ตอนที่ 193 จิตวิญญาณที่หลงเหลือของเทพ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เงาของสตรีผู้หนึ่ง ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี ทุกครั้งที่นางก้าวเดิน ไอแค้นบนร่างก็เพิ่มพูนขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

ร่างที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอถูกกระตุ้นปลุกเร้า ทั้งๆ ที่พึ่งจะสงบลงไปได้ครู่เดียว ก็กระสับกระส่ายขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

พอนางขยับเข้ามาใกล้ ถึงได้เห็นว่าที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวนางนั้นก็คือวิญญาณตายโหงนับร้อยตน วิญญาณแค้นเหล่านั้นหมุนวนอยู่รอบตัวนาง แต่สายตาเย็นยะเยือกของพวกมันล้วนจดจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

สตรีผู้นั้นหยุดห่างไปจากนางสามจั้ง 

 

 

ร่างของนางอ่อนแออย่างยิ่ง ไม่มีกายหยาบ มีแต่เพียงดวงจิตขุ่นมัวที่ฝืนปรากฎร่างเงาขึ้นมาเท่านั้น 

 

 

นางมีเส้นผมยาวที่แดงดุจแสงเพลิง และดวงเนตรสีชาดแดงก่ำดุจลูกไฟคู่หนึ่ง ร่างท่อนบนนั้นถูกเส้นผมยาวปิดบังเอาไว้จนหมด เพียงเผยให้เห็นแต่องค์เอวที่บอบบางเท่านั้น 

 

 

ร่างครึ่งล่างเป็นหางที่ยาวเฟื้อยของงูเขียว 

 

 

คล้ายกับว่านางไม่อาจเดินเหิน เพียงอาศัยกองทัพวิญญาณแค้นนับร้อยเหล่านั้นเป็นดั่งเหล่าทาสพานางเคลื่อนไปในความมืดมิดของราตรี 

 

 

” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ กุ๊ก กุ๊ก กรู้ ” พอติ๊งต๊องเห็นนางก็กระโตกกระตากขึ้นมาในทันที 

 

 

พี่สาวตัวน้อย เป็นนาง ตอนอยู่ในอารามเทพธิดานางกลืนกินวิญญาณแค้นเข้าไปมากมาย ทั้งยังคิดจะกินเฮียไก่อย่างข้าด้วย! 

 

 

มันตีปีกวิ่งวนไปรอบๆ ตัวตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ตะกุยเท้าลงบนพื้นด้วยความแตกตื่นวุ่นวายไปหมด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคว้าคอของเจ้าไก่เอาไว้ ค่อยๆ ทำให้มันสงบลง วันนี้เจ้าติ๊งต๊องอยู่ๆ ก็แสดงความสามารถแปลกใหม่ออกมา นางเกรงว่ามันจะควบคุมตนเองไม่ได้ก่อเรื่องขึ้นมา 

 

 

ร่องรอยของพี่รองยังไม่ทันได้สืบหา นางไม่อยากจะทำให้บางสิ่งรู้ตัวมากเกินไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคว้าเจ้าติ๊งต๊องเอาไว้แล้ว ก็หันไปมองดูสตรีที่มีร่างเป็นงูอีกครั้ง 

 

 

นางงดงามอย่างยิ่ง งดงามราวกับว่าเป็นทายาทของเทพหนี่วาที่ออกมาจากแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เพียงแต่จิตวิญญาณของเทพอ่อนล้า ประกอบกับดวงหน้าของนางซีดขาว รอบกายรายล้อมไปด้วยจิตวิญญาณแค้น เพียงมองแค่แวบเดียวก็ทำให้คนทั้งรู้สึกประหลาดและหวาดหวั่นใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้เคลื่อนไหว สตรีผู้นี้ถึงแม้ว่าจะมีวิญญาณแค้นมากมายรายล้อม แต่ในร่างยังมีแสงทองอยู่จางๆ 

 

 

มีแต่ได้รับการกราบไหว้บูชามานับร้อยนับพันปี จึงจะสามารถบำเพ็ญเพียรจนเกิดร่างทิพย์ ถึงแม้ว่านางจะสูญเสียกายหยาบไปแล้ว แต่เพราะว่าเคยได้รับควันธูปบูชามานานหลายปี ภายใต้แสงทองคุ้มครอง จึงทำให้ยังดวงจิตหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง 

 

 

นางมองดูตู๋กูซิงหลันอยู่เนิ่นนาน คล้ายกับว่ากำลังต้องการยืนยันในแน่ใจ วิญญาณแค้นที่รายล้อมอยู่ก็พากันเคลื่อนไหวขึ้นมา เห็นนางเอ่ยริมฝีปากส่งเสียงเพียงเบาๆ พวกมันก็พากันสงบเสงี่ยมลงในทันที แต่ละตนนอบน้อมดั่งข้าทาส 

