บทที่ 291 ฟื้นฟูระดับการบ่มเพาะ
ในช่วงเวลาชีวิตที่แล้วซึ่งมีหลายสิ่งมากมายเกิดขึ้นกับหลิงตู้ฉิง
ในช่วงเวลานั้นเขาเองก็ไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย
แต่หลังจากที่ได้ฝึกฝนเต๋าตู้ฉิง เขาก็เริ่มเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาเข้าใจ คนที่เขารักก็ได้จากไปแล้ว
แม้ว่าจะมีวิธีการบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถพบกับบุคคลที่เขานึกถึงได้ แต่มันก็ยังคงไม่สามารถทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างเช่นคนปกติ
หลิงตู้ฉิงยังคงรู้สึกผิดหวังและเสียใจอยู่ลึก ๆ ด้วยประสบการณ์ที่เขาได้รับมาเช่นนี้ เขาจึงพยายามทะนุถนอมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นอย่างดีที่สุด
และแต่แล้วในที่สุดวิชาที่มี่ไลได้รับการฝึกฝน ซึ่งก็คือวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยน
มันทำให้เขาได้พบกับกลิ่นอายของตัวตนบุคคลที่ในอดีตมีความสำคัญกับเขา ซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเขาปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ส่งผลให้พลังวิญญาณที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ได้ถูกดูดเข้าไปในห้องของมี่ไลอย่างรุนแรง และเนื่องจากที่สวนด้านหลังนั้นได้มีการวางค่ายกลสำหรับรวบรวมพลังวิญญาณอยู่ด้วยกระแสพลังวิญญาณที่ผันผวนอยู่จึงไหลแรงเป็นพิเศษ
เหตุการณ์นี้ทำให้กระแสพลังวิญญาณในเมืองเจินไห่เริ่มผันผวนขึ้นอีกครั้ง ในตอนแรกเมื่อหลายคนเห็นว่าพลังวิญญาณในหมู่ตึกหยูอี่หยุดพุ่งพล่าน พวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปเยือนหลิงตู้ฉิง
ตัวอย่างเช่น เสี่ยวหยูฉิงที่เพิ่งจากไปก็อยู่ในห้วงความคิดนี้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขายังไม่ทันได้เดินกลับไปที่หมู่ตึกหยูอี่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขารู้ว่าเรื่องต่าง ๆ ยังไม่จบ
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความผันผวนของกระแสพลังวิญญาณ แต่เมื่อพวกนางสัมผัสได้ว่าพลังของค่ายกลกระบี่ที่เปิดใช้งานอยู่ได้จางหายไป พวกนางก็รีบเดินเข้าไปด้านในอาคารและนำแหวนมิติและสมบัติทั้งหมดที่พวกนางรวบรวมได้ไปส่งให้กับหลิวเฟ่ยเฟ่ยทันที “นายหญิงหลิว นี่คือสิ่งที่คนเหล่านั้นทิ้งไว้หลังจากที่พวกเขาตาย”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยพยักหน้าและพูดว่า “วางไว้ตรงนั้นก่อน เมื่อกระแสพลังวิญญาณสงบลงแล้ว พวกเจ้าสามารถผลัดกันฝึกฝนในสวนด้านหลังได้”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยที่เห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งสองสามารถเชื่อใจมอบหมายให้ทำเรื่องต่าง ๆ ได้ นางจึงมอบรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับพวกนางเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
เด็กน้อยทั้งสองในขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของพวกนางยังคงอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณ ดังนั้นการได้ฝึกฝนภายใต้ค่ายกลผันแปรกระแสวิญญาณ ระดับการบ่มเพาะของพวกนางรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมากจนเรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดก็ไม่ผิด
