บทที่ 242
การข้าม: ป่าแห่งความตาย
ยังไงซะเขาก็เป็นศิษย์พี่ของเธอ ส่วนเรื่องท่านอาจารย์ เธอไม่สนใจเขาหรอก
เพียงมู่หรงเสวี่ยโบกมือ สมุนไพรทั้งหมดก็ถูกจัดเรียงแยกประเภทอย่างเรียบร้อยและถูกเก็บไป หลังจากที่ได้เห็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มากมายที่เกี่ยวกับมู่หรงเสวี่ยมาแล้ว ตอนนี้ โม่หลิวเฟิงก็ไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว อย่างมากเขาก็แค่ถอนหายใจที่มันยังเป็นแบบนี้ได้
“ไปกันเถอะ!” มู่หรงเสวี่ยจับมือโม่หลิวเฟิง แล้วไม่นานทั้งคู่ก็มาโผล่ที่ห้องในวิลล่า
“เธอจะไปตอนนี้เลยเหรอ?” โม่หลิวเฟิงถาม
“ฉันจะไปเจอคุณปู่คุณย่าก่อน ตอนนี้ฉันจะเอาสมุนไพรไปเก็บที่ฐานลับของพี่ก่อน…” มู่หรงเสวี่ยพูด
พวกเขาไปที่ฐานด้วยกันและมู่หรงเสวี่ยก็ทิ้งสมุนไพรจำนวนมากไว้ให้โม่หลิวเฟิงแล้วจึงแยกตัวออกมา
มู่หรงเสวี่ยตรงไปที่ฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยน
อันที่จริงหลงอี้ได้รับแจ้งเรียบร้อยแล้วเรื่องที่มู่หรงเสวี่ยปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวง ในที่สุดหมอกควันที่อยู่เหนือดราก้อนพาวิลเลี่ยนก็เริ่มที่จะจางลงเล็กน้อยแล้ว วันนั้นหลงอี้เกือบจะต้องตายแล้วและแทบที่จะหยุดฮวงฟูอี้ไว้ไม่ได้ โชคดีที่เพียงแค่สามวันต่อมา คุณมู่หรงก็กลับมา ถ้าดราก้อนมาสเตอร์ออกไปข้างนอกด้วยสภาพจิตใจแบบนี้ มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดเขาไว้ได้ เขาจะต้องออกไปสร้างความตื่นตระหนกแน่ๆ
แม้แต่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนเองก็ต้องสั่นคลอน ถึงแม้จะบอกกันว่าดราก้อนมาสเตอร์เป็นผู้ปกครองของดราก้อน พาวิลเลี่ยน แต่นอกจากดราก้อนมาสเตอร์แล้วก็ยังมีผู้อาวุโสของพาวิลเลี่ยนอีกที่สามารถสั่นคลอนดราก้อนพาวิลเลี่ยนได้ ถ้าผู้อาวุธโสเหล่านั้นรู้ว่าตอนนี้ดราก้อนมาสเตอร์เป็นยังไง พวกเขาก็คงจะเลือกดราก้อนมาสเตอร์คนใหม่แน่ๆ ถึงแม้ฮวงฟูอี้จะไม่กลัวตาแก่พวกนั้นแต่มันก็ดีกว่าที่จะเลี่ยงความขัดแย้งภายใน
มู่หรงเสวี่ยตรงไปที่ห้องของคุณปู่คุณย่าในดราก้อนพาวิลเลี่ยน นอกจากห้องของฮวงฟูอี้ เธอก็พบว่าเธอยังสามารถที่จะผ่านที่อื่นๆในดราก้อนพาวิลเลี่ยนได้อยู่ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันกับเธอว่าฮวงฟูอี้เพียงแค่ไม่อยากที่จะเห็นหน้าเธอด้วยเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้ไม่รักเธอ
ระหว่างทางเธอยังได้เจอกับหลงอี้
“คุณมู่หรง!” หลงอี้กล่าวทักทาย
มู่หรงเสวี่ยถาม “หลงอี้ ครั้งล่าสุดที่ฉันถาม ฉันเจอเขาไม่ได้จริงๆใช่ไหม?”
