บทที่ 243 การเลื่อนขั้นไปสู่ระดับสีฟ้า (2)

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 243

การเลื่อนขั้นไปสู่ระดับสีฟ้า (2)

“ไม่มีคนอื่นเลย เธอเป็นคนแรกที่เข้ามาที่นี่…” แล้วก็ยังแปลกมากด้วยที่ตกลงมาจากหลุมดำ เจ้าลูกบอลสีขาวสงสัยว่า มู่หรงเสวี่ยเป็นผีอะไรกัน มันก็เลยเฝ้าอยู่ตลอด

“คนแรกเหรอ?! ทำไมล่ะ? ที่นี่เป็นพื้นที่ต้องห้ามหรือไง?” มู่หรงถาม

เจ้าลูกบอลสีขาวมองด้วยสายตางี่เง่า “นี่ฉันไม่ได้บอกเธองั้นเหรอ?! ที่นี่เป็นป่าแห่งความตาย ถ้าคนภายนอกอยากจะเข้ามาในนี้ พวกเขาก็จะตาย แล้วบริเวณตรงกลางก็ยังมีชั้นบรรยากาศที่เป็นพิษด้วย

มีแต่คนที่ขึ้นระดับสีฟ้าเท่านั้นแหละที่ต้านทานมันได้ นี่นอกจากเรื่องบรรยากาศที่เป็นพิษแล้วนะ ก็ยังมีพื้นที่สัตว์อสูรระดับสูงอีก ซึ่งถึงแม้จะขึ้นระดับสีม่วงแล้วก็ยังกลับออกมาไม่ได้เลย”

มู่หรงที่เดิมทีกำลังเดินไปข้างหน้าถึงกับหยุด สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที

“ระดับสีม่วงงั้นเหรอ! งั้นทำไมนายถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”

เธอไม่ได้มองด้วยสายตาโกรธแค้น มันไม่ได้โกหกเธอ เธอมองมันด้วยความสงสัย

“ทำไมเธอมองฉันแบบนั้นล่ะ? ฉันเก่งมากเลยนะ ที่นี่เป็นอาณาเขตของฉัน ไม่งั้นเธอไม่คิดเหรอว่าทำไมมันถึงสงบขนาดนี้?

ไม่งั้นก็ลองออกไปดูสิ ว่าเธอจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆหรือเปล่า…” อันที่จริง เหตุผลหลักก็เพราะมันติดตั้งค่ายกลที่แข็งแกร่งในพื้นที่นี่ไว้แล้ว ไม่งั้นด้วยสภาพของเจ้าบอลกลมแบบในตอนนี้ คงไม่มีทางที่จะทำให้สัตว์อสูรข้างนอกนั้นกลัวได้หรอก

“มีทางออกอื่นอีกไหม?” เธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอต้องออกไปตามหาพ่อแม่

เจ้าลูกบอลสีขาวเลิกคิ้วขึ้น ถึงแม้จะไม่เห็นว่าคิ้วมันอยู่ตรงไหนก็ตาม “ไม่ต้องคิดเรื่องนั้นเลย ที่นี่เป็นสวนที่ลึกที่สุดของป่าแห่งความตาย รอบตัวเธอต่างก็ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่เป็นพิษ

ถ้าไม่ใช่เพราะการฝึกตนของเธอ ป่านนี้เธอคงถูกแยกเป็นห้าส่วนไปแล้วตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามา”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที นี่เธอจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกหรอกนะ” หลังจากผ่านไปนานเจ้าลูกบอลสีขาวก็พูดขึ้นมาดวงตาก็มู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายตอนที่จับเจ้าลูกบอลสีขาวด้วยความตื่นเต้น “ทางไหนเหรอ?! นายบอกมาเลย”

“ตราบใดที่เธอฝึกตนจนข้ามระดับสีม่วงไปได้…” น้ำเสียงที่พูดฟังดูราวกับว่าระดับสีม่วงมันง่ายพอๆกับการผสมน้ำชางั้นแหละ

มู่หรงเสวี่ยวางเจ้าลูกบอลสีขาวลงอย่างหมดแรงแล้วถามออกมา “นี่เป็นวิธีเดียวงั้นเหรอ?”

