อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 552 ข่มขวัญ
“เจ้าอย่ามาอ้างเหตุผลเพ้อเจ้อสร้างความสับสนให้ผู้คนที่นี่ สุดยอดผู้อาวุโส พวกเราหลงเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามของหุบเขาตันหุย ถูกค่ายกลขนส่งส่งกลับมาที่เผ่าเทียนเฟิ่น สถานที่ต้องห้ามของหุบเขาตันหุยไม่ง่ายที่จะบุกรุกเข้าไป ข้ากล้ารับรองว่า นอกจากพวกเขายอดฝีมือฝืนกฎธรรมชาติไม่กี่คน ก็ไร้คนช่วยเหลือ”

เมื่อสุดยอดผู้อาวุโสเสวี่ยเย่โบกมือ เผ่าเทียนเฟิ่นก็ดึงกระดิ่งเตือนทันที ยอดฝีมือต่างพากันเคลื่อนไหว

ไม่ว่าพวกเขาจะมีคนช่วยเหลือหรือไม่ คนเหล่านี้ก็ล้วนปล่อยไปไม่ได้

ปล่อยคนใดไปคนหนึ่ง ก็ล้วนเป็นหายนะที่ร้ายแรงของเผ่าเทียนเฟิ่นของพวกเขา

จอมมารหัวเราะเหอะๆ ลูบดอกลำโพงที่ห้อยอยู่ตรงช่วงเอวด้วยความรักความทะนุถนอม น้ำเสียงเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน “ดอกไม้ของข้าไม่ได้ดื่มเลือดมานานแล้ว วันนี้คิดว่าจะต้องให้พวกมันกินให้เต็มอิ่มสักมื้อแล้ว”

ไป๋จิ่นและสีชิ่นแยกกันไปซ้ายขวา ปกป้องกู้ชูหน่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาหยิ่งทะนง พร้อมที่จะฆ่าทุกเมื่อ

เย่จิ่งหานสีหน้าไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทางที่เขายืน กลับเป็นท่าทางที่ดีที่สุดในการปกป้องกู้ชูหน่วน

พวกเขาทั้งหมดรู้ว่า นี่เป็นการต่อสู้นองเลือด จะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้หรือไม่ไม่รู้ แต่จำเป็นจะต้องมีชีวิตรอดออกไปคนหนึ่ง นั่นก็คือกู้ชูหน่วน

“ตาเฒ่า ท่านไม่คิดจริงๆหรือว่าทำไมพวกเราถึงได้เข้ามาที่สถานที่ต้องห้ามพร้อมกัน?”

รองหัวหน้าเผ่าซือคงตะลึง ย้อนนึกถึงความหมายของนางอย่างละเอียด

ไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ยังคลำได้ไม่ชัดเจนว่าทำไมกู้ชูหน่วนและคนอื่นถึงได้บุกรุกเข้ามาที่สถานที่ต้องห้าม?

หรือเพราะกุญแจรูปดาวงั้นหรือ?

ช่วงก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งได้รู้ว่า กุญแจรูปดาวมีทั้งหมดสามดอก แยกทิ้งไว้ในสถานที่ที่แตกต่างกันไปสามแห่ง หนึ่งดอกในนั้นเป็นไปได้มากที่จะอยู่ในหุบเขาตันหุย

“ไม่สำคัญว่าทำไมพวกเจ้าถึงเข้ามาในสถานที่ต้องห้ามนี้ได้ สิ่งที่สำคัญคือ วันนี้พวกเจ้าเลิกคิดที่จะมีชีวิตออกไปจากเผ่าเทียนเฟิ่นได้เลย”

“หากข้าเป็นท่าน ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบให้ละเอียดสักหน่อยว่าในเผ่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ หรือว่า……มีใครตายหรือไม่……”

กู้ชูหน่วนยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างมั่นใจ ทั้งยังซุกซนร่าเริงอีกด้วย

ในสถานการณ์ที่คนน้อยกว่าสู้คนมากกว่าไม่ได้ พวกเขาห้าคน ก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวใดๆออกมาแม้สักนิดจริงๆ

“เหอะ……เด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา คิดว่าข้าจะหลงกลรึ ให้คนมา เอา……”

“รองหัวหน้าเผ่า แย่แล้วเกิดเรื่องใหญ่แล้ว หอบูรพาถูกลอบโจมตี ลูกศิษย์ตายไปมากมาย ผู้อาวุโสที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้หัวหน้าเผ่าน้อยก็ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วขอรับ”

“อะไร……”

รองหัวหน้าเผ่าซือคงและคนอื่นตกใจทันที

นี่เป็นถึงเผ่าเทียนเฟิ่นเชียว ยอดฝีมือมากมายก่ายกอง ทุกแห่งหนล้วนมีกลไกค่ายกลอยู่ ผู้ใดมีความยิ่งใหญ่ขนาดนี้ บุกรุกไปถึงหอบูรพาได้ ทั้งยังทำร้ายบรรดาผู้อาวุโสอีก?

หอบูรพาเป็นถึงสถานที่ที่สำคัญของเผ่าเทียนเฟิ่นเชียวนะ?

“ตรวจสอบแน่ชัดแล้วหรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ? มีกี่คน?”

“รายงานหัวหน้าเผ่า ฝ่ายตรงข้ามวิทยายุทธสูงเกินไป แต่ละคนปิดหน้าปิดตา ชั่วขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นกองกำลังฝ่ายไหน จำนวนคนมีประมาณเจ็ดแปดคนขอรับ”

รองหัวหน้าเผ่าซือคงเดือดดาล “เจ็ดแปดคน? เจ็ดแปดคนก็สามารถบุกเข้าหอบูรพาได้ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”

“นี่……บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่เจ็ดแปดคนขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นปาดเหงื่อ

สุดยอดผู้อาวุโสเสวี่ยเย่จับตามองดูกู้ชูหน่วนและคนอื่นติดๆ กล่าวอย่างเย็นชา “คนธรรมดาจะบุกเข้ามาที่เผ่าเทียนเฟิ่นโดยง่ายดายได้อย่างไร ทั้งยังปะปนเข้าไปทำร้ายผู้อาวุโสจนบาดเจ็บสาหัสที่หอบูรพาได้อีกด้วย”

ความหมายในคำพูดของเขาคือ นี่เป็นสิ่งที่กู้ชูหน่วนและคนอื่นๆวางแผน

พวกเขาวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงได้ไม่ยี่หระเพราะถือว่ามีกองหนุน

รองหัวหน้าเผ่าซือคงกล่าว “ผู้อาวุโสเฉิน เจ้าพาคนส่วนหนึ่งไปตรวจดูที่หอบูรพา จำเป็นจะต้องจับพวกคนเลวเหล่านั้นให้ได้”

“ขอรับ”

รองหัวหน้าเผ่าซือคงและคนอื่นๆกัดฟันกรอดเพ่งมองไปทางกู้ชูหน่วน

กู้ชูหน่วนหน้าตาใสซื่อ “ข้าพูดไว้นานแล้วว่า ให้พวกท่านไปตรวจดูว่าเผ่าเทียนเฟิ่นมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เป็นพวกท่านที่ไม่ยอมไป นี่จะโทษข้าไม่ได้”

“เจ้าคิดว่าอาศัยพวกหัวมังกุท้ายมังกร ก็จะสามารถก่อความวุ่นวายให้เผ่าเทียนเฟิ่นได้แล้วงั้นหรือ? ไม่ว่าวันนี้พวกเจ้าจะมากี่คน ก็ล้วนมาแล้วกลับไม่ได้”