หน้าของหลงอี้ชะงัก ถ้าในตอนนี้อาการของดราก้อนมาสเตอร์เป็นปกติ เขาก็ยังสามารถที่จะเอาเรื่องนี้เข้าไปรายงานได้ว่าเธอยังไม่ตาย
“ผมเกรงว่าจะไม่ได้…” หลงอี้พูดอย่างขอโทษ
เธอกำลังที่จะไป เธออยากที่จะเจอเขาก่อนที่เธอจะต้องไป เธอขอร้องอยู่เล็กน้อย “นายแอบให้ฉันเจอเขาหน่อยก็ได้ ฉันแค่อยากจะมองเขา…ฉันแค่อยากที่จะเห็นหน้าเขา…ฉันขอร้องล่ะนะหลงอี้…”
หลงอี้กำลังดิ้นรนอยู่ในหัวใจตัวเอง ในอีกนัยหนึ่งเขาหวังให้คุณมู่หรงรู้วิธีที่จะแบ่งความเจ็บปวดของดราก้อนมาสเตอร์ได้บ้าง อีกนัยหนึ่งเขาก็เข้าใจความรู้สึกของดราก้อนมาสเตอร์ที่ไม่อยากให้คุณมู่หรงเห็น ถ้าเป็นเขา เขาก็คงไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้เหมือนกัน
สุดท้ายหลงอี้ก็ยังคงส่ายหน้าตามเดิม
มู่หรงเสวี่ยก้มหัวและพูดออกมา “งั้นฝากบอกเขาทีว่าฉันรักเขาและจะรักตลอดไป” หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็หันหลังและเดินเข้าไปในห้องของคุณปู่คุณย่า
ประตูปิดกั้นทุกอย่าง
ทันทีที่หลงอี้กลับไปที่ห้องมอนิเตอร์ เขาก็ตัดวิดีโอคำพูดของมู่หรงเสวี่ยและตรงไปที่ห้องของฮวงฟูอี้ทันที
ฮวงฟูอี้ดูวิดีโอที่อยู่ในมือ สายน้ำตาใสดั่งคริสตัลสองสายไหลลงมาอาบแก้มบนใบหน้าที่ดูไม่ใช่มนุษย์เลยสักนิด ชายหนุ่มร้องไห้แต่เขาไม่แสดงอาการเศร้าเสียใจเลยสักนิด
มู่หรงเสวี่ยคุยกับคุณปู่คุณย่าในห้องอยู่นาน ทั้งสามกอดกันร้องไห้อยู่นาน คุณปู่คุณย่าถึงขนาดบอกว่าพวกท่านจะไปกับมู่หรงเสวี่ยด้วย อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยไม่สัญญาว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างและไม่รับปากเรื่องความปลอดภัยด้วย
จนเวลาล่วงเลยมานานมู่หรงเสวี่ยกล่าวคำลาคุณปู่คุณย่าอย่างไม่เต็มใจเท่าไรและแวบหายเข้าไปในมิติลับ เหตุผลที่เธอเข้าไปจากที่นี่เพราะเธอเป็นห่วงว่าหลังจากที่เธอเข้าไปในหลุมดำ กำไลที่เธอสวมอยู่นี่จะโผล่ออกมาหรือเปล่า?! ดังนั้นถ้ามันโผล่ออกมา คุณปู่คุณย่าจะได้เก็บเอาไว้ ในดราก้อนพาวิลเลี่ยนไม่น่าที่จะมีอันตรายใดๆได้
อันที่จริงเมื่อพูดถึงเสี่ยวเข่อลี่ ไม่ใช่มู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่กำลังตามหาเธอ แต่เธอเองก็กำลังตามหามู่หรงเสวี่ยด้วยเหมือนกัน เธอจะพลาดเรื่องกำไลมิติลับไปได้ยังไงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสจะได้อยู่คนเดียวเลย สมาชิกของดราก้อน พาวิลเลี่ยนมักจะคุ้มกันเธออยู่ใกล้ๆเสมอ เธอเองก็อยากที่จะใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อข่มขู่มู่หรงเสวี่ยด้วยเหมือนกัน แต่เธอก็หาตัวคุณพ่อ, คุณแม่, คุณปู่ หรือคุณย่าของเธอไม่เจอเลยซึ่งทำให้เธอโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว
เสี่ยวเข่อลี่ยังมีหมากอยู่ในดราก้อนพาวิลเลี่ยนแต่เธอยังไม่อยากที่จะเปิดเผยเร็วเกินไป เธอยังต้องใช้หมากตัวนี้อีกมาก เธอจะใช้มันตอนนี้ไม่ได้ ถ้าทางดราก้อนพาวิลเลี่ยนรู้เรื่องนี้ ในอนาคตก็คงจะยากขึ้นไปอีกกว่าที่จะแอบเข้ามาข้างในได้แบบนี้
และเธอก้ไม่อยากจะบอกพ่อเธอเรื่องกำไลมิติลับด้วย ไม่งั้นเธอกลัวว่ากำไลมิติลับคงไม่ตกมาเป็นของเธอแน่ๆ
มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมที่มีสีสัน สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็หมุนวนไปวนมาและก็มีสีขาวอยู่ทั่วไปหมด ดูเหมือนว่าเธอกำลังทรมานจากการถูกบีบ เธอแทบจะหายใจไม่ออก ไม่นานเธอก็หมดสติไป ก่อนที่เธอจะสลบไปเธอพูดออกมาได้เพียงแค่คำเดียว: ไม่!
