ตอนที่ 534 โดนอบรมแล้ว / ตอนที่ 535 เมื่อกี้คุณยิ้มแล้ว

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 534 โดนอบรมแล้ว

 

 

           หนังรอบนี้ดูจบแล้ว ไป๋จิ่งก็ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วตัวเองดูอะไรไปกันแน่

 

 

           ถึงอย่างไรตั้งแต่เข้าโรงฉายมาจนกระทั่งหนังฉายจบ เป็นเวลาราวๆ สองชั่วโมง ความรู้สึกนึกคิดของเขาจดจ่ออยู่ที่มั่วไป๋ตลอดเวลา

 

 

           ในสายตาเขา นอกจากมั่วไป๋แล้ว อะไรก็มองไม่เห็นทั้งนั้น

 

 

           ส่วนมั่วไป๋กินป๊อบคอร์นตลอดการรับชมหนังแล้ว อะไรอย่างอื่นก็มองไม่เข้าหัวเหมือนกัน

 

 

           จนกระทั่งถึงตอนที่จะออกจากโรงฉาย มั่วไป๋ถึงได้พบว่าเขากินป๊อบคอร์นถังใหญ่จนถึงก้นถังแล้วโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ยามที่ไป๋จิ่งเดินออกมา เขาบังเอิญมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง บันทึก เรื่องที่มั่วไป๋ชอบกินป๊อบคอร์นลงในใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ค่อยๆ เดินออกมาพร้อมฝูงชนอย่างช้าๆ

 

 

           ระหว่างคนสองคนกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจา

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งมีอะไรอยากจะพูดอยู่เต็มไปหมด แต่พอเผชิญหน้ากับมั่วไป๋แล้วจะรู้สึกตื่นเต้นได้ พอตื่นเต้นก็จะพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง

 

 

           ส่วนมั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับไป๋จิ่ง

 

 

           ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะพัวพันวนเวียนกันมาตลอดหลายปีนี้ แต่นาทีนี้ยังห่างเหินกว่าเพื่อนธรรมดาทั่วไปเสียอีก

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาสองคนห่างเหินกันเกินไปแล้วจริงๆ จึงหาข้ออ้างมาสักหน่อย

 

 

           เขาคิดแล้วเอ่ยถาม “หนังน่าดูมากเลย”

 

 

           ประโยคนี้เป็นสิ่งที่ไป๋จิ่งอุปโลกน์ขึ้นมาโดยสมบูรณ์ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังแสดงอะไร

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินแล้วก็พยักหน้าพลางเอ่ยรับ “อืม”

 

 

           พูดประโยคนี้จบ ก็เงียบงันลงอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งจับหัวตัวเองด้วยความลำบากใจ คิดถึงตอนแรกเริ่ม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่หล่อฉลาดดูดีและมีภูมิฐาน

 

 

           แต่ตอนนี้กลับพูดแม้แต่คำพูดพอเป็นพิธีก็พูดได้ไม่ดี

 

 

           ไป๋จิ่งแอบดูถูกตัวเองอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองหวาดกลัวเกินไปแล้ว

 

 

           เขาบีบนิ้วมือตัวเอง อยากจะเติมพลังให้ตัวเองสักหน่อย กว่าจะเติมพลังจนเต็มไม่ใช่ง่ายๆ ผลปรากฏว่าเวลานี้มั่วไป๋เอ่ยทิ้งทวนประโยคหนึ่งมา “กลับโรงพยาบาลไหม”

 

 

           ปัง…ได้ยินเสียงลูกโป่งแตกแล้ว

 

 

           พลังที่ไป๋จิ่งเพิ่งจะเติมเต็ม ทั้งหมดสลายหายไปในพริบตา แม้แต่ส่วนน้อยนิดก็ไม่มีเหลือให้เขา

 

 

           “อ่า…อ่อ…ได้สิ”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงกลับไปยังห้องพักผู้ป่วยกันอย่างเงียบๆ

 

 

           ทันทีที่เดินเข้าห้องพักผู้ป่วยไป พวกเขาก็เห็นเหยียนอวี้รออยู่ข้างใน สีหน้าดูไม่ได้จนไม่ไหว

 

 

           พอเขาเห็นพวกเขาสองคนกลับมาสักที เขาก็โล่งใจทันที ขณะเดียวกันก็ทำหน้าขรึมด่าทอต่อว่าใส่หน้าเต็มๆ

 

 

           “มั่วไป๋ นายเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม นายไม่รู้เหรอว่าตอนนี้นายออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ นายรู้ไหมว่าโทรหานายไปกี่ครั้งแล้ว…

 

 

           …ทั้งสองคนไม่มีใครรับสายสักคน…

 

 