“มีแค่ทางนี้เท่านั้น ถึงแม้จะมีทางอื่นอีกแต่ถ้าเธอออกไปด้วยระดับการฝึกตนในตอนนี้ เธอก็จะตาย โลกข้างนอกมันไม่ได้สงบหรอกนะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะให้เกียรติทักษะการฝึกตน ถ้าเธอออกไปด้วยระดับการฝึกในตอนนี้ เธอก็คงจะต้องจบลงด้วยการถูกคนอื่นรังแกแน่ๆ…” มันพูดเรื่องจริง แต่ก่อนที่มันจะทรงอำนาจ มันไม่เคยออกมาเลย

สีหน้ามู่หรงเสวี่ยแย่ลงกว่าเดิมอีก เธอคิดว่าตัวเองได้เข้ามาในโลกที่สวยงาม แต่กลายเป็นว่านี่มันแย่กว่าที่เธอคิดไว้อีก ที่นี่ไม่มีกฎหมายแล้วก็ไม่มีความยุติธรรมด้วย

สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดคือเรื่องความปลอดภัยของพ่อกับแม่ ถ้าแม้แต่ระดับสีส้มของเธอยังล้มเหลว งั้นเรื่องช่วยพ่อกับแม่ก็คงไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ เธอไม่อยากที่จะนึกภาพเลย

เธอไม่ได้หยุดที่จะเดินออกไปข้างนอกจนกระทั่งเดินไปถึงขอบของบาร์เรีย จากด้านในเธอมองเห็นสัตว์อสูรได้อย่างชัดเจนซึ่งมีขนาดใหญ่ราวกับตึกเลย ดูเหมือนว่าเจ้าอสูรก็จะเห็นมู่หรงเสวี่ยด้วยเหมือนกันและรีบพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า คำรามเสียงดังจนแก้วหูของมู่หรงเสวี่ยแทบจะแตก มู่หรงถอยหลังกลับไปสองสามก้าว เมื่อเจ้าอสูรขึ้นมาถึงมันก็หยุดและแตะไปที่บาร์เรีย พร้อมทั้งใช้พลังพยายามที่จะพุ่งชนอย่างแรง เธอรู้สึกได้ถึงแรงสั่นของพื้นที่ด้านในทั้งหมดเล็กน้อย นี่มันสัตว์อสูรอะไรกันเนี่ย?!

“นี่คืออสูรเสื้อยักษ์ซึ่งอยู่ระดับที่หกซึ่งก็เท่ากับการบ่มเพาะของมนุษย์ในระดับสีม่วง มันไม่ใช่อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในวงในแต่ยังมีอสูรวิญญาณในระดับ 9 อีก…” ดูเหมือนมันจะอ่านคำถามของมู่หรงเสวี่ยออก เจ้าลูกบอลสีขาวจึงอธิบายออกมา

มันไม่ได้เก่งที่สุด แล้วแบบนี้เธอจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?! เดาว่าทันทีที่เธอก้าวเท้าออกไป เธอจะต้องถูกเหยียบจมดินแน่ๆและอาจจะไม่มีเวลาทันได้ขัดขืนด้วยซ้ำ

“เธอควรจะต้องฝึกให้ดีกว่านี้ เดาว่าหลังจากที่ฝึกมาร้อยปี บางทีเธออาจจะขึ้นมาถึงระดับสีม่วงได้บ้างนะ…” เจ้าลูกบอลสีขาวพูดพร้อมทั้งยิ้มเยาะ

มู่หรงเสวี่ยกำหมัดแน่น ร้อยปีงั้นเหรอ ไม่ได้ มันนานเกินไป แล้วคุณปู่คุณย่ากับฮวงฟูอี้ล่ะ

