บทที่ 241
โชคชะตา
“ยังไงซะเธอก็ควรที่จะเช็ดเลือดที่หน้าซะก่อนนะ…” ชางกวนหลินหยิบผ้าก๊อซออกมาและค่อยๆช่วยเธอเช็ด พร้อมกันนั้นก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
มู่หรงเสวี่ยตะลึงแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองลืมแผลที่หน้าผากไปเลย เพราะเท้าที่บาดเจ็บมันเจ็บอย่างมาเหมือนกัน เธอจึงจำได้แต่แผลที่เท้า ไอ้ลูกหมานั้นไม่เตือนให้เธอใส่ยาเลยด้วยซ้ำ จู่ๆเมื่อมู่หรงเสวี่ยนึกถึงไอ้เย็นชาเฉียนฉีเธอก็กลายเป็นไม่พอใจขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรเหรอ? ฉันทำให้เธอเจ็บเหรอ?” ชางกวนหลินสังเกตเห็นท่าทางของเธอจึงถามออกมา
“เปล่า ไม่ได้เจ็บ อีกอย่างนะชางกวนหลิน ฉันเจอท่านอาจารย์ได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
ชางกวนหลินหยุดการทายาและถามออกมา “เรียกฉันว่าศิษย์พี่ เธออยากที่จะเจอท่านอาจารย์งั้นเหรอ? ทำไมเหรอ?”
“มีเรื่องนิดหน่อย…” มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรมาก
“ถ้าเธออยากที่จะเจอท่านอาจารย์ งั้นก็ไปเจอตอนนี้เลย เดี๋ยวท่านอาจารย์ก็จะปิดด่านฝึกตนแล้ว…”
ชางกวนหลินทายาต่อและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจและลุกขึ้นมาทัน “งั้นฉันจะไปหาท่านตอนนี้เลย…”
ชางกวนหลินมองไปที่ขี้ผึ้งในมืออย่างทำอะไรไม่ถูกแล้วจึงพูดออกมา “ไม่ต้องห่วง มาทายาก่อนเถอะ เธออยากไปเจอท่านอาจารย์ในสภาพแบบนี้งั้นเหรอ แล้วก็ไปเปลี่ยนชุดก่อนด้วยนะ…”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่สภาพของเธอและก็ยิ้มออกมาอย่างอายๆ พร้อมทั้งนั่งลงอีกครั้ง “งั้นก็รีบๆทายาสิ…”
ชางกวนหลินไม่ได้พูดอะไรมากแต่รีบทายาและทำแผลให้เธอ มันดูดีขึ้นมากแล้วเขาก็หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ยออกมาจากกระเป๋ามิติลับและส่งให้เธอ
มู่หรงเสวี่ยกล่าวขอบคุณ แล้วก็หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในถ้ำ เธอปิดประตูและเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง เธอดูสดใสขึ้นมาก หลังจากที่เธอเดินออกมา ชางกวนหลินก็ยังยืนรอเธออยู่ที่สนาม “ไปกันเถอะ ฉันพาเธอไปจะเร็วกว่า…”
มู่หรงส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “ไม่ค่ะ ฉันจะไปเอง”
“ถ้าให้เธอไปเองกว่าจะถึงก็ดึกกันพอดี เร็วเข้า!” ชางกวนหลินยื่นมือออกไป
มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่กลางแสงแดดนึกขึ้นมาได้ว่า หลิวหยุนจุงอยู่ห่างจากที่พำนักของท่านอาจารย์ใหญ่มากและการบ่มเพาะของเธอก็ยังด้อยเกินกว่าที่จะรู้วิธีบินได้ด้วย เธอวางมือตัวเองลงที่มือของชางกวนหลินแล้วทั้งสองก็ลอยขึ้นไปในอากาศและบินด้วยความเร็วไปที่ยอดเขาของท่านผู้นำ
“ถ้าเธอไม่เข้าใจการฝึกก็มาถามฉันได้ แล้วต่อไปก็ค่อยเรียกฉันว่าศิษย์พี่…” ชางกวนหลินที่อยู่อีกด้านพูดเสียงเบา
“งั้นศิษย์พี่ ต่อไปฉันคงต้องขอรบกวนด้วยนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ได้เลย!…”
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ ทำไมรู้สึกเหมือนเขากำลังแกล้งเธออยู่เลยล่ะ
หลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็มาถึงขั้นบันไดหยก มู่หรงเสวี่ยกำลังที่จะอ้าปากบอกว่าเธออยากที่จะเข้าไปคนเดียว แต่ชางกวนหลินดูเหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงชิงพูดขึ้นมาก่อน “เธอเข้าไปเถอะ ฉันจะรออยู่ที่ประตูนี่แหละ…”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและเดินเข้าไป สาวกสองคนที่หน้าประตูหยุดเธอไว้และเดินเข้าไปรายงานก่อน
หลังจากที่ได้รับคำอนุญาตแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปข้างในด้วยเท้าของตัวเอง เธอเห็นท่านอาจารย์กำลังนั่งอยู่ที่ด้านบนของรูปปั้น เขาดูเหมือนจะกำลังจ้องตรงมาที่เธออย่างไม่วางตา
เมื่อเธอได้เห็นท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก เธอคิดว่าเขาดูจะอายุพอๆกับชางกวนหลินเพราะใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยของความแก่อยู่เลย ถึงแม้ใบหน้าโดยรวมจะไม่ได้หล่อเหลาอะไรมาก แต่ก็มีร่องรอยของความเป็นอมตะอยู่ด้วยซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวได้
“ท่านอาจารย์…” มู่หรงเสวี่ยเรียกออกมาอย่างเคารพ
ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยลำแสง สีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆ
“ท่านอาจารย์ ฉันมีเรื่องที่จะถามค่ะ” มู่หรงพูด
“พูดมา”
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้วิธีท่องห้วงเวลาและมิติลับหรือเปล่าคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
สายตาเย็นชาของหลิวฮวงมองมาที่เธอและถามออกมา “ทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้?”