 

 

ร่างของนางทอประกายแสงออกมา วิญญาณคนตายเท่านั้นก็ไม่อาจขัดขืนแรงกดดันจากพลังอำนาจของเทพได้ ถึงแม้พลังที่กดดันอยู่นี้จะเทียบไม่ได้แม้สักหนึ่งในพันของแต่ก่อน แต่เมื่อนำมาใช้กับพวกมันก็ถือว่าเกินพอ 

 

 

พอเหล่าวิญญาณแค้นสงบเงียบลง นางก็เก็บพลังของเทพนั้นคืนกลับไป มองไปยังตู๋กูซิงหลัน ในที่สุดก็กล่าวกับนางว่า 

 

 

” ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า “ 

 

 

ไก่ขนดำฟู ” กุ๊ก กุ๊ก กรู้? ” ขอบคุณรึ? วิธีที่จะขอบคุณพี่สาวตัวน้อยคือการกินเฮียที่นางรักเอ็นดูที่สุดหรือ? 

 

 

เห็นไหมเล่าว่ามันเกิดมาหล่อเหลางดงามเพียงไร? กระทั่งเหล่าเทพที่สูงส่งก็ยังก็ยังคำนึงหาไม่รู้ลืม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูนาง ก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง ” ไม่ต้องเกรงใจ “ 

 

 

นางก็แค่ช่วยประคองรูปปั้นเทพธิดาให้ตั้งตรง ปัดกวาดใยแมงมุมและเขม่าฝุ่นออกไปให้ ไม่จำเป็นต้องให้เทพธิดามาขอบคุณโดยเฉพาะ 

 

 

เทพธิดาที่ผู้คนเคยเคารพบูชา พอถึงคราตกต่ำกลายเป็นวิญญาณ ก็มิได้รับความยำเกรงอย่างเหล่าเทพเลยสักนิด พูดไปแล้วก็เจ็บปวดแทน 

 

 

นางก็แค่เกิดความสงสารขึ้นมาเท่านั้น 

 

 

” ผู้คนบนโลกกล่าวว่า ติดค้างบุญคุณพึงตอบแทน ข้าติดค้างบุญคุณจากเจ้า เจ้าไม่ต้องการการตอบแทนหรือ? ” สตรีผมแดงผู้นั้นกล่าวต่อไป น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แผ่วเบาเสียจนน่ากลัว ราวกับดวงวิญญาณที่กระซิบอยู่ข้างหู 

 

 

ก็เพราะว่ารูปปั้นของนางได้รับการตั้งตรงขึ้นใหม่ สิ่งสกปรกถูกขจัดออกไป ดวงจิตที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของนางถึงได้รับการปลดปล่อย สามารถออกจากอารามมาได้ 

 

 

ที่นางมาขอบคุณก็ย่อมสมควรอยู่แล้ว 

 

 

” เพียงแค่งานออกแรงง่ายๆ เท่านั้น ” ตู๋กูซิงหลันตอบ นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบกลับไปอีกว่า ” หากว่าท่านเทพธิดาคิดจะตอบแทนข้า จะสามารถบอกได้หรือไม่ว่า คุณชายรองตระกูลตู๋กู ตู๋กูเจวี๋ยยามนี้อยู่ที่ใด “ 

 

 

นางเป็นถึงเทพธิดา ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ดวงจิต แต่หากจะหาร่องรอยของคนผ่านทาง ตามเหตุผลแล้วไม่ใช่เรื่องยาก 

 

 

พอได้ยินชื่อตู๋กูเจวี๋ยสามคำ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนแปลงไป 

 

 

ครู่ต่อมาก็ถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ” ผู้คนในโลกวอนขอเงินทอง วอนขออำนาจ วอนขอฐานะราชศักดิ์และความรุ่งเรืองชั่วชีวิต แต่เจ้ากลับขอเพียงแค่ร่องรอยของคนผู้หนึ่งหรือ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตอบออกไปโดยมิได้ครุ่นคิดใดๆ ทั้งสิ้น “นั่นเป็นพี่ชายของข้า เขาสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด “ 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะรักเงินทอง แต่ก็รักคนในครอบครัวยิ่งกว่า 

 

 

ในชาติก่อนนางมีแต่เพียงอาจารย์และเหล่าลูกสมุน ไม่มีญาติมิตรสายเลือดเดียวกัน ชาตินี้สวรรค์ได้ชดเชยให้กับนางแล้ว ย่อมต้องทนุถนอมเอาไว้ให้ดี 

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นก็กล่าวกับนางว่า ” เจ้าตามข้ามา “ 

 

 

พูดแล้ว นางก็หันร่างกลับไป ภายใต้การหนุนประคองของเหล่าวิญญาณแค้น ดวงจิตที่ล่องลอยอยู่ในอากาศก็เลือนหายไปทางทิศทางของอารามเทพธิดาที่ผุพัง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่ง เจ้าไก่ขนดำฟูก็ขวางนางเอาไว้ ” กุ๊ก กุ๊ก กรู้! “ 

 

 

หากว่าเทพธิดาผู้นั้นเป็นเทพที่ไม่ดีละ? พี่สาวตัวน้อยท่านจะหลงเชื่อง่ายๆ ไม่ได้นะ! 