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเหมือนจะคันๆอยู่ที่หน้า เธอใช้มือตบไปที่หน้าอย่างไม่รู้ตัว วินาทีต่อมาเธอก็ลืมตาขึ้นมาทันทีและเห็นดวงตากลมๆคู่หนึ่ง บวกกับตัวขนปุยๆสีขาวกลมๆที่ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวกับหัวมันอยู่ไหน เพราะมันอ้วนมากจนเธอเห็นแค่ลูกตาสองดวงอยู่บนลูกบอล
หญิงสาวหนึ่งคนกับสัตว์ร้ายหนึ่งตัวที่กำลังจ้องหน้ากันด้วยดวงตากลมโต กะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก
หลังจากผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยก็ยกแขนที่เกรงๆของตัวเองและพบว่าเธอรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว เธอคงจะล่วงลงมาจากอากาศแน่ๆ โชคดีแล้วนะที่ไม่ตาย
เธอลุกขึ้นและเห็นว่าตามร่างกายมีแผลอยู่หลายที่ สิ่งแรกเลยเธอมองไปที่ข้อมือและพบว่าเครื่องหมายของกำไลมิติลับยังอยู่ที่เดิมแต่เธอไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน เธอไม่กล้าที่จะเดินไปไหนตามอำเภอใจ เธอไม่ได้จัดการเจ้าลูกบอลที่อยู่ข้างๆ เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตของโลกนี้แต่ก็ดูไม่น่ามีพิษภัยอะไร ไม่งั้นป่านนี้เธอคงจะตายไปแล้วแน่ๆ
มู่หรงเสวี่ยยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวดและเห็นว่ารอบๆตัวเธอมีแต่ป่าและไม่มีทางออกเลย นี่เป็นป่าโบราณที่สูงมาก มีต้นไม้ที่ไม่รู้จักมากมาย เธอขมวดคิ้ว นี่ดูเหมือนว่าเธอต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด เธอต้องรู้ข้อมูลของโลกนี้ให้เร็วที่สุดแล้วจะได้ออกไปตามหาพ่อแม่เธอ
เธอมองไปที่เจ้าลูกบอลที่เท้าของเธอและพบว่ามันเองก็กำลังมองมาที่เธอเช่นกัน ประกายแห่งความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของเธอ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองงงไปหมดแล้ว เธอมองเห็นอารมณ์ของตัวเองจากเจ้าลูกบอลนี่จริงๆ อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าสถานที่นี้แตกต่างจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิงและมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างพันธุ์สัตว์และพันธุ์พืช
เธอหวังอยากให้โลกนี้มีมนุษย์อยู่ด้วย ไม่ใช่เอเลี่ยนที่ไม่รู้จัก ในตอนนี้เธอเริ่มที่จะกังวลแล้ว เสียงหัวเราะสะท้อนก้องอยู่ในป่าราวกับเสียงระฆังของเพลงไพเราะที่อ่อนหวาน
มู่หรงเสวี่ยยกเท้าและอยากที่จะออกหาทางแต่ก็พบว่าขากางเกงของเธอถูกดึงเอาไว้ เธอก้มลงไปมองและเห็นว่าเป็นเจ้าลูกบอลเมื่อกี้
เธอคุกเข่าลงและเอามือจิ้มไปที่ร่างกายอ้วนๆของมัน เจ้าลูกบอลล้มลงไปทันทีแล้วก็กลิ้งเป็นวงกลมอยู่สองสามรอบ เวลาผ่านไปนานแต่มันก็ไม่ลุกขึ้นมาซะที มู่หรงเสวี่ยจิ้มลงไปอีกทีแล้วก็เริ่มที่จะหัวเราะออกมา
“ช่วยฉันลุกขึ้นที…”