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและพูดออกมา “ท่านอาจารย์ อีกไม่นานฉันก็จะต้องไปเพื่อไปตามหาพ่อแม่…”
“ถึงแม้เธอจะกลับมาไม่ได้งั้นเหรอ?” หลิวฮวงที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างถามออกมาด้วยประโยคธรรมดาๆ
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นไปและพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถึงแม้ฉันจะกลับมาไม่ได้ ฉันก็จะไปค่ะ!”
หลิวฮวงมองไปที่สายตาหนักแน่นของเธอแล้วถอนหายใจ “ไปเถอะ นี่เป็นโชคชะตาของเธอ…”
มู่หรงเบิกตากว้างในทันที “ท่านอาจารย์ ท่านรู้อะไรเหรอคะ?” เธอเกือบที่จะลืมมารยาทว่าเธอกำลังอยู่เบื้องหน้าท่านอาจารย์ไปเลย เรื่องนี้สำคัญกับเธออย่างมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามหลิวฮวงกวักมือให้เธอเดินเข้ามา หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป เธอก็เห็นว่าหลิวฮวงหยิบหนังสือออกมาหลายเล่มจากด้านข้างและวางลงในมือของเธอ “ไม่จำเป็นที่จะต้องถามถึงเรื่องอื่น ทุกอย่างมีจังหวะของมันเอง เอาหนังสือพวกนี้กลับไปด้วย มันจะช่วยเจ้า…”
“ท่านอาจารย์ ฉัน…”
มู่หรงเสวี่ยยังอยากที่จะถามต่อแต่หลิวฮวงโบกมือราวกับว่าไม่อยากที่จะพูดต่อแล้ว “ไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก กลับไปได้แล้ว…”
เธอทำได้เพียงรับคำและเดินออกมา
เมื่อกี้เหมือนกับว่าท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามของเธอแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่จะพูดอีก เธอมองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือซึ่งเขียนว่า “การบ่มเพาะทักษะการฝึกตนแห่งฟีนิกซ์!”
ฟีนิกซ์งั้นเหรอ?! มันเป็นเทคนิคการใช้เข็มฟีนิกซ์ทั้งชุดในมิติลับของเธอ เธอยังไม่รู้แต่ก็รู้สึกว่ามันคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะมานั่งอ่านตอนนี้ เธอกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขนและเดินลงไปที่บันได ไม่ห่างนั้น ชางกวนหลินยังยืนรอเธออยู่
“เป็นไงบ้าง? ได้ถามหรือเปล่า?” ชางกวนหลินถาม
มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า ท่าทางบนสีหน้าของเขาดูซับซ้อน ราวกับว่าท่านอาจารย์รู้เหตุผลแต่เขาไม่ยอมที่จะบอก
ชางกวนหลินรู้ตั้งแต่ที่เห็นท่าทางหงอยๆของเธอแล้ว ท่านอาจารย์เป็นคนที่เย็นชา ถึงแม้เขาจะเป็นลูกศิษย์ของท่าน แต่ท่านก็ยังไม่อ่อนโยนด้วยเลย
“อย่าไปสนใจท่านอาจารย์เลยถึงแม้ท่านดูเย็นชาแต่ท่านก็ดีกับพวกเรามากๆเลยนะ…”
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจเรื่องนั้น “ฉันอยากที่จะกลับไปที่เมืองหลวงอย่างเร็วที่สุด…” จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาในเมื่อท่านอาจารย์บอกว่ามันเป็นโชคชะตาของเธอ งั้นเธอก็ควรที่จะลองดูหน่อย ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ปล่อยให้พ่อแม่อยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักไม่ได้
เมื่อคิดว่าเธออาจจะกลับมาไม่ได้ เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง คุณปู่คุณย่าและฮวงฟูอี้ยังอยู่ที่นี่
