ตอนที่ 194 พี่รองผู้น่าสงสาร

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ข้างๆ กอหญ้านั้นยังมีเศษอาหารเน่าหลงเหลืออยู่ เป็นของที่ก่อนนี้ฮว๋ายอันน้อยเก็บเอาไว้ให้น้องสาว 

 

 

เทพธิดาเคลื่อนย้ายกอหญ้าเหล่านั้นออกไป เผยให้เห็นแผ่นไม้ที่ปิดอยู่ด้านล่าง นางกล่าวสำทับอีกว่า ” เขาอยู่ข้างล่างนั่น เจ้าต้องลงไปดูด้วยตนเอง “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้รีบร้อนเคลื่อนไหว เพียงถามไถ่ออกไปประโยคหนึ่ง ” เขาอยู่ในนั้นมาตลอดหรือ? “ 

 

 

” อยู่ในนั้นมาตลอด ” ดวงจิตของเทพธิดากล่าว จากนั้นนางก็เปิดแผ่นไม้ออกมา เผยให้เห็นทางลับ 

 

 

เมื่อมองลงไปก็เห็นแต่เพียงบันไดไม้ที่ลึกลงไป ปากทางคับแคบ เพียงสามารถให้คนๆ เดียวลอดผ่าน 

 

 

ด้านในมีแต่ความมืดมิด แม้จะบอกว่าเป็นห้องลับ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่าเป็นคุกใต้ดินเสียมากกว่า ภายในยังมีกลิ่นอับชื้นลอยออกมา 

 

 

นับตั้งแต่ที่พี่รองหายสาบสูญจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีครึ่งเดือนแล้ว 

 

 

ต่อให้มีให้กินให้ดื่ม คนธรรมดาที่ถูกกักขังอยู่ในคุกใต้ดินนานถึงพียงนี้ คิดดูแล้วนับว่าไม่ง่ายดาย อย่าว่าแต่พี่รองอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว 

 

 

” เจ้าจะไม่ลงไปดูหรือ? ” ดวงจิตของเทพธิดาเห็นนางรีรอไม่ยอมขยับ ก็ถามขึ้นมา 

 

 

” ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวหรอกหรือ? ทำไมพอรู้ว่าเขาอยู่ในนี้ ก็ไม่ตื่นเต้นไม่ได้ยินดี? “ 

 

 

 

 

 

สองประโยคนี้ นางถามออกไปตรงๆ 

 

 

 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าเผยความเคร่งเครียดออกมา ” ไม่ได้พบกันมานาน ในใจของข้าตื่นเต้นอยู่มาก หวาดกลัวว่าร่างกายและจิตใจของเขาจะได้รับบาดแผล” 

 

 

ดวงจิตของเทพธิดายิ้มบางๆ ” เจ้าวางใจเถอะ เขาสบายดี “ 

 

 

ว่าแล้ว ภายใต้การประคับประคองหนุนของวิญญาณแค้นทั้งหลาย นางก็ลอยลงไปในทางลับช้าๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิใช่พวกไร้เดียงสา แต่ไหนแต่ไรมาก็มิใช่พวกที่หลงเชื่อคนโดยง่าย อย่าว่าแต่ที่ตรงหน้าก็เป็นเพียงเทพที่เหลือเพียงดวงจิตองค์หนึ่ง 

 

 

ถึงจะพูดว่าเป็นเทพ แต่ว่าก็ออกจะประหลาดอยู่บ้าง 

 

 

รอจนดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นลงไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วถึงได้ค่อยติดตามลงไป 

 

 

พอก้าวเท้าลงไปข้างหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นจากใต้ฝ่าเท้า 

 

 

เจ้าไก่ขนดำฟูและวิญญาณทมิฬต่างก็ติดตามนางไป สหายน้อบติงต๋องนับตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ยังรักษาความตื่นตัวเอาไว้ที่ระดับสูงสุด สองตาไก่กุ๊กของมัยจดจ้องอยู่ที่ดวงจิตของเทพธิดาอยู่ตลอด 

 

 

บันไดไม้นี้ยาวมาก ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก เจ้าไก่ขนดำฟูเฝ้าสุสานของเย่วฮูหยินมาแล้วสิบปี มันคุ้นเคยกับกลิ่นไอของหลุมฝังศพเป็นอย่างดี 

 

 

มันกล้ารับประกันเลยว่าใต้บันไดนี้ก็คือสุสานแห่งหนึ่ง! 

 

 

พี่ชายของพี่สาวตัวน้อยอยู่ในสุสานนี้หรือ? 

