บทที่ 240
การบาดเจ็บ
“เฉียนฉี เธอพาเสี่ยวเสวี่ยไปดูภายในของหลิวหยุนจงทีนะ บอกเธอเรื่องที่จะต้องรู้ ชางกวนหลินอยู่ก่อนส่วนคนอื่นๆลงไปได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของหลิวฮวงดังขึ้นมา
“เสี่ยวเสวี่ยเธอเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไปทีหลัง” ชางกวนหลินกระซิบ
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็ค่อยๆเดินออกมาตามแนวแล้วจึงออกทางประตูหลักของห้องโถงไป
เหลงเฉียนฉีและหลิวเจียซินออกมาพร้อมกัน
หลิวเจียซินบอกว่าเธอมีเรื่องที่จะต้องทำและแยกตัวออกไป เธอไม่สนใจที่จะอยู่กับเด็กสาว ในฐานะศิษย์พี่ เธอไม่ใช่คนที่จะเสียเวลามาอยู่กับผู้หญิงแบบนี้นี้ เธอคิดอยู่ในใจ มันคงจะดีกว่าที่จะปล่อยเธอไว้กับรุ่นพี่แล้วรอดูว่าเขาจะจัดการกับเธอยังไง
ตอนนี้มีเพียงสองคนที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูของห้องโถง
มู่หรงเสวี่ยเดินมาข้างหน้า “ศิษย์พี่ ครั้งที่แล้วพี่ใส่บางอย่างเข้าไปในร่างกายของฉัน ช่วยเอามันออกไปทีได้ไหมคะ?! ยังไงซะเราก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน…” ตราบใดที่เขาช่วยเอาออกให้เธอตอนนี้ เธอก็จะไม่สนใจท่าทางหยาบคายของเขาก่อนหน้านี้
รอยยิ้มเย็นชาเผยออกมาพร้อมเสียงเย็นชาที่เปล่งออกมา “เอาออกงั้นเหรอ?! ทำไมฉันถึงจำไม่ได้เลยล่ะว่าทำอะไรแบบนั้นด้วย?”
เขาจะไม่ยอมรับงั้นเหรอ?!! “พี่จะไม่ยอมรับใช่ไหม?! งั้นถ้าฉันบอกท่านอาจารย์พี่ก็คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” มู่หรงพูดขู่เล็กน้อย
สายตาแวบประกายเย็นชา “เธอคิดว่าท่านอาจารย์จะเชื่อคำพูดของลูกศิษย์ที่ฝึกมานานหรือจะเชื่อเรื่องที่เด็กใหม่ที่ยังไม่ได้ฝึกอะไรเลยสักนิดพูดดีล่ะ?!! ตลกดีนะ…” มือที่เรียวยาวของเขาจับคางมู่หรงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
มือของมู่หรงเสวี่ยยกขึ้นและปัดไปที่มือที่จับคางเธออย่างแรง! ไอ้ทุเรศ ก่อนที่เธอจะมาที่นี่ เธอได้ยินจากกวนหลินว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าหรือสู้กันเอง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่กลัวเขาแล้ว
เหลงเฉียนฉีดึงมือกลับมาและพูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชากว่าเดิม “ฉันไม่ได้เจอเธอมาเดือนหนึ่งแต่ก็ถือว่าเธอกล้าขึ้นมากนะ ฉันคิดว่าเธอคงเบื่อชีวิตแล้ว…”
“อืม เราจะฆ่ากันเองไม่ได้ ศิษย์พี่ลืมเรื่องกฎของไปแล้วหรือไง?” เมื่อมู่หรงเสวี่ยพูดจบเธอก็เดินลงบันไดไป
เหลงเฉียนฉีรีบตามเธอไปและไปยืนอยู่ข้างๆเธอ “ดุเหมือนว่าเธอจะเชื่อฟังเรื่องกฎจริงๆนะ เพราะแบบนี้ถึงได้กล้าขึ้นมาล่ะสิ…”