           …ยังไงกัน นี่เตรียมจะให้ฉันอกแตกตาย จะได้เปลี่ยนหมอประจำตัวใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดนี้ แล้วหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก็เห็นเพียงแค่หน้าจอที่แจ้งเตือนสายโทรเข้ามาไม่น้อยอยู่จริงๆ

 

 

           คิดดูแล้วคงจะเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งจะดูหนัง เขาจึงกดปิดเสียงมือถือเอาไว้

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็หยิบมือถือออกมา ก็เห็นเพียงแค่หน้าจอดำ มือถือแบตหมดไปตั้งนานแล้ว

 

 

           สองชั่วโมงก่อน เหยียนอวี้มาห้องพักผู้ป่วยก็พบว่าสองคนนี้ไม่อยู่ในห้องแล้ว

 

 

           เขาคิดว่าพวกเขาสองคนลงมาเดินเล่น เขาลงไปหารอบหนึ่งก็ไม่เจอทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้จึงโทรหาพวกเขาสองคน คนหนึ่งโทรไม่ติด คนหนึ่งไม่รับสาย

 

 

           เขารอพวกเขาในห้องพักผู้ป่วยหนึ่งชั่วครึ่งเต็มๆ

 

 

           ไป๋จิ่งได้รู้จักเหยียนอวี้แค่เพียงไม่นาน ก่อนหน้านี้คิดเสมอว่าเหยียนอวี้ยังถือว่าเป็นคนพูดจาดีมากๆ     คนหนึ่ง

 

 

           วันนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นเหยียนอวี้เหวี่ยง ดูดุดูโหดไม่เบาจริงๆ

 

 

           เขาไม่อยากให้มั่วไป๋โดนดุ เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที “ขอโทษครับ เป็นผมเองที่ต้องการจะพาเขาออกไปให้ได้”

 

 

           สายตาเหยียนอวี้เหวี่ยงใส่ไป๋จิ่งพร้อมเอ่ยขึ้น “คุณอย่าเพิ่งพูด ผมพูดจบแล้วผมจะมาหาคุณต่อ”    

 

 

           

 

 

     ตอนที่ 535 เมื่อกี้คุณยิ้มแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งจะเคยโดนคนพูดแบบนี้ใส่เมื่อไหร่กัน แต่พอคิดว่าเหยียนอวี้คือเพื่อนของมั่วไป๋ อีกอย่างก็เป็นห่วงมั่วไป๋ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขาลูบจมูกปอยๆ ถอยหลังกลับไปอย่างว่าง่าย

 

 

           เหยียนอวี้จ้องมองมั่วไป๋ “นายยังทำแบบนี้อีก ไม่ต้องให้ฉันอกแตกตาย ฉันก็จะเปลี่ยนตัวนายแล้ว ฉันเป็นหมอ กับคนไข้ที่ไม่ฟังหมอ ก็ควรจะเปลี่ยนตัวได้ตามคุณสมบัติ”

 

 

           มั่วไป๋ทำหน้าคุ้นชินกับสิ่งนี้แล้ว

 

 

           เขามองเหยียนอวี้ด้วยสีหน้าใสซื่อ คิดจะใช้สายตาทำให้เหยียนอวี้ใจอ่อน

 

 

           เขาใช้มุขนี้มา เหยียนอวี้ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่กุมขมับอย่างเสียไม่ได้ “เจอนาย ฉันนี่ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยที่สุดแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเสียงเขาอ่อนลงแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยอย่างช้า “ที่จีนมีคำโบราณกล่าวไว้ดีมากทีเดียวว่า ‘ผู้ที่เป็นศัตรูกันมักจะโคจรมาเจอกัน’ ”

 

 

           เหยียนอวี้ “…”

 

 

           ‘เขาอยากจะเปลี่ยนคนไข้!’

 

 

           ‘แบบที่ต้องเปลี่ยนทันที!’

 

 

           ทำใจอบรมมั่วไป๋ไม่ลง แต่ทำใจอบรมไป๋จิ่งได้

 

 

           เหยียนอวี้คว้าตัวไป๋จิ่งออกไปนอกประตู อบรมอยู่นานสองนาน เสียงนั้นดังจนแม้แต่มั่วไป๋ที่อยู่ข้างในยังได้ยินด้วย

 

 

           มั่วไป๋ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน เขากล้ารับประกัน เหยียนอวี้กำลังใช้หน้าที่มาบังหน้าเพื่อแก้แค้นส่วนตัวอยู่

 

 

           เอาส่วนที่อยากจะอบรมเขาส่วนนั้นมาลงทับถมใส่ไป๋จิ่งทั้งหมด

 

 