เธอวางเจ้าลูกบอลสีขาวลงและมองไปที่สัญลักษณ์ที่มือตัวเอง เธอคิดว่าต้นแบบของกำไลปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าเธอ เธอรู้สึกโล่งใจอยู่นิดหน่อย อย่างน้อยกำไลก็มากับเธอด้วย เมื่อคิดอีกที กำไลก็ล่องหนหายไปอีกครั้ง

“กำไลไปอยู่ที่มือเธอได้ยังไง?” ถึงแม้มันจะแค่แวบเดียวแต่เจ้าลูกบอลสีขาวก็ยังเห็นอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยตกใจแต่ก็ไม่รู้ว่าน้ำเสียงและสีหน้าของตัวเองเป็นยังไง “กำไลอะไร?”

“ก็กำไลที่เธอเพิ่งใส่อยู่เมื่อกี้ไง ทำไมมันถึงมาอยู่กับเธอ?! กำไลมิติลับไม่ใช่อะไรที่เด็กสาวแบบเธอจะมีได้…” กำไลมิติลับสูญหายไปหลายพันปีแล้ว หลายปีที่ผ่านมาผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนออกตามหาร่องรอยของมันแต่ก็ไม่มีใครหาเจอเลย

ว่ากันว่ากำไลมิติลับถูกสร้างโดยอิงจากฟินิกซ์ ต่อมามันถูกครอบครองโดยกลุ่มผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่รุ่นหนึ่งและพัฒนาเป็นวิญญาณในที่สุด ดังนั้นกำไลมิติลับจึงกลายเป็นศิลปวัตถุ ในตำนานมีสมบัติอยู่มากมาย แต่ตราบใดที่ได้ครอบครองกำไลมิติลับ ก็จะได้พบเจอกับความสำเร็จอย่างแน่นอน

นอกจากนี้คนแรกที่ได้กำไลนี้ก็สามารถที่จะบินไปยังโลกแห่งสวรรค์ได้สำเร็จ แม้ว่ากำไลนี้จะทรงอำนาจมากแค่ไหน แต่ทุกคนที่ได้ครอบครองก็จะต้องถูกตามล่าและต้องตายในที่สุด

แต่เมื่อกี้เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ซ่อนมันงั้นเหรอ?! เหตุผลที่คนพวกนั้นต้องตายก็เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะซ่อนมันไว้ แต่กลับสวมมันไว้ที่ข้อมือ พวกเขาก็เลยถูกพบได้ง่ายๆ

แต่ถ้าพวกเขารู้เรื่องที่ซ่อน พวกเขาก็คงจะซ่อนมันไว้แล้ว

“นี่คือกำไลสู่สวรรค์งั้นเหรอ?! นายรู้เรื่องอะไรอีก?” มู่หรงเสวี่ยถามต่อ

“เอากำไลมาให้ฉันดูก่อน…” เจ้าลูกบอลสีขาวกลอกตาและพูดออกมา

นี่เห็นเธอโง่หรือไง?! “บอกฉันมาก่อน…”

“ให้ฉันดูก่อน…” มันเองก็ไม่โง่

“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด!” มู่หรงเสวี่ยขี้เกียจที่จะเถียงกับมัน เธอแวบเข้าไปในมิติลับ เธอยังบาดเจ็บอยู่อีกมาก เธอต้องไปรักษาตัว

หลังจากที่ทำความสะอาดแล้ว เธอก็ไปที่น้ำตก แต่ที่นั่นไม่มีหลุมดำแล้ว เธอคิดว่าในเมื่อกำไลมากับเธอด้วย บางทีเธออาจจะข้ามเข้าไปได้อีกครั้งแต่ไม่คิดว่าหลุมดำมันจะหายไป

แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอจะต้องหาวิธีก่อน มันจะต้องมีทางอื่นที่จะข้ามกลับไปได้เสมอ เธอหยิบตำราการฝึกตนของตำราฟินิกซ์ที่ท่านอาจารย์ให้เธอมาและตั้งใจอ่านอย่างระวัง

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มู่หรงเสวี่ยใช้เวลาแทบจะทั้งหมดของเธอไปกับการฝึกตนยกเว้นก็เพียงแค่ตอนกินข้าวเท่านั้น แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน

ในความเป็นจริงตำราฟินิกซ์เป็นทักษะวิชาการบ่มเพาะระดับเทพเจ้าซึ่งสามารถอัปเกรดได้เรื่อย ๆ มันแตกต่างจากระดับบน, ระดับกลางและระดับล่างของโลกแห่งการเพาะปลูก ทักษะเหล่านั้นสามารถฝึกฝนได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นจากนั้นพวกเขาต้องหาทักษะที่ลึกซึ้งมากขึ้นเพื่อเรียนรู้มิฉะนั้นการฝึกตนจะหยุดนิ่ง

ตำราฟินิกซ์เป็นทักษะการฝึกตนที่ได้รับการอัปเกรดซึ่งจะเปลี่ยนไปตามการฝึกตนของเจ้าของ กล่าวได้ว่าตำราฟินิกซ์และกำไรมิติลับเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก ไม่ว่าพวกมันจะคืออะไร แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนต่างก็อยากที่จะขโมย มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ครอบครองสมบัติอะไรอยู่

มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะขี้เกียจ ไม่ใช่แค่เพราะความปลอดภัยของตัวเองแต่เพื่อที่จะตามหาพ่อแม่ของเธอให้เร็วที่สุดและกลับไปโลกเดิมของเธอที่มีคนที่เธอรักอยู่

ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยกำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน เธอไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเองเลย เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าศูนย์กลางของพลังงานในร่างกายเธอมันร้อนกว่าปกติ ร่างกายของเธอราวกับว่ากำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนซึ่งอบอุ่นและสบายตัว

ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็เปล่งแสงออกมา ดังนั้นทั้งร่างของเธอจึงถูกปกคลุมไปด้วยแสง ร่างที่ซีดเซียวกลายเป็นสวยงามขึ้นมาทันที

วินาทีต่อมา แสงในร่างของมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาบรรจบกันและลมปราณในร่างของเธอก็พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า

“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดฉันก็ขึ้นมาถึงระดับสีฟ้าแล้ว!”

มู่หรงเสวี่ยลืมตาขึ้นและดวงตานกฟีนิกซ์สีเข้มของเธอก็ส่องประกายด้วยแสงพราว มันสว่างราวกับดวงดาวในยามค่ำคืนและเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากปากของเธอก็ดังราวกับเสียงกระดิ่งสีเงิน

เธอกระโดดขึ้นจากพื้นและตบฝ่ามือพุ่งไปที่เนินเขาที่อยู่ห่างไกลได้ทันที ลมจากฝ่ามือพัดออกไปชนเข้ากับภูเขาเสียงดัง “บึ่ม!” สนั่นหวั่นไหว แล้วมันก็เริ่มแตกออกจากกัน แล้วค่อยๆกลายเป็นหินสไลด์ลงมา

เมื่อมองไปที่ก้อนหินที่แตกจากระยะไกลและมองมาที่ฝ่ามือของตัวเอง ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายด้วยความดีใจและเธอก็ค่อยๆถอยห่างออกมาจากเป้าหมาย

“ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่จะขึ้นระดับสีม่วงได้…” เธอพึมพำกับตัวเอง

ต้องขอบคุณตำราฟินิกซ์ที่ท่านอาจารย์ให้เธอมา ไม่งั้นเธอคงฝึกแบบนี้ไม่ได้แน่ๆถ้ามัวแต่ฝึกเองจากภาพที่กำแพงหินด้วยตัวเอง เดิมทีเธอเพียงแค่ฝึกตนโดยอิงจากตำราฟินิกซ์แล้วก็ไปพบว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกี่ยวกับสิ่งที่เธอค้นพบ ดังนั้นเธอจึงรวมตำราฟินิกซ์เข้ากับภาพที่กำแพงหินเข้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะพบว่าตัวเองสามารถที่จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าจากการพยายามแค่ครึ่งเดียวแบบนี้

