บทที่ 239
ยอดเขาหลิวหยุนจง
“แต่ว่า…วันนี้ ผมไม่ได้ถ่ายวิดีโอไว้…” ในระหว่างที่เขากำลังหาข้ออ้างดีๆ ขาของหลงอี้ไม่สั่น คำพูดก็ไม่สั่นและสายตาของเขาก็กลายเป็นจริงจัง
สีหน้าของฮวงฟูอี้เข้มขึ้นมาทันทีและก็มีร่องรอยของความโกรธ “นายไม่ได้ถ่ายมางั้นเหรอ?”
หลงอี้สะดุ้งและพยักหน้า “ไปตามทีมที่ตามเข้ามา…”
แย่แล้ว ดราก้อนมาสเตอร์ไม่เคยไม่ได้อะไร เขาไม่เคยเรียกคนจากทีมอื่นเข้ามาเลย
“อันที่จริง ก็มีที่ถ่ายไว้…” แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับก็ตาม ถ้าดราก้อนมาสเตอร์เรียกทีมอื่นเข้ามา เขาก็คงจะค้นจนเจอ
เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากของฮวงฟูอี้เต้นตุบๆและริมฝีปากของเขาก็เผยอเล็กน้อย “งั้นไม่รีบไปเอามาล่ะ?!”
หลงอี้รีบหันหลังและเดินออกไป เขาจะไปที่ไหนดีล่ะ? กล้องไมโครวันนี้มาพร้อมกับการเชื่อมต่อกับหน้าจอบนผนัง ร่างของคุณมู่หรงปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ ตอนแรกคุณมู่หรงไปเจอกับผู้ชายที่ชื่อชางกวนหลิน
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาการของดราก้อนมาสเตอร์เริ่มที่จะขรึมขึ้นเล็กน้อยและก็ดูไม่ค่อยจะพอใจ เขารู้เลยว่านี่ต้องเกิดเหตุแน่ๆถ้าเขาได้เห็นตอนท้ายๆ
…
หลังจากนั้นสักพัก ชางกวนหลินและมู่หรงเสวี่ยก็มาหยุดที่สถานีเคลื่อนย้ายอีกที่ มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆ ที่มีทั้งต้นไม้และดอกไม้ แม้แต่แมลงก็ใหญ่กว่าปกติเป็น 10 เท่า ที่นี่เหมือนกับ ป่าดิบชื้น
“ถึงแล้วเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ยังหรอก!” ชางกวนหลินหยิบหินแห่งจิตวิญญาณออกมาและเริ่มที่จะจัดค่ายกลเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่พวกเขาหายวับไป
หลังจากที่ทำซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดที่เกาะในท้องฟ้า
“ถึงแล้ว…” ชางกวนหลินพูดแล้วจึงเดินนำออกไป
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตกตะลึง ถึงแม้เธอจะเดามาก่อนหน้านี้แล้วแต่เธอก็ไม่เคยคิดว่านิกายแห่งผู้ฝึกตนจะอยู่กลางอากาศจริงๆ ในอากาศจะมีเกาะตั้งอยู่แบบนี้ได้ยังไง? แรงโน้มถ่วงไม่มีผลอะไรกับมันเลยหรือไง?! นี่ยังไม่พูดเรื่องที่มันเป็นปาฏิหาริย์มากที่ไม่ถูกตรวจจับได้
เมื่อมองลงไปข้างล่างจากฐาน ก็จะเห็นต้นไม้เขียวชอุ่มและแสงออร่ากระจายอยู่ทั่ว ถึงแม้แสงออร่าจะไม่เยอะเหมือนในมิติลับของเธอแต่มันก็ดีกว่าโลกภายนอกมาก มู่หรงที่อยู่ห่างขนาดนี้ก็ยังสามารถที่จะมองเห็นได้ มีศาลาอยู่ทุกที่ซึ่งดูเหมือนจะรุ่งเรืองอย่างมาก นี่ราวกับเป็นอีกโลกเลย
“นี่คือเกาะอ่าวเทียนเซียน!” ชางกวนหลินจับมือของเธอและพาลงมาจากฐาน แล้วจึงปล่อยมือของเธอและพูดออกมา
