ตอนที่ 1231 เรื่องฉาวโฉ่!
เช่นนั้นคืออะไรกัน?
ซูหลีมองเขาด้วยความสงสัย คำถามนี้เป็นคำถามที่นางอยากจะถามฉินเย่หานตั้งแต่แรก
ไทเฮาทรงให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์คือฉินเฮ่ากับฉินเย่หาน หากพูดตามข้อเท็จจริง ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ควรเป็นเช่นนี้
ทว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ซูหลีพบไทเฮา และเมื่อเห็นท่าทีที่ฉินเย่หานกับฉินเฮ่ามีปฏิสัมพันธ์กัน นางก็รู้สึกถึงความไม่กลมกลืนอย่างแปลกประหลาด
ความกลมกลืนนี้ ดูคล้ายกับคนหลายๆคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กันมายืนเผชิญหน้ากัน ล้วนเป็นคนแปลกหน้า ทว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นกลับแสร้งทำท่าทีสนิทสนมกัน
ความกลมกลืนนี้มีมาโดยตลอด อีกทั้งเมื่อนางอยู่ข้างกายฉินเย่หานเป็นเวลานาน ความรู้สึกนี้ยิ่งลึกซึ้งขึ้นมากกว่าเดิม
จนกระทั่งบัดนี้ ฉินมู่ปิงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ลอบสังหารฉินเย่หาน ซูหลีก็ไม่รู้สึกตกตะลึงอะไรนัก
เป็นเพราะนางรู้สึกว่าพวกเขานั้นมิเหมือนคนครอบครัวเดียวกันตั้งแต่แรก
ท่าทีที่ฉินเย่หานปฏิบัติต่อองค์หญิงจินเย่ว์นั้น ยังอ่อนโยนอบอุ่นกว่าท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อพวกฉินเฮ่าสองพ่อลูกนั่นเสียอีก
แม้เขาจะมีท่าทีที่เย็นชามาโดยตลอด ทว่าซูหลีสามารถมองออกว่า ยามที่เขาอบรมสั่งสอนองค์หญิงจินเย่ว์นั้น เขากระทำเรื่องเหล่านั้นด้วยมุมมองของพี่ชายคนหนึ่งจริงๆ
ทว่ายามปฏิบัติต่อฉินมู่ปิงกับฉินเฮ่า กลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาแข็งกระด้างยิ่งนัก
เรื่องนี้ฝังอยู่ในใจของนางมาโดยตลอด ทว่าแต่ก่อนนางเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถาม
ความลับของราชสำนัก ที่จริงสำหรับขุนนางซึ่งเป็นคนนอกแล้ว การที่ไม่รู้เรื่องต่างๆเป็นเรื่องดีที่สุด คนที่รู้มากนั้นมักมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไรนัก
ทว่าบัดนี้ซูหลีวางความไม่พอใจในใจลงแล้ว และลองคิดที่จะเชื่อใจฉินเย่หาน นางถึงได้อยากรู้เรื่องต่างๆนี้ขึ้นมาทันใด
เขารู้เรื่องของนางตั้งมากมาย ทว่าเรื่องของเขา นางกลับรับรู้ไม่ลึกซึ้งเท่าไรนัก
รากฐานของความไว้วางใจ ในความเป็นเรื่องแล้วต้องเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น
นางยอมก้าวออกไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็ต้องดูแล้วว่าเขาจะยอมเชื่อใจนางหรือไม่
“แต่เป็นเพราะไม่มีเหตุอันใดที่เราต้องสนิทสนมกัน!” ฉินเย่หานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซูหลีไม่ถามต่อ เขาจึงเงยหน้ามองนางครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา
ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องสนิทสนมกัน!
