ตอนที่ 628 หมัวหมัวข้างกาย
ของขวัญมีราคาใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดควรเป็นความพอเหมาะพอดี หากวันนี้ให้ของขวัญชิ้นใหญ่วันหน้าให้ชิ้นเล็กไปก็จะไม่พอใจ แต่หากเล็กน้อยเกินไปก็จะทำให้คนรู้สึกไม่ดี
การที่เซียงฉือมอบของขวัญล้ำค่าในวันนี้ก็เพราะวันนี้มีเรื่องบางอย่างต้องปรึกษานาง
เซียงฉือประคองหงซีกูกูนั่งลงข้างกายแล้วให้คนด้านข้างออกไป จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า
“กูกูอยู่ในวังมานานปี ส่วนฐานะครอบครัวข้าไม่สูงส่ง ทั้งยังเข้าใจเรื่องในวังได้น้อยนิด เรื่องบางอย่างยังต้องขอให้กูกูช่วยจัดการให้ด้วย ข้าไม่มีนางกำนัลคนสนิทอีกทั้งไม่มีหมัวหมัวที่คุ้นเคย กูกูเป็นคนที่ข้าไว้วางใจ ไม่ทราบว่ากูกูจะช่วยแนะนำคนที่เหมาะสมให้ได้หรือไม่ จะต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ด้วยนะ”
เซียงฉือจับมือหงซีกูกูไว้แล้วพูดเช่นนั้น หงซีเข้าใจเจตนาในการให้ของขวัญของเซียงฉือ เดิมนางคิดว่าเซียงฉือจะไม่รู้วิธีการปกครองคน ยังเป็นห่วงอยู่ว่านางจะก้าวต่อไปในวังนี้อย่างลำบาก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะทำให้หงซีบังเกิดความชื่นชมมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเมื่อหงซีฟังคำพูดนั้นแล้วไม่เพียงไม่รู้สึกไม่สบายใจแต่กลับดีใจขึ้นมา นางใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“อวิ๋นผินมีสถานะเป็นผิน ตามธรรมเนียมแล้วควรต้องมีหมัวหมัวควบคุมงานคนหนึ่ง กงกงจัดการงานคนหนึ่ง นางกำนัลขั้นที่หนึ่งสองคน นางกำนัลขั้นที่สองสี่คน กงกงรับใช้สองคน ส่วนพวกนางกำนัลกับขันทีระดับล่างพวกนั้นไม่จำเป็นต้องทรงกังวลพระทัยนัก”
เซียงฉือฟังคำพูดหงซีแล้วพยักหน้ารัว หงซีจึงพูดต่อ
“ข้างพระวรกายอวิ๋นผินมีสี่กงกงเป็นคนจัดการกับสาวใช้หลิ่วจุ้ยเป็นคนดูแลงานข้างในแล้ว ก็เพิ่มหมัวหมัวควบคุมตำหนักอีกคน นางกำนัลขั้นที่หนึ่งสำหรับจัดการงานภายนอกอีกคน พวกนางกำนัลขั้นที่สองที่คล่องงานก็หาไม่ยากแต่ที่สำคัญที่สุดคือกูกูที่จะควบคุมดูแลตำหนัก จะต้องเป็นคนสนิทไว้ใจของอวิ๋นผิน จะหละหลวมไม่ได้เลยเพคะ”
เซียงฉือฟังแล้วพยักหน้า ยิ้มและพูดว่า
“ก็เพราะเช่นนี้ จึงต้องให้กูกูช่วยเหลือข้าด้วย” หงซีพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า
“เดิมฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้หมัวหมัวที่ถวายการรับใช้ไทเฮามาก่อนมารับใช้อวิ๋นผิน หม่อมฉันก็คิดว่าไม่เลวนัก คนที่เคยถวายการรับใช้ไทเฮามาก่อนย่อมเป็นคนเชื่อถือได้ แต่ว่าหลิวหมัวหมัวอายุมากแล้ว เกรงว่าจะรับใช้อวิ๋นผินได้ไม่กี่วันก็จะจากวังไปแล้ว ส่วนซุนหมัวหมัวแม้จะยังอายุไม่มาก แต่ตลอดมานางติดต่อเป็นการส่วนตัวกับทางตำหนักอวี้หยวนถี่เกินไป พวกหมัวหมัวอื่นๆ ก็ไม่ต่างจากนี้นัก คิดว่าอวิ๋นผินก็ทรงทราบดีอยู่แล้ว”