ในระหว่างที่พวกเขาเดินพูดคุยกันและความเร็วก็ถือว่าไม่ช้าเลย มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆด้วยความสงสัยและพบว่าคนส่วนใหญ่จะสวมชุดจีนโบราณและมีเพียงไม่กี่คน อย่างเช่น มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะกลับมาจากสถานที่อื่นและยังสวมชุดปกติธรรมดาอยู่ การสร้างบ้านเรือนเองก็ถูกสร้างมาด้วยไม้เนื้อแข็งโบราณไร้ซึ่งความรู้สึกเย็นชาและมีความงดงามของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มู่หรงเสวี่ยได้แต่มองสิ่งเหล่านี้และรู้สึกพอใจและมีความสุขกับสถานที่แห่งนี้
ทั้งสองข้างของถนนมีร้านต่างๆมากมาย ซึ่งแตกต่างจากโลกภายนอกยกเว้นร้านอาหารและโรงแรมขนาดเล็ก ที่เหลือส่วนใหญ่ขายสิ่งที่เกี่ยวกับยุคโบราณ เช่นพวกยาต่างๆ สมุนไพร อาวุธและอื่นๆอีก
“ถึงแม้มันจะเป็นเกาะ แต่ก็ไม่ได้เล็กไปกว่าพวกเมืองใหญ่ๆเลยนะ…” ชุดจีนโบราณของชางกวนหลินทำให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างดีและสง่างามมาก
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแต่สายตาเธอก็มองไปรอบๆ เธอรู้สึกว่าทุกอย่างช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน
พวกเขาเดินผ่านตลาดที่พลุกพล่านแล้วก็มีถึงด้านหน้าของเนินเขาสีเขียว มีถนนคดเคี้ยวมากมายที่นำเข้าไปในป่าลึกไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองฝั่งของถนนมีต้นไม้โบราณและน้ำสีเขียวอยู่รอบๆ ที่ภูเขาห่างออกไปมีสิ่งปลูกสร้างมากมาย กำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นหญ้าและต้นไม้มากมาย ช่างมีความกลมกลืนและเป็นธรรมชาติมาก
ที่ตีนภูเขามีโต๊ะหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่บนโต๊ะมีตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวเขียนไว้-หลิวหยุนจง!
มู่หรงเสวี่ยกำลังจะเดินเข้าไปแต่ถูกชางกวนหลินดึงไว้ พวกเขากระโดดเข้าไปในอากาศแทบจะในทันที พวกเขาบินข้ามมามากกว่าสิบภูเขาก่อนที่จะมาหยุดที่เกาะอ่าวเทียนเซียนที่ตั้งอยู่กลางอากาศ เกาะใหญ่แบนเหมือนกับตั้งอยู่บนบกและมองด้วยสายตาไม่เห็นขอบเขตเลย บนท้องฟ้ามีภูเขาสูงตั้งอยู่นับร้อย แต่ละยอดจะถูกล้อมรอบด้วยเมฆหมอก มีดอกไม้และต้นไม้หายากอยู่ทุกที่ พร้อมด้วยกลิ่นหอมฟุ้งอย่างมาก
ยอดเขาหลายแห่งมีศาลามากมายตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก และน้ำสีเขียวก็ไหลผ่านรอบๆภูเขาสีเขียว นี่ราวกับเทพนิยายบนดินเลย…และหลิวหยุนจงตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาเหล่านี้ นี่ยังคงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง แสงแดดจ้าและบางครั้งก็มีลมเย็นๆพัดผ่านมาด้วย ให้ความรู้สึกสบายอย่างมาก
ที่ถนนด้านในมีประตูของนิกายหลิวหยุนอยู่ด้วย
หญิงสาวอายุน่าจะราวๆ 18 ใบหน้าของเธอดั่งดอกท้อ ดวงตาที่ดูเฉี่ยวของเธอดูมีเสน่ห์อย่างมาก
ผิวละเอียดราวหิมะ ศีรษะที่มีผมสีดำนุ่มสลวยม้วนอยู่ด้านหลัง คดม้วนเป็นรูปดอกไม้ ดอกไม้ไข่มุกที่ละเอียดอ่อนเปล่งแสงเจิดจ้าท่ามกลางดวงอาทิตย์