ดวงตาของซูหลีเข้มขึ้นทันใด นางเกิดความคิดที่ไม่ดีเท่าไรนักขึ้น
เพียงแต่คำพูดประโยคเดียว นางอาจจะคาดเดาอะไรไม่ได้ นางจึงปิดปากแล้วมองเขา รอให้คำพูดประโยคต่อไปของเขา
“เรื่องนี้ข้าบอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร” แววตาของฉินเย่หานนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก เรื่องผ่านมาหลายปีแล้ว ที่จริงเขาไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจตั้งนานแล้ว
เพียงแต่ในเวลานี้นางนั่งอยู่ภายในอ้อมแขนของตน และยังจ้องมองเขาตาปริบๆ เป็นภาพที่น่าประทับใจเกินไปแล้ว
สำหรับเขาเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาๆไปแล้ว ทว่านี่ถือว่าเป็นความลับอันดับแรกของราชวงศ์ต้าโจว ทว่าหากนางต้องการจะฟัง เขาก็สามารถพูดออกมาได้
“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีโอรส 5 พระองค์ด้วยกัน จากนั้นองค์รัชทายาทแล้ว ก็มีบุตรที่เกิดจากพระสนม ก่อนเราจะขึ้นครองราชย์ ไทเฮาก็มีตำแหน่งเป็นเต๋อเฟยของฮ่องเต้องค์ก่อน”
นี่เป็นเรื่องที่ซูหลีทราบดีอยู่แล้ว
แม้นางจะรู้สึกว่าไทเฮานั้นไม่เหมาะกับคำว่า ‘เต๋อ[1]’ เลยแม้แต่น้อย ทว่านางถูกแต่งตั้งไว้เช่นนี้ นางยังจะสามารถพูดอะไรได้กัน
“และเต๋อเฟย มีโอรสเพียงคนเดียว!”
สีหน้าของฉินเย่หานยังคงเฉยชา เขาเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ซูหลีได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
มีโอรสเพียงคนเดียว!
นี่หมายความว่าอย่างไร นี่เป็นอย่างที่นางคิดเช่นนั้นใช่หรือไม่
ฉินเย่หานก้มศีรษะมองนางที่แสดงท่าทางตกตะลึงออกมา แล้วเอ่ยเสียงเบา “เราไม่ใช่โอรสของเต๋อเฟย”
สีหน้าของซูหลีแข็งค้างทันที และในชั่วขณะนี้นางถึงขั้นไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไรออกมาดี
คาดไม่ถึงว่าฉินเย่หานไม่ใช่โอรสของไทเฮา!
ทว่าเพราะเหตุใด…
ภายนอกถึงกล่าวว่าฉินเย่หานเป็นโอรสของเต๋อเฟยกัน
ตอนที่ 1232 ชาติกำเนิดของเขา
สมองของซูหลีสับสนไปหมดแล้ว ในเวลานี้เรื่องทั้งหมดทะลักเข้ามาในสมองของนางอย่างบ้าคลั่ง
รวมถึงความไม่สนิทของฉินเย่หานกับฉินเฮ่าสองพ่อลูกนั้น และความสัมพันธ์ประหลาดระหว่างเขากับไทเฮาด้วย
อีกทั้งยังมีเรื่องมือสังหารก่อนหน้านี้ และท่าทีแปลกประหลาดที่ฉินมู่ปิงปฏิบัติกับฉินเย่หาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏเข้ามาในหัวของนาง
มิน่าเล่า…
พี่น้องแท้ๆจึงไม่เหมือนพี่น้องแท้ๆ แม่ลูกแท้ๆแต่กลับไม่เหมือนลูกไม้จากต้น
ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เรื่องจอมปลอม!
ฉินเย่หานกับฉินเฮ่าสองพ่อลูกนั้นมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทว่ามิใช่คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด!
“เรื่องนี้จึงเกี่ยวเนื่องกับเรื่องฉาวโฉ่เรื่องหนึ่ง” ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าจึงมีความเคร่งขรึมขึ้นมา
“ไทเฮากับจี้เก๋อเหล่านั้น เดิมมีน้องสาวที่เกิดจากอนุอีกคน เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่” เขาหันศีรษะกลับมามองซูหลี
ซูหลีขมวดคิ้วขึ้นทันใด ดูเหมือนนางจะจำอะไรบางอย่างได้
บุตรจากภรรยาเอกของสกุลจี้มีเพียงสองคนเท่านั้น ทว่าบุตรที่เกิดจากอนุมีจำนวนไม่น้อย บุตรเหล่านั้นบางคนก็อายุยังน้อย บางคนก็ลาโลกไปนานแล้ว นี่ล้วนเป็นเรื่อง 20 กว่าปีมาแล้ว ดังนั้นเรื่องต่างๆจึงถูกคนหลงลืมไปหมดแล้ว
ทว่าช่วงนี้ซูหลีให้ความสนใจกับเรื่องของสกุลจี้เป็นพิเศษ ดังนั้นนางจึงพอจะรู้เรื่องวงในของสกุลจี้อยู่บ้าง
ทว่าสำหรับบุคคลท่านนี้ ซูหลีกลับไม่รู้อะไรมากนัก นางรู้เพียงว่าคนผู้นี้ตายไปนานแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนางก็ไม่รู้แล้ว บัดนี้ทายาทของสกุลจี้ที่มีชีวิตอยู่ก็มีเพียงไทเฮากับจี้เก๋อเหล่า แล้วก็มารดาของอู๋โยวหราน
อีกทั้งคนผู้นี้เป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ไทเฮากับเก๋อเหล่าของสกุลจี้จึงเหยียดหยามนางเป็นอย่างมาก
“มารดาแท้ๆของข้า ก็คือบุคคลท่านนี้!” ในขณะที่ซูหลีกำลังพยายามฉุกคิดเรื่องของสกุลจี้ ฉินเย่หานพลันเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา
สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองมีความคลุมเครืออย่างรุนแรง
และนี่ก็กล่าวได้ว่า แท้จริงแล้วฉินเย่หานก็เป็นบุตรของน้องสาวคนละแม่ของไทเฮา! อีกทั้งยังเป็นบุตรของน้องสาวท่านนี้กับฮ่องเต้องค์ก่อน!