ไม่ เธอจะต้องหาทางกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตาม…”ทำไมถึงกลับเร็วขนาดนี้ล่ะ?! รู้ไหมว่าฝึกที่นี่มันจะเร็วกว่านะ แสงออร่าที่โลกเทียบไม่ได้กับที่นี่เลยนะ…” ชางกวนหลินคิดว่าเธอไม่เข้าใจ เขาจึงรีบอธิบายออกมา
มุ่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ฉันรู้ แต่ฉันยังมีเรื่องที่จะต้องทำ มันสำคัญมากจริงๆ ท่านอาจารย์เองก็รู้เรื่องนี้แล้ว…”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรที่จะพูด งั้นคืนนี้ก็พักที่นี่ก่อนแล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปส่ง…”
“อันที่จริง ฉันกลับเองได้ พี่ช่วยบอกทางมาก็พอ…”
“เธอยังไม่เก่งพอที่จะเปิดช่องทางเคลื่อนย้าย”
“ขอโทษนะศิษย์พี่…” มู่หรงเสวี่ยเอ่ยขอโทษ
ชางกวนหลินพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร มาเถอะ กลับกันเถอะ”
ระหว่างทางที่กลับไปที่ถ้ำ พวกเขาก็ผ่านทางเข้าถ้ำด้วย
เหลงเฉียนฉีที่ยืนมองพวกเขาอยู่ที่ประตู ดวงตามีประกายแวบขึ้นมาแต่ใบหน้ากลับมองไม่เห็น
วันต่อมา ชางกวนหลินแวะมาหามู่หรงเสวี่ยและพวกเขาก็เตรียมตัวที่จะเดินทางกลับ
ชางกวนหลินคิดว่าตัวเองจะอยู่นานอีกหน่อยได้ แต่เขาทำได้เพียงไปๆมาๆทุกสองหรือสามวัน พื้นฐานแล้วเขาจะอยู่ที่โลกซะมากกว่า ตอนที่เขาถามเสี่ยวเสวี่ยว่าเธอต้องไปจัดการเรื่องอะไร เสี่ยวเสวี่ยไม่ตอบ เธอบอกเพียงแค่ว่าเธอจะไม่อยู่นานเลย ท่านอาจารย์รู้เรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้ยิ่งทำให้ชางกวนหลินสงสัยมากขึ้นไปอีก และรู้สึกมาตลอดว่ามู่หรงเสวี่ยมีความลับ
หลังจากกลับมาที่วิลล่า มู่หรงเสวี่ยก็เข้าไปในมิติลับและได้รู้ว่าพี่โม่ขึ้นมาอยู่ที่ระดับสีเหลืองแล้ว เธอถอนหายใจให้ความอัจฉริยะของพี่โม่
“พี่โม่ ฉันพร้อมที่จะไปแล้วค่ะ พี่จำภาพทั้งหมดบนกำแพงหินได้หรือยัง?” มู่หรงถาม แต่ในหัวใจก็ยังมีความรำคาญอยู่เล็กๆ เธอถึงขนาดลืมที่จะพูดถึงพี่โม่กับท่านอาจารย์ด้วยถ้าเธอเป็นพี่โม่ ก็คงจะดี
“ฉันจดไว้แล้ว มู่หรงเธอจะต้องกลับมานะ!” โม่หลิวเฟิงพูดออกมาอย่างจริงจัง
มู่หรงพยักหน้า “แน่นอนค่ะ!”
แล้วเธอก็นึกถึงเรื่องยาขึ้นมาได้ มู่หรงเสวี่ยจึงพูดออกมา “พี่โม่ พี่จำเรื่องคนที่มีหน้าสีเทาดำที่ฉันเคยพูดกับคุณปู่โม่ได้หรือเปล่า?”
“จำได้สิ มีอะไรเหรอ?” โม่หลิวเฟิงถามด้วยความสงสัย
“ฉันขอยกเรื่องนี้ให้พี่ดูแลแทนนะพี่โม่ พี่สำเร็จถึงขั้นแล้วและพี่ก็สามารถที่จะสกัดยาได้แล้วด้วย ฉันจะเขียนสูตรและวิธีการปรุงยาให้กับพี่เอง ทักษะของฉันยังไม่ถึงขั้นดังนั้นฉันเลยปรุงยาเองไม่ได้…”
“แต่ฉันไม่รู้เรื่องเภสัชวิทยาเลยนะ?” โม่หลิวเฟิงขมวดคิ้วและพูดออกมา
“การเล่นแร่แปรธาตุไม่เหมือนกับยา ถึงแม้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องยาก็สามารถที่จะปรุงยาได้ ลองดูนะคะพี่โม่ ถ้าพี่ทำไม่ได้ พี่ไปหาชางกวนหลินและบอกเขาว่าฉันแนะนำพี่มาได้ ลองถามเขาดูว่าพอจะมีหนทางไหม ฉันจะเตรียมสมุนไพรไว้ให้พี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าสมุนไพรอาจจะไม่พอ น่าจะเป็นเพราะศิษย์พี่ยังไม่ได้รับการล้างพิษจนถึงตอนนี้
เดิมทีเธออยากที่จะมอบสมุนไพรให้เขาไปเลยแต่เขาอาจจะดูแลได้ไม่ดี
เธออยากที่จะกลับบ้านแต่ก็ยังพูดกับโม่หลิวเฟิง “แล้วช่วยฉันส่งสมุนไพร 10 อย่างให้ชางกวนหลินทีนะคะ บอกเขาว่านี่สำหรับศิษย์พี่…”