สวมกระโปรงชุดรัดรูปสีเขียวสวยเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่น่าหลงใหลราวกับร่องรอย ท่วงท่าที่สวยงามของเธอยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
และอีกคนที่กำลังเดินมาไม่ไกลนักคือชายแปลกหน้าพร้อมด้วยใบหน้าครึ่งหน้าที่มู่หรงเสวี่ยเคยเห็นมาแล้ว ถ้าไม่สนใจอีกด้านหนึ่งของเขา ก็จะเห็นได้ว่าใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขาสวยงามราวกับหยกเลยและริมฝีปากบางของเขาก็เผยอเล็กน้อยซึ่งดูเยือกเย็นและเย็นชาอย่างมาก
ตอนนี้จู่ๆสายตาของหญิงสาวก็เปล่งประกายขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้นมาที่ริมฝีปาก เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและเดินไปอยู่ข้างๆชายหนุ่ม “ศิษย์พี่ กำลังจะไปหาท่านอาจารย์เหมือนกันเหรอคะ?”
ชายหนุ่มเพียงแค่เหล่ไปที่เธอด้วยท่าทางเย็นชา ความเร็วของเขาไม่ได้ลดลงเลยแต่ก็พยักหน้าอย่างอ่อนโยน
ความงามของดวงตาของหญิงสาวฉายแววแห่งความอับอายและความรำคาญ หลิวเจียซินคือสาวสวยคนแรกของ หลิวหยุนจง ไม่ว่าเธอจะดีแค่ไหนแต่เธอก็เป็นสาวสวยคนแรกของที่นี่ จึงมีเพียงคนเดียวที่คุยกับเธอนั่นก็คือเหลงเฉียนฉี ทุกครั้งที่เธอเจอเขา เขาก็จะเย็นชา ไม่ว่าเธอจะดีมากแค่ไหน เขาก็จะแสดงท่าทางเย็นชาจนไม่อยากที่จะเข้าใกล้เลย
เมื่อได้ยินคำว่าท่านอาจารย์สายตาของเหลงเฉียนฉีก็ดูหงุดหงิดขึ้นมามากขึ้น
“แล้วไง?! ก็เห็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” เหลงเฉียนฉีหันสายตาเย็นชามาที่สีหน้าเปื้อนยิ้มของเธอแล้วก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่มากขึ้น
หลิวเจียซินเกือบที่จะหุบยิ้ม เธอจ้องไปที่ชุดผ้าไหมสีฟ้าที่บินไปตรงหน้าเธอและก่นด่าอยู่ในใจ เขาคิดว่าเธอก็เหมือนกับน้องสาวเขา เขาจึงไม่เคยที่จะไว้หน้าเธอเลย ถึงแม้พวกเขาจะมาจากต่างที่กัน แต่ทุกคนต่างก็เป็นลูกศิษย์ของท่านผู้นำ เพราะแบบนี้พวกเขาถึงได้สนิทกัน
ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกันนะ? เธอพยายามทำให้ท่านอาจารย์เห็นเธอ ตอนที่เธอเข้ามาที่นิกายเป็นครั้งแรก เธอเป็นคนที่ฉลาดและยอดเยี่ยมที่สุด ใครๆต่างก็นับถือเธอราวกับว่าเธอเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์ปฏิเสธที่จะรับเธอเป็นศิษย์โดยพูดเพียงว่าท่านไม่มีเวลา
ท่านอาจารย์หลิวฮวงเป็นผู้นำของนิกายหลิวหยุนมาเกือบจะพันปีแล้ว อย่างไรก็ตามมีเพียงเหลงเฉียนฉีและ ชางกวนหลินเท่านั้นที่รู้จักนิกายหลิวหยุนเมื่อหลายปีก่อนที่เขารับเป็นลูกศิษย์คนแรกและคนที่สอง หลังจากนั้นไม่ว่าใครจะเก่งมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะรับลูกศิษย์อีกเลย
เธอเข้ามาอยู่ในหลิวหยุนจงเมื่อสิบปีที่แล้ว ในตอนนั้นเธอโดดเด่นกว่าลูกศิษย์ทุกคนที่อยากจะเข้ามาในนิกายซึ่งทำทุกอย่างดีมากๆ เธอคิดว่าตัวเองจะได้รับการยกเว้นจากท่านอาจารย์ แต่เธอไม่คิดว่าคนที่เลือกเธอจะมีเพียงหลิวเฟิงน้องชายของท่านอาจารย์เพียงคนเดียว