เกินปริมาตร (1)

เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในมิติลับมากี่ปีแล้ว มู่หรงเสวี่ยพบว่าการฝึกตนของเธอขึ้นมาถึงคอขวดแล้ว ไม่รู้ว่าเธอฝึกมานานแค่ไหนแล้ว เธอตัดสินใจที่จะออกมาดูสถานการณ์ เธอไม่รู้ว่าเจ้าลูกบอลสีขาวยังอยู่หรือเปล่า

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยออกมา เธอก็ไม่เห็นเจ้าลูกบอลสีขาวแล้วเธอจึงเดินไปรอบๆ ในบาร์เรียไม่มีสิ่งมีชีวิต มีเพียงต้นไม้สูงตระหง่าน

“ในที่สุดเธอก็ออกมาจนได้!”

จากระยะไกล เจ้าลูกบอลสีขาวกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วของเต่า

หลังจากที่ได้เห็น มู่หรงเสวี่ยก็กำลังคิดว่าเธอจะทำยังไงกับมันดี มันรู้แล้วว่าเธอมีกำไลมิติลับ

หลังจากที่เจ้าลูกบอลสีขาววิ่งมาถึงเท้าเธอ มันพยายามที่จะจับขากางเกงของเธอและปีนขึ้นมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่พยายามอยู่หลายครั้ง มันปีนขึ้นมาสองครั้งแล้วก็ตกลงไป มู่หรงเสวี่ยรู้สึกขำ

สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็คุกเข่าลงและอุ้มมันขึ้นมา

“นายอยากให้ฉันทำอะไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เจ้าลูกบอลสีขาวถามออกมาอย่างจริงจัง “เธออยู่ในกำไลงั้นเหรอ?” นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ ไม่มีใครเคยได้ยินเลยว่ากำไลมิติลับสามารถให้สิ่งมีชีวิตเข้ามาได้ด้วย ไม่งั้นพวกเจ้าของคงจะไม่ถูกตามล่ากันตลอดเวลา มันคงจะดีถ้าได้เข้าไปซ่อนในกำไล

หลังจากผ่านไปเดือนหนึ่ง มู่หรงเสวี่ยก็มาถึงระดับสีเขียวของการฝึกแล้ว ช่างเป็นการบ่มเพาะที่สุดยอดจริงๆ กำไลมิติลับนี่สมคำร่ำลือจริงๆ

มู่หรงพยักหน้า ยังไงซะถึงแม้เธอจะปฏิเสธเจ้าลูกบอลสีขาวก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี

“พาฉันเข้าไปดูหน่อยสิ…” เจ้าลูกบอลสีขาวพูดออกมาพร้อมดวงตาเป็นประกาย บางทีตราบใดที่มันได้เข้าไป มันก็อาจจะสามารถกู้พลังกลับมาได้ มันจะได้ไม่ต้องอยู่ในสถานที่บ้าๆแบบนี้ มันทรมานอยู่ที่นี่มานานแล้ว

“ไม่ได้…”

“ทำไมล่ะ? เอาอย่างนี้ฉันแลกผลไม้กับเธอแล้วกัน…” เจ้าลูกบอลสีขาวหยิบผลไม้ออกมา

มู่หรงเสวี่ยยกมันขึ้นมา สงสัยว่ามันเอาผลไม้ออกมาจากตรงไหนพร้อมทั้งพลิกตัวมันไปมาก็เห็นว่าไม่มีที่ให้ซ่อนอะไรได้เลย

เจ้าลูกบอลสีขาวยื่นมือสั่นๆสองข้างออกมาเพื่อปกปิดร่างกายอ้วนกลม “ทำไมเหรอ?! ไอ้คนลามก…”

ร่างของมู่หรงสั่นจนแทบจะโยนมันลง มุมยกสูงขึ้น ไม่อยากที่จะเชื่อจนถึงกับต้องแคะหูตัวเอง “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไร?”