แตกต่างจากเวลาที่อยู่โลกภายนอก ในนี้เหลงเฉียนฉีไม่ต้องปกปิดครึ่งใบหน้าที่แปลกประหลาดของเขาเลยสักนิด มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันขอบอกเลยนะศิษย์พี่ พี่ควรที่จะคลุมหน้าด้านที่ดำดีกว่านะคะ มันคงไม่ดีแน่ถ้าทำให้พวกต้นไม้ ดอกไม้ที่นี่ตกใจกลัว…” น้ำเสียงประชดประชันพูดออกมาเพื่อทำให้เขาเจ็บ ในเมื่อเขาไม่อยากที่จะญาติดีกับเธอ งั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดีกับเขาเหมือนกัน…
เหลงเฉียนฉีรีบยื่นหน้าเข้ามาหน้าเธอทันที ใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่ถึงนิ้ว ทันใดนั้นใบหน้าที่ยื่นเข้ามาก็ทำให้ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างขึ้นมาทันที หลังจากที่ตกใจ เธอก็ถอยหลังไปจนสะดุดเข้ากับบันได จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็เสียการทรงตัว เธอเซอยู่สักพักแล้วจึงล้มลงไปด้านข้าง
จริงๆแล้วเหลงเฉียนฉีก็สามารถที่จะช่วยเธอไม่ให้ล้มลงไปได้เพียงแค่เขายื่นมือออกไป อย่างไรก็ตามไอ้ผู้ชายทุเรศกลับกระโดดออกไปจากบันไดและทำให้มู่หรงตกบันไดลงไปอย่างแรง หน้าผากของเธอกระแทกและความเจ็บก็แล่นขึ้นมาทันที มู่หรงเสวี่ยยื่นมือไปแตะและเลือดก็เลอะเต็มฝ่ามือเธอไปหมด
สายตาของเหลงเฉียนฉีแวบประกายแล้วก็รีบจางหายไปอย่างรวดเร็ว มู่หรงเสวี่ยยืนขึ้นมาด้วยความโกรธพร้อมทั้งพูดออกมา “นาย…” สุดท้ายเธอก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ขอเท้าของเธอพลิกทำให้เธอเดินเซเล็กน้อย
เหลงเฉียนฉีจับเอาเธอไว้และอุ้มเธอขึ้นมา มู่หรงเสวี่ยลอยขึ้นมาในอากาศจนต้องจับแขนเสื้อเขาไว้ หลังจากที่เห็นท่าทางน่าอายของตัวเอง สุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “นายจะทำอะไร?! ไอ้ทุเรศ วางฉันลงเดี๋ยวนี้นะ…”
“หุบปาก ไม่งั้นฉันจะโยนเธอลงไปที่เหวอีกรอบเลย!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยรีบเงียบเสียงทันทีเพราะกลัวเขาจะโยนเธอตกภูเขา เขามันไอ้ทุเรศจอมเย็นชา เธอรับรองไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะเมตตาเพราะเธอเป็นศิษย์น้องของเขาหรือเปล่า
เหลงเฉียนฉีอุ้มมู่หรงเสวี่ยราวกับไม่ต้องออกแรงอะไรเลย หลังจากที่ลงมาจากบันได เขาก็รีบลอยขึ้นไปในอากาศและใช้ทักษะการบินของตัวเองทันที เขารีบบินผ่านภูเขาหลิวหยุนจงด้วยท่าทางกึ่งยืนกึ่งบิน เหลงเฉียนฉีรู้สึกไม่ค่อยถนัดเท่าไรเมื่อต้งอุ้มมู่หรงเสวี่ยไปด้วย โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่บนอากาศ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าเป็นเพราะการบินขึ้นๆลงๆหรือเปล่าแต่เธอเกือบที่จะอ้วกออกมาแล้ว…
“ปล่อยฉันลง!” สุดท้าย มู่หรงเสวี่ยก็ทนไม่ได้จนต้องตะโกนออกมาและถ้าเธอไม่ได้ลง เธอก็คงจะอ้วกออกมาแน่ๆ
“เธอจะทำอะไร?” เหลงเฉียนฉีพูดอย่างอดกลั้น