ครั้งนี้ท่านอาจารย์อยากที่จะเจอหญิงสาวที่พูดกันว่าเป็นดาวเด่นในทางโลก จะเป็นไปได้เหรอที่คุณสมบัติของคนจากโลกจะดีไปกว่าเธอได้?! เธอไม่มีทางเชื่อหรอก สายตาของ หลิวเจียซินแวบประกายเย็นชาแล้วก็เร่งความเร็วตรงไปที่ยอดเขาที่ท่านอาจารย์อยู่
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เร็วอย่างมาก เพียงแค่พริบตาพวกเขาก็มาอยู่ที่เบื้องล่างของภูเขาหลัก
ที่ภูเขาหลักจะไม่อนุญาตให้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณในการเร่งความเร็ว ดังนั้นเหลงเฉียนฉีและหลิวเจียซินจึงหยุดลง ดึงพลังแห่งจิตวิญญาณกลับเข้าไปที่ร่างกายและเริ่มที่จะเดินขึ้นบันไดใหญ่ที่ทำด้วยหยกสีขาวซึ่งมีทั้งหมด 7,749 ขั้นไปอย่างช้าๆ
“ท่านอาจารย์!”
“ท่านอาจารย์!”
เมื่อก้าวขึ้นบันไดมาถึงห้องโถงของท่านอาจารย์ เหลงเฉียนฉีก็ถามชายหน้าตาเย็นชาที่อยู่บนบัลลังก์ของห้องโถงหลัก พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพใดๆออกมา
“มากันแล้วเหรอ ฉันจะแนะนำให้รู้จัก มู่หรงเสวี่ยจะมาเป็นศิษย์น้องของพวกเจ้า..” เสียงเย็นชาของท่านอาจารย์ดังออกมา
***
แต่ในตอนนี้สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยดูจะแปลกอยู่นิดหน่อย เธอไม่คิดว่าจะได้เจอชายคนนี้เร็วขนาดนี้หรือจะได้เขามาเป็นศิษย์พี่แบบนี้ การพบเจอของพวกเขาไม่ค่อยจะสวยเท่าไร พูดได้ว่าค่อนข้างที่จะบาดหมางด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้มาเป็นศิษย์พี่ของเธออีก
เหลงเฉียนฉีและหลิวเจียซินเงยหน้าขึ้นมามองที่ มู่หรงเสวี่ยที่ท่านอาจารย์แนะนำ มีร่องรอยของอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้อยู่ในดวงตาของพวกเขา
“ดีจริงๆที่ได้มีศิษย์น้องอายุไล่เลี่ยกับฉันเลย ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเบื่อมากเลย ตอนนี้ฉันมีความสุขมากเลย…”
มู่หรงเสวี่ยที่เป็นน้องใหม่เผยรอยยิ้มสดใส “ฉันต้องขอบคุณศิษย์พี่ด้วยนะคะ…”
ไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นสดใสเกินไปหรือยังไง ถึงทำให้สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เธอได้ที่อยู่หรือยัง? ฉันอยู่ที่ยอดเขาชิงหยุน ฉันเป็นคนเดียวที่พักอยู่ที่นั่น มันคงจะดีกว่าถ้าได้ศิษย์น้องไปอยู่กับฉันที่ยอดเขาชิงหยุนด้วย…” หลิวเจียซินพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์มากกว่าแต่ก่อนอีกแต่ในสายตากลับไม่ยิ้มตามไปด้วย
“ถึงแม้ฉันอยากที่จะพักอยู่ใกล้ๆกับศิษย์พี่ แต่ท่านอาจารย์บอกว่าฉันควรที่จะหาที่พักอยู่ในหลิวหยุนจง” มู่หรงเสวี่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากที่เงียบไปสักพัก หลิวเจียซินก็ถามขึ้นมา “เธออยากที่จะพักอยู่ในหลิวหยุนจงงั้นเหรอ?”