 

 

เช่นนั้นมิกลายเป็นคนตายไปแล้วหรือ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้สึกได้ ไม่เพียงแต่รู้สึกถึงไอหยินที่เย็นเฉียบในสุสาน แต่นางยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอีกอย่างหนึ่ง ที่สร้างผลสะท้อนให้กับหยกสรรพชีวิตที่ผนึกอยู่ในดวงจิตของนาง 

 

 

นางเดินตามดวงจิตของเทพธิดาลงไปนานเกือบหนึ่งชั่วก้านธูป ถึงได้ลงไปจนถึงปลายทาง 

 

 

ที่ด้านล่างมืดมิด ในอากาศมีแต่กลิ่นอับชื้นของเชื้อรา และกลิ่นเน่าของซากสิ่งมีชีวิตลอยมาจางๆ 

 

 

นางหรี่ตาลง มองออกไปท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่อาจเห็นนิ้วมือทั้งห้านี้ 

 

 

ท่ามกลางความมืด ดวงจิตของเทพธิดาหันกลับมามองนางครั้งหนึ่ง เปิดเผยกิเลสที่ถูกบดบังเอาไว้ออกมา เป็นความต้องการที่แม้แต่ความมืดมิดอย่างที่สุดก็ยังไม่อาจจะซุกซ่อนเอาไว้ได้ 

 

 

นางเปิดปากขึ้น ลิ้นของนางถึงกับเป็นลิ้นของงู แทบจะกวาดไปทั่วใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรแดงฉานดั่งดวงไฟคู่นั้นวาววับไปจนถึงนัยตา 

 

 

” ซัววาลาลา—” ทันใดนั้น ก็เห็นสหายติ๊งต๊องตีปีกทั้งสองอย่างรวดเร็ว จนเกิดประกายไฟสีทองออกมา 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียงเปลวไฟสีทองนั้นก็สกัดปลายลิ้นของเทพธิดาเอาไว้ แสงเพลิงที่ร้อนระอุทำให้นางต้องม้วนลิ้นกลับไปในพริบตา 

 

 

ดวงวิญญาณอาฆาตที่รายล้อมนางอยู่ก็พากันไปหลบอยู่ที่ด้านหลังจนหมด ด้วยความหวาดเกรงว่าเพลิงนั้นจะเผาผลาญพวกมันไปด้วย 

 

 

ติ๊งต๊องสบัดปีกอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันราวกับคบเพลิงมีชีวิตที่สว่างจ้าด้ามหนึ่ง 

 

 

ดูท่าอีกหน่อยมันคงจะต้องกินพวกเนื้องูให้มากหน่อยแล้ว ไฟจากท่าใหม่นี้ใช้ได้สะดวกดีจริงๆ 

 

 

ดูเอาสิ ขนาดว่าแผดเผาจนปีกของตนเองลุกไหม้ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกได้ว่าในร่างกายยังมีพลังอัดแน่นอยู่อีกจำนวนมากด้วยซ้ำ 

 

 

วิญญาณทมิฬถูกสะเก็ดไฟเล็กๆ นั้นกระเด็นเข้าใส่จนสมองของมันชักจะร้อนวูบวาบขึ้นมา มันจึงรีบหลบเข้าไปในเงาของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว 

 

 

ประกายเพลิงสีทองทำให้ทั่วทั้งบริเวณสว่างวาบขึ้นมาในทันที ตู๋กูซิงหลันที่ดวงตาเคยชินอยู่กับความมืด พอจู่ๆ ก็ตกอยู่ในความสว่างจ้า ทำเอาดวงตาของนางเกือบจะบอดไป 

 

 

นางหรี่ตาลงในทันที หลังจากที่หายมึนงงแล้ว จีงได้มองเห็นทั่วทั้งบริเวณใต้ดินของอารามแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน 

 

 

ที่ประจักษ์แก่ดวงตาของนางในยามนี้ก็คือกองกระดูกขาวโพลน 

 

 

โครงกระดูกมนุษย์! 

 

 

ตรงนั้นกอง ตรงนี้กอง นับไปนับมาอย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ร้อยกว่าร่าง ดูจากสภาพแล้วก็สามารถจินตนาการได้ถึงความทุกข์ทรมานและหวาดกลัวก่อนตาย 

 

 

ยังมีกระดูกบางส่วนที่กลายเป็นสีดำ บนนั้นมีตัวหนอนมากมายคืบคลานกันยุบยับไปหมด 

 

 

หากว่าเป็นคนปกติได้มาเห็นภาพเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นลมล้มลงไปในทันทีแล้ว 

 

 

แต่ว่าตู๋กูซิงหลันเคยได้เห็นภาพที่ยิ่งกว่านี้มาแล้ว ในโลกก่อนตอนที่อายุได้สิบขวบนั้น ท่านอาจารย์เคยโยนนางลงไปยังสุสานหมื่นทหารของสมัยจ้านกว๋อ ที่นั่นนับว่าน่ากลัวว่าที่นี่มากนัก 

 

 

บนกองกระดูกมนุษย์ ยังมีโครงกระดูกของกระรอกและกระต่ายปะปนอยู่ด้วย บ้างก็เริ่มจะเน่าแล้ว บ้างก็ยังคงสดใหม่อยู่ 

 

 

เลือดของพวกมันยังหยดนอง ภาพที่เห็นพาให้คนรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างยิ่ง 

