ตอนที่ 630 แทงตอบรายงาน / ตอนที่ 631 สนทนาบนยอดเขาหิมะ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 630 แทงตอบรายงาน 

 

 

เซียงฉือโกรธน้อยๆ นางเปิดรายงานที่หรงจิงกำลังตรวจอ่านแล้วพูดว่า 

 

 

“ถ้าหากฝ่าบาททรงคิดว่าที่ผ่านมาหม่อมฉันพูดมีเหตุผล เช่นนั้นขอทรงฟังหม่อมฉันพูดอีกสักหน่อย ทรงรีบจัดการราชกิจให้เสร็จแล้วพาหม่อมฉันไปชมภูเขาหิมะเถิดเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังคำพูดนั้นอย่างเบิกบานใจยิ่ง เขาวางพู่กันใส่มือเซียงฉือแล้วพูดว่า 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้อวิ๋นผินรีบลงมือเถิด เราจะได้พักผ่อนสักครู่หนึ่ง” 

 

 

เซียงฉือชนไปบนตัวหรงจิงแล้วพูดอย่างสนิทชิดใกล้ 

 

 

“ฝ่าบาทก็ทรงเป็นเสียแบบนี้ หม่อมฉันเพียงทูลเสนอความเห็นให้ฝ่าบาททรงสดับเท่านั้น จะกล้าเขียนลงไปในรายงานได้อย่างไร หรือฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันต้องโทษฐานหลอกลวงเบื้องบนเพคะ” 

 

 

หรงจิงยิ้มบางๆ เขากุมมือเซียงฉือที่ถือพู่กันอยู่ 

 

 

“งั้นเจ้าก็พูดมา เราจะฟัง” 

 

 

เซียงฉือเห็นท่าทีนั้นแล้วก็ทอดถอนใจยาว จากนั้นก็ขยับพู่กัน เขียนลงบนรายงานฉบับนั้น 

 

 

“ให้ฝ่ายกลาโหมตรวจสอบเรื่องนี้ แล้วรายงานกลับหลังจากนี้อีกสามวัน” 

 

 

หรงจิงมองดูแล้วก็พยักหน้า เซียงฉือติดตามเขามานาน บันทึกเล็กๆ น้อยๆ ของเขานางก็จดจำได้ ทั้งยังเลียนแบบลายมือของหรงจิงอย่างไม่ใส่ใจ บางครั้งเพราะหรงจิงตรวจอ่านไม่ทัน บางทีก็เพื่อให้เขาได้อ่านสบายขึ้น 

 

 

สำหรับคนทั่วไปการเลียนแบบลายมือฮ่องเต้ถือว่ามีเจตนาจะก่อกบฏ แต่สำหรับเซียงฉือถือเป็นกรณียกเว้น 

 

 

เมื่อหรงจิงเห็นลายมือเซียงฉือที่นับวันจะเหมือนของเขาเข้าทุกที จึงพูดอย่างนึกสนุก 

 

 

“ลายมือเจ้ายิ่งเหมือนเรามากขึ้นทุกที เจ้ามีความตั้งใจดีจริง แต่ถ้าถูกคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าเราคงจะต้องวุ่นวายใจอีกแล้ว” 

 

 

คำพูดหรงจิงเหมือนมีความหมาย เซียงฉือก้มหน้าพูดว่า 

 

 

“หม่อมฉันเบาปัญญาเรียนมาได้เพียงสามส่วนเท่านั้นเพคะ สำหรับพวกขุนศึกที่รู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัวคงพอไหว แต่คงไม่อาจหลอกลวงขุนนางที่เต็มไปด้วยวิชาความรู้ได้ หม่อมฉันรู้ความสามารถของตัวเองดีเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังเซียงฉือพูดยิ้มๆ เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดอย่างยิ่ง นางรู้ถึงความกังวลของเขา 

 

 

เขาเพียงพูดเกริ่นเล็กน้อย นางก็สามารถเข้าใจความหมายได้แล้ว 

 

 

เซียงฉือก้มหน้าน้อยๆ พูดต่อว่า 

 

 

“จากนี้ไปนอกจากอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์แล้ว หม่อมฉันจะไม่เลียนแบบลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทอีกแล้วเพคะ เรื่องนี้ขอเพียงฟ้าดินรู้เห็น ฝ่าบาททรงทราบก็พอแล้วเพคะ” 

 

 

หรงจิงพยักหน้า นี่คือความต้องการของเขา ถ้าหากอวิ๋นเซียงฉือชำนาญลายมือเขายิ่งขึ้นและสามารถเขียนได้อย่างไม่มีช่องโหว่แล้วละก็ ถึงตอนนี้จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ต่อไปภายหน้าเล่า 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือได้เป็นพระชายาแล้ว หากวันหน้าให้กำเนิดพระโอรส วันใดที่หรงจิงจากไป นางจะไม่แก้ไขพระราชโองการตามอำเภอใจหรอกหรือ 

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดเป็นความสงสัยกับคนที่คอยจ้องหาโอกาส 

 

 

หรงจิงตบไหล่เซียงฉือ เห็นนางจัดการข้อราชการอย่างอดทน ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก 

 

 

“ฝ่าบาททอดพระเนตรสิเพคะว่าแบบนี้ใช้ได้หรือไม่” 

 

 

เซียงฉือเปิดรายงานตรงหน้าที่แก้ไขแล้วเล็กน้อย ซึ่งส่วนมากเป็นการดึงเวลาของข้อราชการนั้นออกไปอีก ถ้าหากขุนนางเฒ่าพวกนั้นอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็สมควรเกษียณกลับบ้านเดิมไป 

 

 

หรงจิงพิจารณาแล้วเห็นล้วนเป็นเรื่องการระดมพลส่งไปปฏิบัติงานกับเรื่องจัดสรรเสบียงสิ่งของเบี้ยทหาร 

 

 

ซึ่งดูเหมือนเร่งด่วนมาก แต่เซียงฉือรู้ว่าเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาแจกจ่ายเสบียงและเบี้ยทหาร คิดว่าคงเป็นการหยั่งเชิงความคิดของหรงจิงจากพวกขุนนางพวกนั้น 

 

 

หากหรงจิงตอบกลับอย่างเห็นจริงจัง พวกเขาจะต้องฉวยโอกาสยึดวันเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากของหรงจิง แล้วรายงานชุดใหญ่ก็จะถูกส่งมายังตำหนักฉุนหวาเหมือนแต่ก่อน 

 

 

การลงเอยแบบนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเซียงฉือกับหรงจิงคาดหวัง ดังนั้นครั้งนี้หลังจากที่อวิ๋นเซียงฉือเห็นที่หรงจิงตอบกลับแล้วก็คล้อยตามความคิดของเขาไม่จัดการอะไร 

 

 

นางเขียนตอบเสร็จหรงจิงก็หยิกสะโพกนาง ยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“เจ้าเฉลียวฉลาดขึ้นทุกวัน ต่อไปก็มีโอรสน้อยให้ข้าสักคน จะต้องยิ่งฉลาดและน่ารักกว่านี้นะ” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วบังเกิดความตื่นเต้นขึ้น 

 

 

แล้วจึงค่อยพูดขึ้นหลังผ่อนคลายลงแล้วว่า 

 

 

“ฝ่ายในมีองค์หญิงหลายองค์ คิดว่าฝ่าบาทคงจะทรงโปรดพระธิดานะเพคะ แต่ทำไมฝ่าบาทจึงทรงลำเอียงไม่ให้หม่อมฉันมีพระธิดาสักองค์เพื่อให้ฝ่าบาทหลงรักเล่าเพคะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 631 สนทนาบนยอดเขาหิมะ 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือช่วยหรงจิงจัดการข้อราชการที่ควรทำให้เสร็จจนเรียบร้อยหรงจิงจึงได้เก็บใจที่พะวงอยู่กับงาน ลงได้ เขาสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีดำ หยิบเตาอังมือไปอันหนึ่งแล้วจูงอวิ๋นเซียงฉือเดินขึ้นยอดเขาหิมะ โดยมีซูกงกงกับบรรดาองครักษ์ติดตามไปช้าๆ ทิ้งระยะห่างประมาณสิบหมี่ 

 

 

เพื่อให้เซียงฉือกับหรงจิงมีพื้นที่เพียงพอ หรงจิงประคองเซียงฉือเดินไปตามทางขึ้นภูเขา ทั้งคู่เดินไปพลางคุยกันไปพลางตามอารมณ์ 

 

 

“หม่อมฉันเคยเห็นยอดเขาหิมะอวี้หนี่ว์จากในกำแพงพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น เมื่อใดที่หิมะตกก็จะมีหิมะชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่บนยอดเขา ส่วนชั้นของเมฆก็จะอยู่ข้างใต้พวกมัน เป็นเพราะมันอยู่บนพื้นที่สูงกว่าหรือไม่เพคะ” 

 

 

หรงจิงได้ยินแล้วก็หยุดฝีเท้าลง เขาจูงอวิ๋นเซียงฉือเดินออกไปทางด้านข้างแล้วพูดว่า 

 

 