มู่หรงเสวี่ยหยุดหัวเราะแล้วจึงมองไปรอบๆ เธอไม่เห็นใครเลย เธอคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเอง แล้วเธอก็ส่ายหัวและเตรียมที่จะจากไป
“ฮัลโหล แม่คุณ นี่เธอ รีบช่วยฉันลุกขึ้นเร็วสิ…”
มู่หรงหยุดเดิน ครั้งนี้เสียงดังชัดเจนมาก เธอมองไปที่เจ้าลูกบอลสีขาว เสียงดังมาจากร่างกายของมัน เธอคุกเข่าลงไปอีกครั้ง ช่วยเจ้าลูกบอลให้ลุกขึ้นมาแล้วหญิงสาวกับเจ้าสัตว์ก็ได้เผชิญหน้ากัน “พูดได้ด้วยเหรอ?”
แขนขาสั้น ๆ ของเจ้าลูกบอลสีขาวกระพือปีกอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่มีปีกกางออกมา แล้วเขาก็พูดกับมู่หรงเสวี่ยด้วยความโกรธ “นี่แม่คุณ รีบปล่อยนายน้อยคนนี้ลงเร็วเลยนะ…”
“เป็นนายจริงๆด้วยที่พูดออกมา นายเป็นตัวอะไรกัน?” มู่หรงเสวี่ยอุ้มมันสลับไปขวาที ซ้ายที ก็มันเป็นลูกบอลนิ
“ฉันเป็นสิ่งมีชีวิต ครอบครัวของฉันทั้งหมดก็เป็นสิ่งมีชีวิต!”
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะคิกคัก วางมันลงแล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มนุษย์ในโลกนี้โตขึ้นมาเป็นแบบนี้งั้นเหรอ?! เธอยกเจ้าลูกบอลสีขาวขึ้นมาอีกครั้งแล้วถาม “นายเป็นมนุษย์งั้นเหรอ?”
อย่างไรก็ตาม บอลสีขาวมองไปที่เธออย่างดูถูก “นายน้อยอย่างฉันจะลดตัวลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างมนุษย์ได้ยังไงกัน…”
“งั้นนายเป็นตัวอะไรล่ะ?”
“อืม พวกมนุษย์อย่างเธอไม่สมควรที่จะได้รู้หรอก…” แต่ประกายความสงสัยเล็กน้อยก็แวบอยู่ในสายตาเขาและเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ทำให้เขาอยากที่จะเข้าใกล้
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเขา แต่ยกเจ้าลูกบอลขึ้นมาและนวดไปที่ตัวมัน เธอไม่หยุดจนกระทั่งมันเริ่มที่จะร้องขอความเมตตา “ปล่อยนะ…ปล่อยฉันนะ…”
เจ้าลูกบอลสีขาวนอนอยู่ที่พื้นและรู้สึกทรมานอย่างมาก แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเอง ก็รู้สึกว่ามันโหดร้ายอยู่นิดหน่อย
ผมของมันถูกลูบจนเป็นลูกบอลโดยมู่หรง ซึ่งแตกต่างจากในตอนแรก มีหลายจุดที่พันกันเป็นปม มันนอนกองอยู่กับพื้น รู้สึกท้องอืด ดวงตากลมคู่หนึ่งเป็นผลึกแก้วเล็กน้อย ดูเหมือนมันกำลังกล่าวโทษมือที่ซุกซนของมู่หรงเสวี่ยอยู่
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างเขินอายและพูดออกมา “เพราะนายน่ารักมาก จะโทษฉันไม่ได้นะ…”
ถ้าเขาจะต้องโทษตัวเองที่น่ารัก แค่นี้ก็เกือบที่จะทำให้เจ้าลูกบอลสีขาวกระอักออกมาเป็นเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่กล้าที่จะทำตัวหยิ่งผยองแบบนี้หรอก เธอกอดเขาซะแบน จนเล็กกว่ามือเธอซะอีก
ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีกจนอยากที่จะร้องไห้ออกมาเลย
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขิน เธอแค่ล้อเล่น ไม่คิดเลยว่าเจ้าลูกบอลนี่จะบอบบางขนาดนี้จนถึงกับร้องไห้และไม่อยากที่จะเล่นกับเธออีก