 

 

ตู๋กซิงหลันได้แต่ขมวดคิ้ว นางกวาดตามองคร่าวๆ รอบหนึ่งก็เห็นว่าในกองซากกระต่ายนั้น มีร่างของบุรุษชุดขาวอยู่ 

 

 

เขานั่งอยู่ท่ามกลางซากกระต่าย หลังพิงอยู่กับก้อนหินก้อนหนึ่ง ชุดขาวบนร่างมีเลือดเปรอะเปื้อน เลือดพวกนั้นแห้งกรังไปแล้ว ทั้งยังเริ่มจะขึ้นรา 

 

 

เส้นผมยาวปรกอยู่บนใบหน้าอย่างยุ่งเหยิง คงจะไม่ได้ล้างหน้ามานานมากแล้ว ใบหน้ามีหนวดเคราครึ้ม แต่เพียงหัวคิ้วยังดูงดงามอย่างที่สุด 

 

 

เขาหลับตาอยู่ ขนตางามงอนนั้นถึงกับยาวกว่าสตรีเสียอีก หางตาของเขากระตุกน้อยๆ เขากำลังหลับอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย 

 

 

หือ ท่ามกลางกองกระดูกและซากเหล่านี้ เขาคืออย่างเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ 

 

 

สองมือของเขาถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก บนเอวก็มีโซ่หนาขนาดข้อมืออยู่อีกเส้น ถูกพันธนาการเอาไว้ประหนึ่งว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ถูกทารุณอย่างน่าสงสาร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้พบพี่รองของตนเองมาก่อน แต่ว่าตอนที่อยู่ในจวนตระกูลตู๋กู พี่ใหญ่เคยนำภาพของคนในครอบครัวทั้งหมดมาให้ดู นั้นเป็นผลงานของช่างศิลป์ที่มีฝีมือดีที่สุดในเมืองหลวง 

 

 

บนภาพนั้นมีท่านปู่ พี่ใหญ่ พี่รอง และก็นาง 

 

 

ถึงแม้ว่าภาพนั้นจะเทียบไม่ได้กับรูปถ่ายของยุคปัจจุบัน แต่ว่าฝีมือของช่างศิลป์ผู้นั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ถึงกับว่าได้คล้ายคนจริงอยู่ถึงเก้าส่วน 

 

 

ดังนั้น ตอนนี้พอได้เห็นบุรุษชุดขาวผู้นั้น ตู๋กูซิงหลันก็จดจำเขาได้ในทันที 

 

 

เป็นพี่รองผู้ชื่นชอบสวมใส่ชุดสีขาวของนางจริงๆ 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงจิตของเทพธิดาที่อยู่ใกล้ๆ ค่อยกล่าวออกมาว่า ” เจ้าเห็นชัดแล้วใช่ไหม เป็นคนในครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่? “ 

 

 

เนื่องเพราะว่าเมื่อครู่ปลายลิ้นถูกไฟลวกเข้าจนพอง ยามนี้พอพูดออกมาจึงไม่ชัดอยู่บ้าง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน ” ใช่แล้ว “ 

 

 

นางมิได้พุ่งเข้าไปที่ข้างกายพี่รองในทันที แต่กลับหันไปถามดวงจิตของเทพธิดา ” ทำไมเขาจึงมีสภาพเช่นนี้? “ 

 

 

ดวงเนตรสีชาดทั้งสองของเทพธิดาทอประกายกระหายเลือดออกมา นางกล่าวว่า ” เจ้ามีบุญคุณกับข้า ข้านำเจ้ามาเจอญาติ ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุณคุณนี้ให้แก่เจ้าแล้ว “ 

 

 

นางมิได้ตอบคำถามของตู๋กูซิงหลัน แต่กับพูดไปอีกว่า ” ต่อไป ให้ข้าได้แนะนำตัวสักหน่อย ข้าคือชือหลี เทพธิดาประจำลำน้ำลี่เหอ เฝ้าปกป้องลำน้ำลี่เหอมานานถึงสามพันปีแล้ว เดิมทีข้าได้รับควันธูปบูชาจากผู้คน จึงได้อยู่อย่างนิรันด์ไม่มีดับสูญ “ 

 

 

” มีอยู่ปีหนึ่งในฤดูหนาว หนุ่มน้อยชุดขาวผู้หนึ่งตกลงไปในแม่น้ำลี่เหอ ข้าได้ชีวิตเขาเอาไว้ เขาจึงมักจะมาอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอนี้กับข้า ต่อมาพอเขาเติบโตขึ้น ก็บอกว่าจะสู่ขอข้าแต่งงาน จะเฝ้าแม่น้ำร่วมกับข้าไปจวบจนชั่วชีวิต ข้าก็หลงเชื่อ “ 

 

 

พอพูดมาถึงตรงนี้ นางก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ” เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ กลับเชื่อในถ้อยคำของมนุษย์ธรรมดา ช่างน่าหัวเราะนัก “