มือเล็กๆอ้วนๆของเจ้าลูกบอลสีขาวทั้งสองข้างรีบเอาขึ้นมาปิดหน้าตัวเองทันที ไหล่สั่นไปหมดถ้าร่างอ้วนๆนั้นจะมีไหล่ “เธอมามองร่างกายของคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง?! ทำแบบนี้คนอื่นเขาก็อายจนไม่อยากที่จะอยู่นะสิ…”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เจ้าลูกบอลสีขาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างพูดอะไรไม่ออก “นายเป็นลูกบอลนะ ร่างกายนายอยู่ไหนเหรอ…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

ครึ่งชั่วโมงต่อมามู่หรงก็ค่อยๆว่างมันลงข้างๆแล้วก็หยิบถุงขนมออกมาจากมิติลับและนั่งกินอย่างผ่อนคลาย

“ก๊อบ!” เสียงมันฝรั่งแตก

เจ้าลูกบอลสีขาวร้องออกมาและถามอย่างสงสัย “เธอกำลังกินอะไรอยู่?”

“ทำไมไม่ลองกินดูล่ะ?! นายยังไม่เคยเห็นเหรอ…” มู่หรงเสวี่ยกินมันฝรั่งอีกชิ้น

หลังจากที่กลืนน้ำลายดังเอือก เจ้าลูกบอลสีขาวก็ยื่นมืออ้วนๆเล็กๆออกมาและพูดว่า “ฉันอยากจะกินบ้าง…”

รอยยิ้มแวบขึ้นมาในสายตาของมู่หรงเสวี่ยแล้วเธอก็มีท่าทางเขินๆเล็กน้อย “แต่ในโลกนี้ฉันไม่ค่อยมีอะไรให้กินเท่าไร ฉันต้องเก็บเอาไว้กินอีกนะ…”

“ก๊อบ!” เธอกินอีกชิ้น

“ถ้าเธอให้ฉันกิน ฉันจะบอกเธอเรื่องกำไล”

“ตกลง”

หลังจากที่ได้รู้เรื่องกำไลแห่งมิติลับในโลกนี้แล้ว มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเธอคงไม่สามารถที่จะปิดบังความจริงเรื่องนี้ได้ยกเว้นก็แต่มันจำเป็นจริงๆ

“ในกำไลมีอะไรอยู่เหรอ? ทำไมเธอถึงฝึกได้เร็วขนาดนี้ล่ะ?! พาฉันเข้าไปดูหน่อยสิ…” เจ้าลูกบอลสีขาวพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยเหล่มองไปที่มัน “ไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย ฉันพานายเข้าไปไม่ได้หรอก…”

“ทำไมล่ะ?! ฉันเซ็กซี่แล้วก็น่ารักมากเลยนะ” มันจับหน้าตัวเองด้วยสองมือพร้อมทั้งกะพริบดวงตากลมโต

“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายเป็นคนยังไง?! ถ้าฉันพานายเข้าไปแล้วนายขโมยของของฉันล่ะ ฉันไม่เสี่ยงหรอก”

“เธอ…” ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไร้การบ่มเพาะ เขาก็คงจะขโมยกำไลนี้ไปเองแล้ว… “เธอต้องการอะไร?”