           ดังนั้นเหยียนอวี้จึงยำรวมแค้นใหม่เก่าในคราเดียว ถึงได้ดุด่าไป๋จิ่งอย่างถึงพริกถึงขิง

 

 

           วันนี้กลับแปลกไป ไป๋จิ่งคนทะนงตัวคิดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยโต้แย้งแม้สักประโยค

 

 

           ปล่อยให้เหยียนอวี้ดุด่าอยู่ครึ่งชั่วโมงอย่างว่าง่ายผิดแผกจากเดิม

 

 

           เหยียนอวี้ด่าคนเสร็จ ก็สะบัดผมเดินออกไปด้วยความสดชื่นสบายใจ เหลือเพียงไป๋จิ่งคนเดียวที่มองตามแผ่นหลังของเหยียนอวี้ด้วยสีหน้างุนงง

 

 

           เขารู้สึกว่าประเด็นในการดุด่าเขาวันนี้ของเหยียนอวี้ เหมือนจะออกทะเลไปหน่อยมั้ง

 

 

           เช่นว่า…ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาของหมอ

 

 

           เช่นว่า…พูดจาทำให้หมอไม่พอใจ

 

 

           เช่นว่า…ทำอารมณ์หมอแย่

 

 

           ไป๋จิ่งอยากถาม ปัญหาข้างต้นพวกนี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่เขาพามั่วไป๋ออกไปดูหนังสักนิดเหรอ

 

 

           ……

 

 

           ในที่สุดหน้าประตูก็เงียบสงบลง มั่วไป๋นั่งพิงโซฟา เห็นไป๋จิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก

 

 

           ไม่รู้ว่ามองผิดไปเองหรือเปล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสีหน้าไป๋จิ่งดูป่วยๆ

 

 

           พอเข้ามาก็สบตากับมั่วไป๋ ไป๋จิ่งก็เลิ่กลั่กนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่เขายืนเฉยๆ ให้คนดุด่าอยู่ตรงนั้นเป็นครึ่งชั่วโมง

 

 

           นี่ถ้าซือเหยี่ยนรู้เข้า คาดว่าซือเหยี่ยนคงจะซื้อโทรโข่งป่าวประกาศไปทั่ว

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้เข้า เจียงมู่เฉินก็จะรู้ได้

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินรู้แล้ว ต้องโรคจิตกว่าที่ซือเหยี่ยนซื้อโทรโข่งอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าคงจะซื้อพาดหัวข่าว ส่งเขาขึ้นไปอยู่ในอันดับค้นหายอดนิยมแล้ว

 

 

           แต่…ไม่ว่าจะเป็นโทรโข่ง หรืออยู่ในอันดับค้นหายอดนิยม ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิ่กลั่กเท่ากับการเผชิญหน้ามั่วไป๋ในตอนนี้

 

 

           ไม่รู้ว่ามองผิดหรือเปล่า ไป๋จิ่งยังรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเพียงนิดที่ซ่อนอยู่ในมุมปากของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า ไม่มีเวลามาสนใจความเลิ่กลั่กนี้แล้ว

 

 

           เดินอีกสามก้าวถึงหน้ามั่วไป๋ จ้องมองดูมุมปากของเขา

 

 

           มั่วไป๋โดนเขาจ้องแบบนี้ มุมปากก็อดจะกระตุกไม่ได้ ทำหน้าเป็นไซบีเรียนฮัสกีแบบนี้ นี่เตรียมจะทำอะไร

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูมั่วไป๋ด้วยความตื่นเต้น อารมณ์ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขาไม่ได้เห็นมั่วไป๋ยิ้มมานานแล้ว

 

 

           จู่ๆ มาเห็นมั่วไป๋ยิ้มแบบนี้ ใจเขาใกล้จะอ่อนยวบแล้ว

 

 

           เขามองมั่วไป๋อย่างเซ่อๆ พลางเอ่ยถามออกมา “เมื่อกี้คุณยิ้มแล้ว”

 

 

           ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ มั่วไป๋ตะลึงค้าง กดเก็บรอยยิ้มที่มุมปากลงโดยอัตโนมัติ

 

 

           ในใจมั่วไป๋รู้สึกแปลกอยู่ในที เขายิ้มแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้เลย

 

 

           ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเคียดแค้นในใจที่มีต่อไป๋จิ่งนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ คิดดูแล้วเหมือนว่าใกล้จะลืมเรื่องในตอนนั้นไปแล้วจริงๆ

 

 

           เขาพูดกับไป๋จิ่งว่า เริ่มทุกอย่างใหม่ทั้งหมด

 

 

           แต่มั่วไป๋รู้แก่ใจชัดเจน การต่อสู้ดิ้นรนเหล่านั้นในใจยังคงปล่อยวางไม่ลงเสียทีเดียว