 

 

เพราะมันได้เห็นมากับตาแล้วจริงๆ ว่าเทพธิดาผู้นั้นกลืนกินดวงวิญญาณแค้นลงไปราวกับเสือหิวโหยและหมาป่าโหดเ**้ยม น่ากลัวยิ่งกว่ายามที่มันจับพวกหนอนแมลงกินมากนัก 

 

 

เห็นนางสงบนิ่งเงียบเชียบเช่นนั้น ที่จริงแล้วเปี่ยมไปด้วยไอแค้น! นั้นมิใช่ไอแค้นจากดวงจิตของวิญญาณตายโหงที่รายล้อมอยู่รอบกาย แต่ว่ามาจากตัวนางเอง! 

 

 

เป็นถึงเทพธิดาอันศักดิ์สิทธ์ิ กลับมีไอแค้นอยู่เช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง 

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็หรี่ตากลมๆ ของมันลง ระดับมันแล้วมีวิญญาณภูติผีปีศาจใดไม่เคยเจอมาบ้าง แต่สิ่งที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านี้กลับเป็นครั้งแรก ควรจะพูดอย่างไรดี 

 

 

เป็นความอึดอัดคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

หรืออาจบางทีเป็นเพราะวิญญาณแค้นที่ถูกนางควบคุมเอาไว้มีมากจนเกินไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหยุดเท้าเอาไว้ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นดวงจิตของเทพธิดาล่องลอยออกไปยิ่งทียิ่งไกล นางก็ติดตามไปในทันที 

 

 

นางกลับมาที่อารามเทพธิดาจริงๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ก็เห็นว่ายันต์ที่นางผนึกเอาไว้รอบอารามเทพธิดาทั้งสี่ทิศนั้นสลายไปไม่เหลืออยู่แล้ว สายลมค่ำคืนพัดโหม ต้นไม้เก่าแก่ภายในวัดโยกคลอนจนส่งเสียงครืดคราด 

 

 

ตลอดทางที่มาดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นมิได้กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น 

 

 

นางถูกเหล่าวิญญาณแค้นหนุนนำมาจนถึงเบื้องหน้ารูปปั้นของนาง 

 

 

รูปปั้นนั้นดูสะอาดสะอ้านกว่าหลายวันก่อนมากทีเดียว ดวงหน้าของเทพธิดายังคงมีเค้าของความเมตตา 

 

 

รูปปั้น คือที่สถิตของดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดา 

 

 

เมื่ออยู่ใกล้กับรูปปั้น ดวงจิตของนางก็เปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้นมา 

 

 

ปลายหางงูสีเขียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นขายาวๆ ของมนุษย์ ดวงวิญญาณแค้นนับร้อยถูกนางขับไล่ไปเฝ้าอยู่ด้านนอกอาราม เหลือเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังรายล้อมนางอยู่ 

 

 

ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็เดินเข้าไปข้างใน 

 

 

ดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นค่อยกล่าวว่า ” วันที่แม่น้ำลี่เหอหลากล้น มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งใช้ร่างขวางเอาไว้ จึงถูกกระแสน้ำพัดพาไป เขาเป็นผู้มีเมตตามีดวงชะตายิ่งใหญ่ ฟ้าดินปกป้องคุ้มครอง เต่ายักษ์ในแม่น้ำตัวหนึ่ง จึงพาเขามาซ่อนเอาไว้ในอาราม “ 

 

 

วิญญาณทมิฬและติ๊งต๊องต่างก็มองไปรอบๆ อารามพร้อมๆ กัน ว่ากันตามจริง อารามเทพธิดาแห่งนี้แม้จะมีกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ก็ไม่นับว่าสามารถซ่อนผู้คนได้แต่อย่างใด 

 

 

ดวงจิตเทพธิดากล่าวจบแล้ว พอเห็นนางขยับโต๊ะหมู่บูชาที่ตรงหน้าก็ปรากฎหลุมใหญ่ขึ้นมา ” ตอนที่ก่อสร้างอารามขึ้นมานั้น มีการสร้างห้องลับแห่งหนึ่งเอาไว้ที่ใต้ฐานราก มีอยู่วันหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ลงไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเจ้าอยู่สามส่วน และก็ยังแซ่ตู๋กูด้วย “