ชั่วขณะนี้นางมิรู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี…
เรื่องเหล่านี้ยังไม่พอ มิหนำซ้ำฉินเย่หานยังพูดอีกประโยคเสริมขึ้นอีก…
“ก่อนที่ท่านแม่จะเข้าวัง นางแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว!”
ซูหลี…
นางเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่หานด้วยสายตาเหลือเชื่ออย่างทันทีทันใด
มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องฉาวโฉ่!
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องเช่นนี้!
ในชั่วพริบตานี้ซูหลีจึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมฉินเย่หานไม่ใช่โอรสที่ไทเฮาทรงให้กำเนิด แต่กลับต้องอยู่ภายใต้ชื่อของไทเฮา อีกทั้งเรื่องนี้ผ่านมาหลายต่อหลายปีแล้ว มิหนำซ้ำฉินเย่หานขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้ว เรื่องนี้จึงยังถูกปกปิดเอาไว้
มารดาของฉินเย่หานแต่งงานกับผู้อื่นแล้ว!
เรื่องนี้หากถูกผู้คนพูดออกมาไป เกรงว่าทั้งราชสำนักคงจะปกคลุมไปด้วยเงามืด!
“คนที่นางแต่งงานด้วยนั้น ในเวลานั้นเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นเจ็ด ตำแหน่งขุนนางมิสูงมากนัก ทว่ากลับดีต่อมารดาเป็นอย่างมาก” ที่แตกต่างจากความตกใจของซูหลีก็คือ ยามที่ฉินเย่หานเล่าเรื่องเล่านี้ออกมา เขาทำเหมือนกำลังเล่าเรื่องของผู้อื่นมิปาน
ใบหน้าของเขายังนิ่งเฉย ถึงขั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าซูหลีเห็นท่าทางของเขาแล้ว กลับรู้สึกสงสารเขาเป็นอย่างมาก
มิน่าเขาถึงมีท่าทางที่เย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึกเช่นนี้
เป็นเพราะมีต้นกำเนิดเช่นนี้ และยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในกำมือของไทเฮา
มาหลายต่อหลายปี เมื่อตริตรองดูแล้วก็พอจะรู้ว่า คงจะลำบากมาก…
“ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับท่านแม่นั้นไม่ดีตั้งแต่อยู่ในบ้านเดียวกันแล้ว หลังจากท่านแม่ออกเรือนก็มิได้ให้กำเนิดบุตรมาโดยตลอด ไทเฮาทรงเจตนายกท่านแม่ให้เป็นภรรยารองของขุนนางชั้นผู้น้อยผู้นั้น ช่วยขุนนางผู้นั้นแตกกิ่งผลิใบออกไป แน่นอนว่าท่านแม่ไม่ยินยอม นางถึงได้เข้ามาในวังหลวงเพื่อร้องขอความเมตตาจากไทเฮา”
ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ก็เกิดความตึงเครียดขึ้นในใจ นางช้อนสายตามองเขา ทว่ากลับเห็นความอึดอัดในสายตาของเขา ทั้งร่างเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ใครจะรู้ว่าในคืนนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ในตำหนักของไทเฮา พระองค์ทรงเสวยสุรากับไทเฮามากเกินไป หลังเสวยสุราเข้าไป…”