มู่หรงเสวี่ยโมโห “ฉันจะอ้วกแล้ว ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ นายตั้งใจใช่ไหมเนี่ย!” ท่าทางกึ่งยืนกึ่งลอยของเธออดที่จะจ้องไปที่เขาไม่ได้ เธอทำได้เพียงรอให้เขาลงถึงพื้น
เมื่อถึงยอดเขาหลิวหยุน เหลงเฉียนฉีก็หยุดแล้วจึงปล่อยมือ มู่หรงเสวี่ยล้มลงไปอีกครั้ง
เท้าที่บาดเจ็บต้องเจ็บขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง และสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด เธอกัดริมฝีปาก รู้สึกหนาวไปหมด
สีหน้าเย็นชาของเหลงเฉียนฉีแวบประกายเขินๆเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกมา “เธอบอกให้ฉันปล่อยเธอลงไม่ใช่เหรอ?!!” นี่ไงคือสิ่งที่เธอขอ
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่อยากที่จะพูดอะไรกับเขาอีก เท้าที่เจ็บของเธอแทบจะยืนไม่ได้ เธอไม่อยากที่จะเห็นเหลงเฉียนฉีอีก เธอกลัวว่าตัวเองจะต้องตาบอด
“เธอกำลังจะไปไหน?” เหลงเฉียนฉีถาม
มู่หรงเสวี่ยยังไม่หยุดฝีเท้า ไม่ฟังคำที่เขาพูดออกมา
เหลงเฉียนฉีรีบเดินมาข้างๆมู่หรงเสวี่ยแล้วจึงจับแขนเธอไว้ เพราะเขาไม่ได้ยั้งมือเลยตอนที่ดึง เท้าของมู่หรงเสวี่ยจึงสะดุดอีกรอบและเธอก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทันที “โอ๊ย!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ไอ้ผู้ชายทุเรศด้วยสายตาที่โกรธแค้น “นายต้องการอะไร?”
เหลงเฉียนฉีปล่อยแขนเธอแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งเดินไปที่ถ้ำ หลังจากที่วางเธอลงบนม้านั่งหิน เขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ฉันจะเข้าไปเอายามาให้เธอ นั่นเฉยๆล่ะ…”
มู่หรงเสวี่ยเบ้ปาก ใครต้องการยาของเขากัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอจะมาเจ็บหนักขนาดนี้ได้ยังไง? เขามันโรคจิต ไอ้ทุเรศ ไอ้หน้าผี เธอเอาแต่ก่นด่าอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ลุกเดินหนีไปไหนเพราะเท้าของเธอเจ็บมากและเธอไม่อยากที่จะเดินไปไหนอีกแล้ว
หลังจากนั้นสักพัก เหลงเฉียนฉีก็เดินออกมาพร้อมกับกล่องยาในมือ มู่หรงเสวี่ยยื่นมือออกไปทันที เธอไม่กล้าที่จะหวังว่าไอ้บ้านี่จะหายามาช่วยเธอจริงๆ ถ้าให้เขารักษา เท้าของเธอจะต้องหักแน่ๆ
เหลงเฉียนฉีถือกล่องยาไว้ในมือสักพักแล้วจึงวางกล่องยาลงในมือเธอ
มู่หรงเสวี่ยเปิดกล่องยาอย่างไม่เกรงใจ เมื่อเจอยาที่ใช่ก็หยิบขึ้นมาและเริ่มทายาด้วยตัวเอง
สายตาของเหลงเฉียนฉีแวบประกายอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อเขาเห็นเธอก็มีท่าทางเขินๆ เสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ยไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร มีหลายจุดที่ขาดและเลอะเพราะการกลิ้งมากับพื้น ที่หน้าผากของเธอก็ยังมีแผลซึ่งเลือดยังไหลอยู่ด้วย เลือดไหลจากหน้าผากลงมาที่แก้มซึ่งดูน่ากลัวและน่าตกใจมาก ทำให้หน้าสวยๆเลอะเทอะไปหมด