“มันไม่ใช่ว่าฉันต้องการอะไร ฉันแค่พานายเข้าไปไม่ได้ถ้าไม่มั่นใจ…” มู่หรงเสวี่ยพูด

หลังจากที่เงียบไปนาน “งั้นมาทำสัญญากัน!” สุดท้ายเจ้าลูกบอลสีขาวก็กัดฟันเล็กน้อยแล้วพูดออกมา

“อะไรนะ? สัญญาอะไร?” มู่หรงถาม

อย่างไรก็ตาม เจ้าลูกบอลสีขาวไม่ได้เสียเวลาที่จะอธิบายอีกรอบ แต่กลับจับที่นิ้วเธอทันทีและกัดไปที่ฝ่ามือของเธอ เลือดของทั้งสองผสมเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นก็เกิดสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกขึ้นมาที่ใต้เท้าของพวกเขา หลังจากนั้นสักพักแสงก็มาบรรจบกันและกลายเป็นสัญญา

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่ามีสัญญาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวิญญาณของเธอ เธอรู้สึกได้ถึงความคิดของเจ้าลูกบอลสีขาว

“โอเค ตอนนี้เราเป็นสหายกันแล้ว เมื่อมีสัญญาล็อกอยู่ เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ฉันจะทรยศเธอแล้ว ตอนนี้เธอก็พาฉันเข้าไปได้แล้ว…” เจ้าลูกบอลสีขาวดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่มันก็ดีกว่าการที่ต้องอยู่ที่นี่ไปตลอด

แทบจะในทันทีที่สัญญาเสร็จสิ้น มู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของสัญญาขึ้นมาเลย มันคือความสัมพันธ์ที่แยกไม่ได้ของคนสองคน

เธออุ้มเจ้าลูกบอลสีขาวขึ้นมาและเข้าไปในมิติลับทันที

ทันทีที่เจ้าลูกบอลสีขาวเข้ามาในมิติลับ มันก็เริ่มที่จะบ้าคลั่งขึ้นมา “พระเจ้า นี่คือผลไม้ของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีเยอะเหลือเกิน…”

“นี่คือหญ้าแห่งจิตวิญญาณ…”

“แล้วยังมีน้ำพุแห่งจิตวิญญาณอีก…”

“…”

เจ้าลูกบอลสีขาวกระโดดวุ่นวายไปหมดไม่ยอมหยุด

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงหยิบตำราฟินิกซ์ออกมาอ่านอย่างตั้งใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมในเมื่อเธอขึ้นมาถึงระดับสีฟ้าแล้วแต่กลับไปต่อกว่านี้ไม่ได้

หลังจากเวลาผ่านไปนานเจ้าลูกบอลสีขาวก็กลับมาพร้อมกับผลไม้มากมายที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วก็ถามออกมาว่า “เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”

“มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มเกร็งๆ “ฉันอยากที่จะพัฒนาการฝึกของฉันอยากเร็วที่สุดแล้วออกไปจากที่นี่…”

“เธอฝึกแบบนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เธอเพียงแค่มีพลังจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าเธอออกไปข้างนอก เดาว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเธอก็คงจะจัดการเธอได้ภายในไม่กี่วินาที…” เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามู่หรงเสวี่ยขาดการฝึก

“นายมีคำแนะนำดีๆบ้างไหม?” มู่หรงเสวี่ยรีบถามออกไปทันที

“มีแต่การสู้ๆจริงๆเท่านั้นที่ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นมาได้…”

การสู้จริงๆงั้นเหรอ?! มู่หรงก้มหัวและคิด ไม่นานสายตาเธอก็แสดงถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่และพูดกับเจ้าลูกบอลสีขาวที่อยู่ข้างๆ “ฉันอยากจะออกไปสู้ นายจะอยู่ที่นี่หรือจะออกไปข้างนอก…”

“ฉันอยากจะอยู่ที่นี่…” เมื่อมู่หรงเสวี่ยกำลังก้าวเท้าออกไป มันก็พูดออกมาว่า “อย่าตายล่ะ…”

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงนะ!” แล้วก็หายแวบออกไปจากตรงนั้น เธอเดินอย่างมั่นใจออกมาจากบาร์เรีย

ตราบใดที่เธอมีหัวใจที่หนักแน่น เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