เซียงฉือฟังแล้วขบริมฝีปากล่างถามอย่างลำบากใจ
“พระประสงค์ของฝ่าบาทคือ”
หงซีกูกูยิ้มแล้วพูดว่า
“ก็คือคนที่ทรงเลือกไว้ให้อวิ๋นผิน อวิ๋นผินย่อมควรได้รับรู้ นางคือเสิ่นอวิ้น เป็นหมัวหมัวที่เคยถวายการรับใช้ไท่เฟยมาก่อนเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือชะงักเล็กน้อย นางดึงแขนหงซีกูกูแล้วยิ้ม
แล้วเก็บยิ้มในทันใด นางตบหลังมือหงซีกูกู หันกลับไปยังกระจกที่ด้านหลังตน มองดูใบหน้าตนเองอย่างละเอียดแล้วจึงพูดว่า
“เรื่องนี้จะต้องรบกวนกูกูให้ช่วยแล้ว ช่วยข้าคัดเลือกคนที่เหมาะสมสักหลายคน ข้าจะซาบซึ้งใจยิ่งและจะตอบแทนหมัวหมัวอย่างเต็มที่ หลายวันมานี้หมัวหมัวก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย”
เซียงฉือพูดแล้วหยุดลงเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า
“จะให้ฝ่าบาททรงคอยนานนักไม่ได้แล้ว ฝ่าบาททรงมีความอดทนจำกัด กูกูเข้าใจฝ่าบาทดีที่สุดมิใช่หรือ”
พอเซียงฉือพูดเช่นนี้ หงซีกูกูก็เรียกให้คนเข้ามา เมื่อนางเห็นสาวใช้คนอื่นๆ ช่วยกันปรนนิบัติเซียงฉือกันอย่างคล่องแคล่วจึงยิ่งยืนห่างออกไป
ชั่วขณะที่นางเงยหน้ามองอวิ๋นเซียงฉือเมื่อครู่ ก็ได้เห็นแววตาที่มีความหมายลึกซึ้งของนาง
คงไม่อาจปิดบังความคิดอะไรจากอวิ๋นเซียงฉือได้เป็นแน่
การที่นางไม่พูดออกมาก็เพราะเห็นแก่หน้านาง แต่ว่าหลังจากนี้แล้วนางจะทำอะไรอีก
อวิ๋นเซียงฉือแต่งกายให้ตนเองอย่างบรรจง เสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างล้วนสั่งให้คนอบควันหอมอย่างตั้งใจ จัดแต่งหน้าผมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตอนที่ 629 เปิดอ่านรายงาน
หงซีกูกูถอยออกจากห้อง อวิ๋นเซียงฉือมองดูด้วยหางตาแล้วยื่นมือออกวางบนโต๊ะ เคาะเบาๆ สามครั้ง
หูของเสียวสี่จื่อไวอย่างยิ่ง เขามองอวิ๋นเซียงฉือในกระจกแล้วรีบทำความเคารพ เดินออกไปในขณะเดียวกัน
เซียงฉือวางใจแล้ว นางจึงสำรวจการแต่งกายของตนอย่างจริงจัง แต่ไรมานางชำนาญงานเย็บปักถักร้อยอย่างยิ่ง เมื่อแต่งหน้าเรียบร้อยแล้วก็เลือกชุดที่เหมาะสม
หรงจิงมีความใส่ใจมาก เสื้อผ้าที่เขาเลือกให้นางส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้าครามและสีขาวที่เซียงฉือชื่นชอบ เพราะสำหรับนางแล้วเป็นการแต่งกายที่สะดวกที่สุด
เซียงฉือเลือกเสื้อกันหนาวกำมะหยี่สีชมพูคู่กับเสื้อสั้นผ่ากลางสีขาว ท่อนล่างสวมกระโปรงยาวสีเดียวกัน ด้านนอกเลือกเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีแดง ผ้าต่วนด้านในเป็นลายปักรูปทรงกลมที่กลมกลืน เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับการแต่งหน้าสวยใสไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป
นางสำรวจมองตนเองในกระจกแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกนอกตำหนัก
ถึงแม้เขาอวี้หนี่ว์จะอยู่ใกล้พระราชวังต้องห้ามในเมืองหลวงมากแต่อุณหภูมิแตกต่างจากพระราชวังต้องห้ามเป็นอันมาก หากเปรียบเทียบกันแล้ว ดินฟ้าอากาศของที่นี่ชอุ่มขจีแม้จะอยู่บนภูเขา คงเป็นเพราะข้างใต้เป็นภูเขาไฟ จึงทำให้มีความเขียวอยู่
ถึงจะบอกว่ามาชมหิมะ ก็ได้แต่ต้องขึ้นไปชมหิมะพันปีที่ทับทมอยู่บนยอดเขาเท่านั้น
เซียงฉือจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินไปทางห้องหนังสือของหรงจิง ถึงหรงจิงจะบอกว่าไม่ต้องทำงาน แต่หากมีงานสำคัญเร่งด่วนก็ยังให้ส่งมาที่ตำหนักฉุนหวา
เซียงฉือไม่รู้ว่าข้างนอกตอนนี้ร่ำลือกันอย่างไรและนางก็ไม่ไปสนใจเรื่องเหล่านั้น นางต้องการเพียงได้อยู่กับหรงจิงอย่างมีความสุขเช่นนี้ ส่วนพวกเรื่องกังวลใจต่างๆ รอให้กลับไปถึงในกำแพงเมืองนั้นแล้วค่อยกังวล
นางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของตำหนักฉุนหวา เห็นหรงจิงกำลังก้มเขียนอะไรอยู่บนโต๊ะ คิดว่าคงมีข้อราชการที่เขาจะต้องจัดการ ซูกงกงถือรายงานสำคัญอยู่หลายเล่ม เมื่อเห็นเซียงฉือก็คิดจะบอกฝ่าบาท แต่เซียงฉือยกนิ้วมือขึ้นนิ้วหนึ่งแล้วรับรายงานมาจากมือของเขา ส่งสัญญาณให้เขาออกไปก่อน
ซูกงกงรู้ดีถึงความรักใคร่ที่ฝ่าบาทมีต่อเซียงฉือจึงรีบถอยออกไปในทันที หลังจากยิ้มมองหรงจิงแล้วก็นำนางกำนัลอื่นๆ ออกไปจากห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง เซียงฉือรับรายงานมาดูเห็นคงเหลือเพียงสามเล่มจึงไล่เปิดอ่านอย่างถือวิสาสะ
นางอ่านอยู่นานและยิ่งบังเกิดความสนใจเหมือนกับได้คืนสู่วันเวลาที่ผ่านมาครั้งที่นางยังคงเป็นข้าราชสำนักสตรีเล็กๆที่เฝ้าอยู่ข้างกายหรงจิง มองดูเขาอย่างรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น
นางผินหน้ากลับในจังหวะเดียวกับที่หรงจิงเงยหน้าขึ้นมาพอดี ทั้งคู่สบตากัน หรงจิงวางพู่กันที่จุ่มน้ำหมึกสีแดง ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน
“รอนานแล้วหรือยัง”
เซียงฉือส่ายหน้าช้าๆ นางเดินไปข้างกายหรงจิง วางรายงานในมือลงที่ข้างๆ เขาแล้วจับแขนเขาไว้ หรงจิงยิ้มอย่างหมดปัญญา ถามขึ้นว่า
“เรายังไม่ทันจะได้อ่าน หรือว่าเจ้าคิดวิธีการที่ดีได้แล้ว”
เซียงฉือยืดแขนอย่างเกียจคร้าน ตอบอย่างระวังว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นชายาฝ่ายใน ไม่อาจยุ่งกับงานเมืองได้เพคะ”
หรงจิงฟังแล้วหัวเราะขึ้นเสียงดัง เขากอดร่างที่อ่อนนุ่มของเซียงฉือ ให้นางนั่งลงบนตัก สูดดมเบาๆ บนร่างนาง พูดว่า
“วันนี้เจ้าหอมจริงๆ ทาแป้งหอมอะไร หลังจากผ่านคืนในห้องหอแล้ว เจ้าถึงได้ตื่นตัวเช่นนี้หรือ รู้แบบนี้เราตั้งให้เจ้าเป็นผินไปนานแล้ว”