โชคดีที่เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่งั้นเจ้าลูกบอลสีขาวก็คงจะหนีไปแล้ว
“อย่าร้องเลยนะ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษนายได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยเห็นว่ามันร้องไห้จนตัวกลมและรูปร่างเล็กๆของมันก็ดูน่าสงสารอย่างมาก เธอจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจ้าลูกบอลสีขาวเงียบไปชั่วขณะแล้วก็หันหลัง เหลือไว้เพียงด้านหลังให้มู่หรงได้เห็น
ปากของมู่หรงเสวี่ยยกขึ้นเล็กน้อย เป็นนิสัยเสียของเธอเองที่ไม่สนใจมันเลย อีกอย่างมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เธอเข้ามาเจอในโลกนี้และไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเป็นมิตรกับมันอย่างมาก
มู่หรงเสวี่ยอุ้มเจ้าลูกบอลขึ้นมาและพูดว่า “ฉันขอโทษนายด้วยนะ อย่าโกรธกันเลยนะ…” เธอค่อยลูบไปที่ขนบนตัวของมันแล้วพูดออกมา
“เธอรังแกฉัน เธอยังมีความผิดอยู่!” ดวงตากลมโตของเจ้าลูกบอลสีขาวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ภาพของมู่หรงเสวี่ยที่ก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายยังติดอยู่ในหัวของเขา
แต่ร่างกลมของมันก็ดูจะอ่อนลง ทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่ามันน่ารักมาก เธอหัวเราะและพูดออกมา “ฉันชอบท่าทางของนายจัง…”
เจ้าลูกบอลสีขาวตะลึงแล้วใบหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีแต่เธอก็มองไม่เห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้ขนนุ่ม เขาหันกลับมาด้วยความโกรธแล้วพูดออกมาว่า “เธอมันบ้า กำลังพูดเรื่องการรังแกแต่กลับมาบอกว่าเธอชอบฉันได้ยังไง…”
มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก มันเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือเปล่า? ถ้าจะหันหัว มันก็จะหันไม่ได้ มันน่าแปลกที่บางคนคุยและหันมาพร้อมกันได้
มู่หรงเสวี่ยถามในระหว่างที่เดินไปด้วย มีป่าอยู่รอบๆไปหมดและเธอมองไม่เห็นทางออกเลย อีกอย่างเธอรู้สึกแปลกๆ ทำไมถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเลยนอกจากเจ้าลูกบอลสีขาวนี่? มันแปลกเกินไปแล้ว
เมื่อได้ยินดังนี้ เจ้าลูกบอลสีขาวก็ถามออกมาแปลกๆ “ที่ป่าแห่งความตายเนี่ยเหรอ?! แต่เธอแหละที่แปลกกว่าอีก เมื่อวานฉันเห็นเธอตกลงมาจากหลุมดำ…” หลังจากนั้น มันก็หันไปและเกือบที่จะลืมว่าผู้หญิงคนนี้เกือบที่จะทับเขาตอนที่เธอตกลงมาเมื่อวาน เขาเกือบจะต้องแบนไปแล้วเพราะห่างไปแค่นิดเดียว
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอตกลงมาจากหลุมดำแล้วเธอก็ถามต่อ “นายเคยเห็นคนอื่นตกลงมาแบบฉันก่อนหน้านี้บ้างไหม?” ในเมื่อเธอตกลงมาที่นี่ พ่อกับแม่ของเธอก็อาจจะตกมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน