ตอนที่ 1233 ไร้ยางอาย
“ฝ่าบาท!” ซูหลีไม่ปล่อยให้เขาพูดต่อ ในเวลานี้นางกลับกอดเขาแน่นขึ้น
ฉินเย่หานก้มศีรษะมองนาง เมื่อเห็นคิ้วของนางขมวดเป็นปม ดูคล้ายกับมีเรื่องกวนใจเป็นอย่างมากมิปาน ร่างเล็กๆของนางกอดร่างของเขาแน่น
เขาผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นใบหน้าจึงอ่อนโยนลงมาบ้าง
เรื่องเหล่านี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว เรื่องของชาติกำเนิดใครจะไม่สามารถเลือกได้ เกรงว่าเขาก็เช่นกัน
“ข้ามิเป็นไร” น้ำเสียงของฉินเย่หานเรียบเฉย ซูหลีแหงนหน้าขึ้นก็พบว่าเขากำลังมองตนอยู่ ภายในดวงตาของเขานั้นมีเพียงเงาสะท้อนของนาง
แววตาของซูหลีสั่นไหว จากนั้นจึงนำแขนของตนออกอย่างเขินอาย
ฉินเย่หานไม่ใช่คนอ่อนแอพรรค์นั้น ซูหลีนั้นทราบเรื่องนี้ดี มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ของฮ่องเต้ได้!
“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงคิดว่าท่านแม่เป็นสาวใช้ในตำหนักไทเฮา และโปรดปรานนางตลอดทั้งคืน” หลังจากนางดึงมือของตนเองกลับมา ฉินเย่หานก็พูดต่อ
ซูหลีได้ยินแล้ว อดที่จะสามารถถอนหายใจออกมาเบาๆมิได้
นี่ถือเป็นโชคร้ายของชีวิต จะว่าไปแล้วมารดาของฉินเย่หานช่างน่าสงสารนัก เดิมอยู่ในครอบครัวที่สุขสบาย ทว่าเพียงชั่วค่ำคืนเดียวทำให้ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
“หลังจากคืนนั้น ท่านแม่ทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้มิได้ เดิมนางคิดจะฆ่าตัวตาย”
ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ฉีกยิ้มขึ้นอย่างกะทันหัน รอยยิ้มแสนจะเยียบเย็น เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก เมื่อเปรียบกับสีหน้าไร้อารมณ์ของเขาแล้ว ยิ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“ทว่านางกลับถูกไทเฮาขัดขวางไว้ ทรงรับสั่งเฝ้านางเอาไว้ มิอนุญาตให้นางฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีข่าวเล็ดลอดออกไปทำลายชื่อเสียงของไทเฮา และทำให้ฮ่องเต้เดือดร้อน
สีหน้าของซูหลีไม่น่าดูจนถึงขีดสุด คำว่าฮ่องเต้องค์ก่อนที่ฉินเย่หานเอ่ยออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แค่คิดก็ทราบว่า บุรุษอย่างฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากโปรดปรานสตรีของขุนนางผู้หนึ่งแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกละอายใจ
ยังรู้สึกเบื่อหน่ายใจ
ดังนั้นฉินเย่หานจึงไม่ได้รับความรักใคร่ทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด แม้อายุจะยังไม่ถึงก็ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว และถูกส่งตัวไปอยู่ในอาณาเขตอื่นเป็นเวลาหลายปี
เป็นเพราะเหตุนี้เอง ในปีที่การแย่งชิงราชสมบัติที่คับขันที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลิงอ๋องที่ปิดกั้นตัวเองที่สุดนั้น จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!
“เป็นเพราะอารมณ์ของท่านแม่หวั่นไหวเกินไป ไทเฮาทรงเกรงว่าหากปล่อยนางออกจากวังหลวง นางจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป หรืออาจจะร้องขอความตายอีกครา จนทำให้ราชสำนักขายหน้า” ใบหน้าของฉินเย่หานฉายแววเย้ยหยันออกมา ซูหลีเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงกุมมือของเขาเอาไว้อย่างห้ามมิได้
เขาหันศีรษะกลับมา ขอเพียงจ้องมองซูหลี ความเย็นยะเยียบในดวงตาและสีหน้าหลอมละลายหายไปในพริบตา
เพียงแต่เป็นเพราะซูหลีมัวแต่สงสารเขา จึงมิได้สังเกตเห็นการแสดงออกเช่นนี้ของเขา
“ดังนั้นไทเฮาทรงใช้ข้ออ้างบางอย่าง เพื่อให้ท่านแม่พำนักอยู่ในวังหลวง การพำนักอยู่ในวังหลวงครั้งนี้เป็นเวลาหลายเดือน และการประสบกับเรื่องเช่นนี้ทำให้อุปนิสัยของท่านแม่เปลี่ยนไป นางอ้วนท้วมขึ้นมาก ในตอนแรกยังไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จนกระทั่งไทเฮาทรงสังเกตเห็น ท่านแม่ก็มีอายุครรภ์เจ็ด เดือนเศษแล้ว”
เจ็ดเดือน ร่างกายของเด็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ใบหน้าของซูหลีฉายแววเข้าใจในทันที ในเมื่อไทเฮาทรงมิอยากให้มารดาของฉินเย่หานตายในตำหนักของนาง ดังนั้นไทเฮาทรงทำได้เพียงให้มารดาของฉินเย่หานคลอดลูกที่นี่
“เดิมไทเฮาคิดจะปิดบังเรื่องนี้ หลังจากท่านแม่ให้กำเนิดข้าแล้ว ทรงต้องการให้พาข้าออกจากวังหลวง และหาบ้านสักหลังเพื่อวางหลักปักฐานอยู่ที่นั่น”
ความรู้สึกที่ซูหลีมีต่อไทเฮาผู้นี้ ซูหลีนั้นไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
ที่จริงปมของเรื่องนี้แต่ละปมล้วนเป็นเรื่องที่ไทเฮาสร้างขึ้นมาทั้งหมด ฉินเย่หานกับมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ถึงเพียงใดกัน
ทว่าเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ซูหลีก็ยังไม่เข้าใจความคิดของฉินเย่หานอยู่ดี
ตอนที่ 1234 ผู้พิการมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้
ไทเฮาทรงปฏิบัติต่อมารดาและเขาไม่ดีเป็นอย่างมาก
แล้วทำไมเขาถึงไม่จัดการไทเฮากัน
แต่กลับจัดวางไทเฮาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งสามารถกระทำเรื่องชั่วร้ายออกมาได้ทุกเวลา
ซูหลีไม่ใช่คนดีอะไรนัก ในโลกของนางนั้นมีความแค้นก็ต้องแก้แค้น ไม่ใช้คุณธรรมความดีมาตอบแทนความแค้นประเภทนั้นอย่างแน่นอน
นางเชื่อว่าฉินเย่หานก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งฉินเย่หานเป็นคนเฉยชาและไร้ซึ่งความรู้สึก วิธีการของเขานั้นไร้ซึ่งความเมตตา ยิ่งไม่เหมือนคนที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา
“เพียงแต่ระหว่างนั้นไทเฮาทรงมองข้ามความคิดของท่านแม่ไป ทรงคิดว่าหลังจากคลอดลูกออกมาแล้ว ก็ให้นำตัวเด็กออกไปนอกวังหลวงด้วย คิดไม่ถึงว่าในวันที่คลอดเด็กออกมา นางจะอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายอุ้มข้าถลาเข้าไปที่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้องค์ก่อน”
ฉินเย่หานพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย
เขามิมีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับมารดาผู้ให้กำเนิดเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เขาจำความได้มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็จากโลกนี้ไปแล้ว
ทว่าจากที่คนรอบข้างเล่าให้ฟังและเรื่องที่เขาสืบข่าวมา ที่เขายังสามารถพำนักอยู่ในวังหลวงได้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะผลจากความพยายามเฮือกสุดท้ายของมารดาผู้ให้กำเนิด
“หลังจากคลอดข้าออกมา เดิมร่างกายของนางอ่อนแออยู่แล้ว มิหนำซ้ำในวันนั้นนางพยายามอุ้มข้าไปถวายให้กับฮ่องเต้องค์ก่อน หลังจากวันนั้นนางจึงป่วยหนัก ผ่านไปไม่กี่วันก็จากโลกนี้ไปแล้ว”
“ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมิเคยโปรดนางมากกว่า ทว่าสายเลือดของราชสำนักมิอาจปล่อยให้ไหลเวียนภายนอกได้ จึงทำได้เพียงวางเด็กไว้ตรงพระพักตร์ไทเฮา โดยอ้างว่าเป็นโอรสคนรองของไทเฮาและอยู่ในวังหลวงต่อไป”
ซูหลีได้ยินถึงตรงนี้ ความรู้สึกของนางจึงสับสนจนมิอาจบรรยายออกมาได้แล้ว
ความรู้สึกของนางประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด
ชาติกำเนิดที่น่าอายเช่นนี้ ทั้งยังมีมารดาที่น่าเวทนาเช่นนั้น เมื่อคิดดูแล้ววัยเด็กของฉินเย่หานก็คงมีชีวิตที่ไม่มีความสุขและไม่ดีนัก
ความเฉยชาของเขา ที่จริงแล้วไม่ใช่อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิดกระมัง?
ซูหลีไม่อาจจินตนาการได้ว่า เขาอยู่ในกำมือของไทเฮาเช่นนี้ เขามีชีวิตเป็นอย่างไรกัน
“ตั้งแต่ข้าจำความได้ ไทเฮาทรงตรัสมาโดยตลอดว่าข้ามิใช่บุตรของนาง มิมีทางที่จะเหมือนกับจิ้งหนานอ๋อง”
ในขณะที่ซูหลีกำลังใจลอย ฉินเย่หานพลันเอ่ยประโยคนี้เสริมขึ้น
โทสะที่อยู่ในใจของซูหลีเริ่มเดือดปะทุขึ้นมาทันใด
เดิมทีนางเพียงรู้สึกว่าไทเฮาท่านนั้นแค่ลำเอียงก็เท่านั้น ทว่าเมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ซูหลีกลับรู้สึกว่า ไทเฮามิสมควรจะเป็นคนด้วยซ้ำ!
ยามที่นางพูดคำพูดเหล่านี้กับฉินเย่หาน ฉินเย่หานคงจะอายุยังน้อยอยู่เลย แม้แต่กับเด็กคนหนึ่งยังพูดคำพูดที่โหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้ คนเช่นนี้ยังสามารถเป็นคนดีได้อีกหรือ
ซูหลีรู้สึกเสียใจมากที่ก่อนหน้าตนจัดการกับไทเฮาอย่างนุ่มนวลเกินไป!
สตรีที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเช่นนี้ แตกต่างกับสตรีอย่างป๋ายถานตรงไหนกัน
ยังเป็นสตรีที่ฉินเย่หานเรียกว่าเสด็จแม่ นางเหมาะสมแล้วหรือ
“ดังนั้นระหว่างนาง จิ้งหนานอ๋องหรือแม้กระทั่งฉินมู่ปิงกับข้านั้น ล้วนเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น”
คำพูดประโยคนี้ของฉินเย่หานสื่อความหมายได้หลายสิ่งเกินไป แท้จริงแล้วตลอดเส้นทางที่เขาเดินมาถึงบัดนี้นั้นมิใช่เรื่องง่าย วิธีการข่มขู่ข่มเหงของไทเฮาก็หลายรูปแบบ
ทว่าเรื่องเหล่านั้นมิจำเป็นต้องพูดแล้ว
ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร
เขาในเวลานี้ถึงเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าโจว!
“ขาของจิ้งหนานอ๋อง เป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือไม่” ซูหลีชะงักอยู่พริบตาหนึ่ง จู่ๆนางก็ฉุกคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
ฉินเย่หานผงะเล็กน้อย เขากวาดตามองนางปราดหนึ่ง นางช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เพียงแค่เวลาอันสั้นก็สามารถจับใจความสำคัญได้แล้ว
“ถูกต้องแล้ว” เขาผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “กฎของราชวงศ์นี้ ผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิดมิอาจเป็นฮ่องเต้ได้”
นั่นก็หมายความว่า ฉินเฮ่าไม่มีอำนาจในการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนและไทเฮาค่อนข้างจะรักใคร่เขามาก ถึงทำให้เขามีอำนาจมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นมีอำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือ และกลายเป็นท่านอ๋องคนเดียวที่กุมอำนาจทางการทหารเอาไว้
ทว่านี่มิใช่ใจความสำคัญที่ซูหลีสนใจ