้สึกที่พูดไม่ออกปรากฏขึ้นมาในใจ หัวใจของมั่วไป๋เต้นเร็วหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ถัดจากเท้าลงไปคือขั้นบันได มั่วไป๋ยังคิดถึงเรื่องราวนี้อยู่ไม่ได้ทันระวังไปโดยปริยาย จึงเห็นแค่เพียงคนทั้งคนก้าวเท้าเหยียบพลาดเซจะล้มไป

 

 

           ไป๋จิ่งใจกระตุกวูบ รีบใช้มือขวาถือแก้วโคล่าสองแก้วไว้ แล้วใช้มือซ้ายคว้ามั่วไป๋ไว้ทันที

 

 

           เห็นมั่วไป๋ไม่เป็นไร เขาถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร”

 

 

           เขาพูดจบก็เบนสายตามายังเท้าของตัวเอง แสร้งทำเป็นเดินก้าวเท้าอย่างจริงจัง

 

 

           แต่หัวใจที่อยู่ในอาการสงบเงียบกลับสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

 

 

           หลังจากหาที่นั่งเจอแล้ว มั่วไป๋เดินเข้าไปก่อน ไป๋จิ่งตามเขาอยู่ด้านหลัง นั่งลงข้างมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งส่งแก้วโคล่าต่อให้มั่วไป๋ มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยยื่นมือไปรับมา

 

 

สิ่งที่ทำนี้เป็นเรื่องเรียบง่ายอยู่ทนโท่ แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อไป๋จิ่งทำมันขึ้นมา มั่วไป๋ก็จะรู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอได้

 

 

แม้แต่หายใจก็ทำได้ยากลำบากไม่เบา

 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะพื้นที่ปิดมิดชิดเกินไป บวกกับแสงไฟที่มืดมาก ดังนั้นจึงเกิดบรรยากาศที่ทำให้คนตื่นตระหนกได้

 

 

ในความทรงจำของเขานี่คือครั้งแรกที่ได้ออกมาดูหนังด้วยกันกับไป๋จิ่ง  

 

 

ยามที่เขาเป็นหลินฝานในอดีตนั้น ไป๋จิ่งไม่มีทางจะพาเขาออกไปดูหนังได้

 

 

ต่อมาเมื่อกลายเป็นมั่วไป๋ เขาก็ไม่มีทางจะทำเรื่องแบบนี้กับไป๋จิ่งได้เป็นธรรมดา

 

 

คิดไม่ถึงว่าผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ จะยังทำเรื่องทั่วไปที่คู่รักเขาทำด้วยกันได้อย่างเงียบสงบครั้งหนึ่งได้

 

 

คิดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ก็ยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

รู้สึกว่าของบางอย่าง เวลาต้องการก็ไม่ได้มา เวลาไม่ต้องการกลับได้มาอีกเสียอย่างนั้น

 

 

ไป๋จิ่งเองก็ค่อนข้างตื่นเต้น แม้จะไม่ชัดเจน แต่เขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นตึกตักได้

 

 

อยากใกล้มั่วไป๋อีกนิด แต่กลับกลัวว่าจะใกล้มั่วไป๋เกินไป แล้วจะปกปิดความตื่นเต้นที่มีในใจตัวเองไว้ไม่อยู่

 

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าทำเพียงแค่นั่งบื้อๆ อยู่ข้างๆ ใช้หางตาแอบชำเลืองมองมั่วไป๋

 

 

เพียงไม่นานทั้งโรงฉายก็มืดดับลงในพริบตา มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

เพียงไม่ถึงสามวินาที จอฉายภาพขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้น

 

 

พวกเขาเลือกดูหนังไซไฟเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่เพิ่งเข้าฉาย มีเนื้อหาเกี่ยวกับมหาสงครามของหุ่นยนต์

 

 

ว่ากันว่าคำวิจารณ์ดีมาก คะแนนก็สูงมากเช่นกัน

 

 

แต่ไป๋จิ่งกลับดูอะไรก็ไม่เข้าหัว ในโรงฉายที่มืดสลัว เขายิ่งควบคุมหัวใจไว้ไม่อยู่

 

 

เขาเอียงหน้ามองมั่วไป๋ กลับเห็นเขาจ้องมองจอฉาย ดูหนังอย่างเอาจริงเอาจังมาก

 

 

ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋มีอารมณ์ร่วมไปกับหนัง เขาก็ไม่ปกปิดสายตาที่มองเบนมาหามั่วไป๋เลยสักนิด จอจ้องมองใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋ด้วยความโลภ

 

 

ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ ราวกับมั่วไป๋น่าดูกว่าหนังเป็นหมื่นเท่าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ใบหน้ามั่วไป๋ที่กำลังชมหนังอยู่ขยับขึ้นมากะทันหัน ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น มีความรู้สึกเหมือนจะถูกจับได้แล้ว รีบก้มหน้าแกล้งทำเป็นหยิบป๊อบคอร์น

 

 

มั่วไป๋ก็ยื่นมือมาพอดี

 

 

มือทั้งสองคนแตะกัน ต่างฝ่ายต่างชะงักงันไปพักหนึ่ง

 

 

มั่วไป๋ก้มหน้าลง เขาเห็นนิ้วมือตัวเองที่ถูกไป๋จิ่งจับไว้อยู่พอดี

 

 

ไป๋จิ่งหัวใจสั่นไหว รีบชักนิ้วกลับมาทันที รู้สึกว่าตรงที่สัมผัสโดนมั่วไป๋โดยไม่ระวังเมื่อครู่นี้มีความร้อนปรากฏขึ้นมา

 

 

ความร้อนนั้นวนเวียนอยู่ที่ปลายนิ้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กระจายออกไป

 

 

ในที่ที่มั่วไป๋มองไม่เห็น เขาอดจะงอนิ้วเข้ามาไม่ได้ กำแน่นเล็กน้อย

 

 

ราวกับอยากจะเก็บรักษาความอบอุ่นที่ปลายนิ้วของมั่วไป๋ไว้อย่างเงียบๆ

 

 

ในใจมั่วไป๋เองก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือไปหยิบป๊อบคอร์นมาใส่เข้าปาก

 

 

รสชาติหวานๆ อบอวลอยู่ในปาก

 

 

เมื่อก่อนเขาไม่กินของพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่นาทีนี้…

 

 

มั่วไป๋กลับรู้สึกว่าป๊อบคอร์นก็อร่อยมากเหมือนกัน

 

 

อร่อยมากเป็นพิเศษ