เธอมองไปที่อสูรสายฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเธอ มันดูน่ากลัวมากกว่าตัวที่เธอเจอครั้งที่แล้วซะอีก ที่มุมแหลมทั้งสองข้างที่หัวของเจ้าอสูรสายฟ้า เธอเห็นได้เลยว่ามีกระแสไฟฟ้ากะพริบอยู่ที่นิ้วของมัน

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกาย และอีกครั้งที่เธอต้องให้กำลังใจตัวเอง เธอจะถอยหลังกลับไม่ได้ไม่งั้นเธอจะไม่มีวันได้ก้าวไปข้างหน้า

“ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมาให้ฉันกินซะดีๆนะแม่หนู…” เจ้าอสูรสายฟ้าพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเย็นชา และร่างกายของเธอก็เริ่มที่จะเปล่งแสงออร่า “มาดูกันว่านายมีน้ำยาหรือเปล่า…”

“ท่าแรกเรียกว่าฟินิกซ์!”

มู่หรงเสวี่ยใช้ท่าแรกของตำราฟินิกซ์เพื่อโจมตีเจ้าอสูรสายฟ้า นกฟินิกซ์สีแดงบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งลงมาราวกับสายฟ้า

“งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ!” เจ้าอสูรสายฟ้าพูดดูถูกด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมทั้งพนมมือทั้งสองข้าง สายฟ้าขนาดใหญ่และกลุ่มแสงก็ปรากฏขึ้นมาในมือของมัน “เอาลูกบอลสายฟ้าฉันไปชิมหน่อยแล้วกัน…” สองพลังจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมปะทะเข้าด้วยกันเพียงเสี้ยววินาที ลูกบอลสายฟ้าก็กลืนนกฟินิกซ์เข้าไปและดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงร้องของฟินิกซ์ด้วย เพียงไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็ถูกปะทะก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว การปะทะที่รุนแรงทำให้เอกระเด็นห่างไปหลายร้อยเมตร เธอกระอักออกมาเป็นเลือดในทันทีและอวัยวะภายในของเธอก็รู้สึกเจ็บอย่างมาก

ระหว่างทั้งสองมีช่องว่างในเรื่องความแข็งแกร่งขนาดใหญ่ เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ต้องพ่ายแพ้ เธอได้รู้แล้วว่าการฝึกของเธออ่อนด้อยมากแค่ไหน

เจ้าอสูรสายฟ้าไม่ให้เวลามู่หรงได้พักเลย และไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็หายแวบไปจากจุดที่ยืนห่างจากหมัดของมันไปเพียงนิดเดียว

ทันทีที่เข้ามาในมิติลับ มู่หรงก็สลบไปทันที

เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา มู่หรงเสวี่ยก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นแต่ความเจ็บที่หน้าอกดูเหมือนจะเบาลงไปมากแล้วก็ยังมีรสของสมุนไพรอยู่ในปากของเธออีกด้วย

“เธอนี่มันไม่ไวไหวเลยจริงๆ แค่เจ้าอสูรสายฟ้าก็ยังสู้ไม่ได้…” เจ้าลูกบอลสีขาวไม่ได้ห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของมู่หรงเสวี่ยเลยแต่ยังพูดดูถูกออกมาอีก

“ฟู่!” มู่หรงเสวี่ยกะอักเลือดเต็มปากออกมาอีกครั้ง เดิมทีอาการบาดเจ็บของเธอก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นในหน้าอกของเธอยังมีลิ่มเลือดอยู่บ้างอีก แต่เธอรู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดของเจ้าลูกบอลสีขาวจึงได้รีบพุ่งออกไปทันที

ไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนหรอก ตอนนี้เธอเองก็ได้รู้แล้วว่าการต่อสู้จริงๆของเธอมันอ่อนด้อยมาก เธอไม่คิดเลยว่าการใช้พลังของเธอจะทำได้แย่มากๆ