“ขอบคุณ นายหญิงหลิว!” หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวรีบพูดด้วยแววตาซาบซึ้ง
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าออกไปรับหน้าแขกที่กำลังจะมาก่อน ตอนนี้นายท่านของพวกเจ้ายังคงยุ่งอยู่ ฉะนั้นเราจะยังไม่รับแขกคนไหนไปอีกสักพัก” หลิวเฟ่ยเฟ่ยพูดสั่งขึ้นด้วยความเอ็นดูเด็กทั้งสอง
หลังจากส่งเด็กสาวทั้งสองออกไป หลิวเฟ่ยเฟ่ยก็มองไปที่ห้องของมี่ไลด้วยความประหลาดใจ นางรู้สึกสับสนว่าหลิงตู้ฉิงกำลังทำอะไรอยู่ถึงทำให้เกิดความปั่นป่วนในครั้งนี้
ซึ่งกระแสพลังวิญญาณที่ผันผวนอยู่ในตอนนี้มันมหาศาลถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันกำลังหลั่งไหลเข้าไปในห้องของมี่ไล
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง นางก็มอบเหรียญตราสำหรับควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆาให้กับหลิงเทียนหยุนและเดินเข้าไปในห้องของมี่ไล
ในอีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเยว่เฟิงและเสี่ยวหลิงเฟิงทั้งคู่ต่างไม่สนใจถึงความผันผวนของพลังวิญญาณสักเท่าไหร่
ในขณะนี้ เสี่ยวหลิงเฟิงมองไปที่พี่สาวที่ผอมแห้ง ซึ่งสูญเสียพลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก นางรู้สึกเศร้าโศกและไม่รู้ว่าพี่สาวของนางประสบกับอะไรมา
หลังจากดูแลนางสักพัก เสี่ยวเยว่เฟิงก็ตื่นขึ้นและลุกขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง
แม้ว่านางจะต้องสูญเสียความแข็งแกร่งทั้งทางจิตใจและร่างกายไปมาก แต่นางก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ พลังการฟื้นตัวของนางจึงเหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่?” เสี่ยวหลิงเฟิงถามอย่างเป็นห่วง “หรือว่าท่านบ่มเพาะแบบคู่กับนายท่านแล้วนายท่านใช้วิธีการบ่มเพาะลับบางอย่างเพื่อดูดกลืนแก่นแท้พลังชีวิตของท่านใช่ไหม?”
เสี่ยวเยว่เฟิงถ่มน้ำลาย “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร นายท่านจะเป็นคนเช่นนั้นได้ยังไง? ข้าแค่ช่วยนายท่านปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์เป็นเวลานานหลายวันเกินไปโดยแทบไม่ได้หยุดพักต่างหาก ซึ่งความยากของการปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์นี้มันเทียบเท่ากับการที่ข้าต้องต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ติด ๆ กันหลายวัน มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ข้าจะอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“นี่ท่านไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อให้ข้าสบายใจจริง ๆ นะ?” เสี่ยวหลิงเฟิงพูด “ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมาหลายวันนี้ที่ท่านลงแรงลงไป ท่านทำอะไรลงไปกับนายท่านบ้าง?”
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างเสียใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ในระหว่างขั้นตอนการปรับแต่งนายท่านบอกให้ข้าห้ามลืมตาขึ้นมาดูเด็ดขาด”
“พี่สาว ท่านนี่โง่จริง ๆ!” เสี่ยวหลิงเฟิงขึ้นเสียง “นี่ท่านกลับยอมเชื่อฟังเขาขนาดนี้ได้ยังไง ข้าเองก็หลงคิดว่าพวกท่านอยู่ด้วยกันสองต่อสองกันตั้งหลายวันท่านควรจะได้เป็นนายหญิงแน่ ๆ ไม่ช้าก็เร็ว ส่วนนายท่านเองก็อีกคน นี่สายตาของเขามีอะไรผิดปกติรึเปล่า ทำไมเขาถึงได้มองข้ามท่านไม่เห็นความพยายามของท่านและเอาแต่ไปทำดีกับแค่ภรรยาของเขาอย่างเดียวกันนะ!”