“ความสูงที่ทางกรมโยธาวัดได้ก็ประมาณนั้น ตอนนั้นเราก็สนใจเรื่องนี้ จึงได้เรียกรวมเจ้าหน้าที่รังวัดและเขียนผังที่ฝีมือดีหลายคนทำผังจำลองทรายตามสภาพภูเขาแห่งนี้ เมื่อมองจากที่ไกลก็ไม่เห็นว่าจะพิเศษไปกว่าเทือกเขาอื่น แต่ต่อมามีคนพูดขึ้นว่าใต้พื้นดินนี้น่าจะเป็นภูเขาไฟ ทั้งยังมีบ่อน้ำร้อน ทำให้อุณหภูมิข้างบนและข้างล่างแตกต่างกันมากจึงทำให้เกิดเป็นภูมิทัศน์เช่นนี้” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือยิ้มเมื่อฟังจบ นางมองทัศนียภาพบนภูเขาแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งที่กังวลมานานแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีเพคะ ไม่ทราบว่าวันนี้ฝ่าบาทจะทรงไขข้อสงสัยให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

หรงจิงยื่นมือโอบแขนเซียงฉือประคองร่างนางไว้แล้วเดินขึ้นเขาต่อไป 

 

 

ยามหายใจออกปรากฏเป็นไอหมอกวงใหญ่อยู่เบื้องหน้า หรงจิงยิ้มพูดว่า 

 

 

“เรารออยู่ตลอดว่าเจ้าจะเอ่ยถามเราเมื่อไหร่ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้” 

 

 

เซียงฉือก้มหน้ารู้สึกอึดอัด หรงจิงกระชับแขนนางไว้พูดว่า 

 

 

“เราคิดว่าเจ้าจะถามตั้งแต่ตอนนั้นแล้วด้วยความอยากรู้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทนมาได้จนถึงวันนี้” 

 

 

คำพูดของหรงจิงทำให้เซียงฉือค่อยคลายความไม่แน่ใจมาตลอดลงได้บ้าง นางพูดเสียงเบาว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงทำการใดล้วนมีเจตนา หม่อมฉันเคยคิดว่าตนเองรู้จักฝ่าบาทดี แต่ไม่คิดว่าจะไม่สามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย ที่เงียบมาตลอดเป็นเพราะไม่อยากถูกฝ่าบาทหัวเราะเยาะเพคะ ทว่าระยะนี้ความสนใจใคร่รู้มีมากขึ้น อีกทั้งเวลาสามเดือนก็ใกล้จะถึงแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าเรื่องนี้จะไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีกเพคะ” 

 

 

หรงจิงเพียงยิ้มเมื่อได้ฟัง แล้วพยักหน้าน้อยๆ พูดขึ้นว่า 

 

 

“เซียงฉือ เจ้าสามารถเชื่อใจเราได้ซึ่งเจ้าก็ทำมาโดยตลอด ส่วนที่เจ้าเพียงเงียบไว้ไม่สืบเสาะ ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ แต่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ยืนมองลงไปจากบนยอดเขาหิมะ ดังนั้นเจ้าจึงเข้าไม่ถึงความคิดของเรา” 

 

 

เซียงฉือรู้สึกแปลกใจในคำพูดหรงจิงแต่ไม่พูดอะไร หรงจิงวางเตาอังมือลงบนมือของเซียงฉือ แล้วยังคงปีนขึ้นไปต่อ 

 

 

ข้างบนลมค่อนข้างแรง หรงจิงสวมหมวกให้เซียงฉือแล้วประคองใบหน้าน้อยๆ ของนาง หันหลังให้กับผู้คนแล้วประทับจูบลงแรงๆ 

 

 

เซียงฉือทั้งโกรธและอาย ได้แต่หน้าแดงถูกหรงจิงฉุดเดินขึ้นหน้าต่อไป 

 

 

หรงจิงจูงมือเซียงฉือ อารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉุดมือนางไว้ถามขึ้นอย่างอดทนว่า 

 

 

“ยืนอยู่บนยอดเขาแบบนี้ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” 

 

 

เส้นทางบนภูเขาถูกถางถางไว้แล้วจึงปีนป่ายได้สะดวก เซียงฉือฝึกยุทธกับหรงจิงได้ไม่นานแต่พลังยังคงใช้ได้ ถึงจะหายใจหอบอยู่บ้างแต่ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย 

 

 

หรงจิงประคองนาง ชี้ชวนให้ดูสิ่งปลูกสร้างภายในกำแพงพระราชวังต้องห้ามด้านล่างภูเขา พูดว่า 

 

 

“ความรุ่งโรจน์ของพระราชวังต้องห้ามมองไม่เห็นเมื่อยืนอยู่ภายในกำแพง ตลอดชีวิตของเราไม่สามารถปลีกตัวออกจากสถานที่นั้นได้มากนัก ดังนั้นเราจึงไม่รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ในสถานที่ใหญ่โตแค่ไหน ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่ยืนอยู่ด้านนอกพระราชวัง พวกเขาจะรู้สึกตลอดไปว่าที่นั่นเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่โชติช่วงที่สุดในโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงปรารถนาจะเข้ามา ส่วนเรากลับคิดอยากจะออกไป”