มู่หรงเสวี่ยถอดรองเท้า ถุงเท้าและเผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมของเธอซึ่งเต็มไปด้วยรอยเขียวซ้ำ เธอเปิดขวดยาอย่างระวังและทายาลงไปที่เท้า
สายตาของเหลงเฉียนฉีแวบประกายประหลาดใจเพราะเขายังไม่ได้บอกเธอเลยว่านั่นคือขวดยาอะไร ที่ขวดยาก็ไม่มีฉลากเขียนไว้ด้วย อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยไม่แม้จะถามด้วยซ้ำ เธอเพียงแค่เปิดขวดยา ดมกลิ่นแล้วก็เจอขวดยาที่ถูกต้อง
เมื่อยาถูกทาลงไปที่แผลแล้ว ก็รู้สึกถึงความเย็นขึ้นมาทันที สุดท้ายแผลก็ไม่แย่เท่าไรแล้ว การแสดงออกทางสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยอ่อนโยนขึ้น ยานี้เป็นยาที่ดีจริงๆ มันดีพอๆกับยาที่เธอพัฒนาขึ้นมาเองเลย บางทีนี่อาจจะดีกว่ายาที่เธอพัฒนาขึ้นมาซะอีก
บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะผลของยา มู่หรงเสวี่ยถึงรู้สึกเจ็บน้อยลง เธอค่อยสวมถุงเท้า รองเท้าและลองเดินดูสองสามก้าว ถึงแม้จะยังมีความเจ็บอยู่บ้างแต่อย่างน้อยเธอก็พอที่จะเดินได้ ตราบใดที่เธอพยายามที่จะถ่ายเทน้ำหนักไปที่เท้าอีกข้างที่ไม่เจ็บ
มู่หรงเสวี่ยเก็บขวดยาอย่างดีและยื่นกล่องคืนให้ เหลงเฉียนฉีอีกครั้ง “เอ้านี่!” หลังจากที่ส่งให้เขาเรียบร้อยเธอก็เดินออกมาจากถ้ำ ถ้ำนี้คือที่ที่ไอ้บ้านี่พักอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายถ้าเธอยังอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย
เหลงเฉียนฉีมองกล่องยาที่อยู่ในมือและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เธอเดินออกไป
ที่ภูเขาหลิวหยุนจงมีถ้ำว่างเปล่าอยู่มากมาย มู่หรงเสวี่ยเจอถ้ำหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่มากแล้วจึงเดินเข้าไปถ้ำหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถ้ำของกวนหลิน ในถ้ำไม่มีอะไรเลยมีเพียงโครง อย่างไรก็ตามในมิติลับของมู่หรงเสวี่ยมีของอยู่มากมาย แต่เธอก็เอาออกมาไม่ได้เพราะไม่อยากที่จะอธิบายว่าของพวกนี้มาได้ยังไง ดังนั้นเธอจึงเพียงแค่นั่งลงที่ม้าหินที่อยู่ในสนาม
มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าจะอธิบายกับท่านอาจารย์ยังไงดีเรื่องความจริงที่ว่าเธอจะอยู่ที่นี่อีกเพียงไม่นาน นอกจากเรื่องการฝึกของเธอแล้ว เธออยากที่จะรู้เรื่องห้วงเวลาและมิติลับเพิ่มขึ้นและยังเรื่องอื่นๆอีก เธอหวังที่จะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างก่อนที่จะออกไป
เธอนั่งอยู่ไม่นานก่อนที่จะได้เห็นชางกวนหลินที่กำลังเดินเข้ามาดูเธอ
“เธอบาดเจ็บได้ยังไง?” ชางกวนหลินถามอย่างประหลาดใจ
มู่หรงเสวี่ยยิ้มเกรงๆ “อุบัติเหตุน่ะ”
สีหน้าของชางกวนหลินออกจะแปลกๆเล็กน้อยแล้วจึงหยิบยาออกมาจากกระเป๋ามิติลับเตรียมที่จะช่วยทำแผลที่หัวให้เธอ