เสี่ยวเยว่เฟิงจ้องมองเสี่ยวหลิงเฟิงอย่างดุเดือดและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระ เจ้าควรจะเอาเวลาคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้มาคิดเรื่องเกี่ยวกับการบ่มเพาะของเจ้าว่าจะทำยังไงให้ไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตประสานทะเลปราณให้เร็วที่สุดจะดีกว่า! ไม่งั้นถ้าถึงเวลาที่เจ้าทำตามข้อกำหนดของนายท่านไม่ได้ และไม่ได้เข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเจ้าจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง! และอีกอย่าง นายท่านนั้นเปรียบเสมือนบรรพบุรุษของเรา ดังนั้นข้าจะไม่ตกหลุมรักเขาอย่างแน่นอน เจ้าเลิกคิดถึงเรื่องให้ข้าไปเป็นผู้หญิงของเขาได้เลย แต่แน่นอนถ้านายท่านต้องการข้า ข้าก็จะตามใจเขา แต่ถ้าเขาไม่ต้องการ ข้าก็ไม่สนใจ”
ตอนนี้เสี่ยวเยว่เฟิงไม่รู้ตัวตนของหลิงตู้ฉิงด้วยซ้ำ แต่ถ้าดูจากสถานะของหลิงไช่หยุน นางแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก
“ได้ ได้ ได้ ข้าเข้าใจแล้วก็ได้!” เสี่ยวหลิงเฟิงรีบพูด “แต่ตอนนี้กระแสพลังวิญญาณกำลังผันผวนกันจนยุ่งเหยิงไปหมด แม้ว่าข้าต้องการฝึกฝน แต่มันก็คงยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้นี่นา”
“อีกไม่นานก็สงบ รอต่อไป!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดพลางยิ้มแปลก ๆ หลังจากที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์มาเป็นเวลานาน นางก็รู้แล้วว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น
ขณะนี้ในห้องของมี่ไล หลิงตู้ฉิงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เขายืดตัวและคลุมผ้าห่มให้มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยก่อนจะเดินออกไปจากห้อง การบ่มเพาะของเขาภายใต้การปะทุของอารมณ์ที่ผ่านมาได้ชดเชยระดับการบ่มเพาะที่เขาได้เสียไปก่อนหน้านี้จนให้มาอยู่ที่ระดับเดิมคือขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 แต่แน่นอนว่าแอ่งทะเลวิญญาณของเขายังไม่เต็ม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงระดับ 11
ในห้องของมี่ไล ขณะนี้จู่ ๆ ยันต์สั่งสวรรค์ก็ลอยขึ้นไปในอากาศหลังจากที่หลิงตู้ฉิงจากไป
ผู้หญิงในภาพวาดจ้องมองไปยังรอยยุ่งบนเตียงและร่างที่หลับไหลของมี่ไล และหลิวเฟ่ยเฟ่ย จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
หากมีใครมองเข้าไปในดวงตาของนางโดยตรง พวกเขาจะรู้ว่านางกำลังพูดอะไร
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร แต่แก่นแท้ของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง!” ผู้หญิงในภาพวาดพูด “ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะค้นพบตัวเองเสียที ช่างเป็นคนที่น่าสังเวชอะไรถึงขนาดนี้ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากมายแต่สุดท้ายสันดารลึก ๆ ของตัวเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลย”
แม้ว่านางจะรู้สึกเศร้าอยู่ในใจลึก ๆ แต่นางก็ไม่ต้องการให้ใครรู้เช่นกัน นี่เป็นเพราะถ้านางทำอะไรลงไปเพื่อเป็นการแทรกแซงสิ่งที่เป็นอยู่ วิถีของเรื่องราวทั้งหมดมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
“ท่านพ่อนี่คือสิ่งของของคนที่พยายามจะบุกเข้ามา” หลิงเทียนหยุนกล่าวขึ้นพลางยื่นเหล่าแหวนมิติให้กับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “หยุนเอ๋อ พ่อขอบใจสำหรับการทำงานหนักของเจ้า เจ้าควรไปพักผ่อนได้แล้ว”
หลิงเทียนหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ท่านพ่อ งั้นข้าขอตัวไปบ่มเพาะต่อก่อนก็แล้วกัน”