“ค่ะ ที่นี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“หลิวหยุนจงเป็นยอดเขาหลักที่อาจารย์ใหญ่และท่านอาจารย์พักอยู่ มันก็โอเคนะที่เธอจะพักอยู่ใต้ประตูของอาจารย์ใหญ่…”เพียงแต่ว่าเหลงเฉียนฉีและชางกวนหลินเองก็พักอยู่ที่นี่ด้วย ตอนแรกเธอเองก็อยากที่จะอยู่ที่นี่เหมือนกันแต่เหลงเฉียนฉีไม่ยอมให้เธออยู่ที่นี่ด้วยเพราะอาจารย์ต่างกันก็ไม่ควรที่จะมาอยู่ที่ยอดเขาเดียวกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็รู้สึกรำคาญ ใครๆก็รู้ว่ายอดเขา หลิวหยุนเป็นยอดเขาที่ดีที่สุดแถมยังมีสระน้ำพุแห่งจิตวิญญาณที่มีแสงออร่าที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย ดังนั้นยอดเขาหลิวหยุนจึงเป็นยอดเขาที่มีแสงออร่าแข็งแกร่งที่สุดในยอดเขาทั้งหมด
เวลาที่ฝึกก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณด้วย สาวกของยอดเขาอื่น ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ยอดเขาหลิวหยุนจงโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาจะต้องได้รับคำอนุญาตจากผู้นำหรือสาวกของยอดเขาหลิวหยุนซะก่อน ไม่งั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงรอให้คนของห้องโถงกิจการภายในนำน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาแบ่งให้ในทุกๆวัน การรักษาก็จะแตกต่างจากเหล่าสาวกที่สามารถใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณได้ตามอำเภอใจ
ถึงกระนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจอยู่นิดหน่อย เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเด็กสาวที่ฝึกตนมาอยู่ในระดับสามของระดับสีส้มถึงเป็นที่พอใจของท่านผู้นำ เธอยังรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในใจ
ทันใดนั้น หลิวเจียซินก็รู้สึกเย็นยะเยือกมาจากด้านบน ร่างของเธอสะดุ้งและพยายามที่จะเก็บกดความอารมณ์ที่ซับซ้อนในสายตาไว้ในทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเธอก็เจอเข้ากับสายตาที่เย็นชาที่ราวกับมองทะลุได้ทุกอย่าง โชคไม่ดีที่เธอลืมไปว่าท่านผู้นำก็อยู่ที่นี่ด้วย ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องคนนี้น่ารักมากจริงๆ ดูเหมือนเธอจะต้องถูกฝึกอีกแล้วนะคะ!”
อาจารย์ใหญ่พูดออกมาเสียงเบา “เธออัจฉริยะจริงๆแต่ยังเด็กอยู่มากและมันก็สายไปแล้วที่เธอจะเข้ามาดูแลเธอ”
ปกติแล้วหลิวเจียซินเองก็เป็นคนที่ดูคนออก ดังนั้นเธอจึงตอบออกมาทันที “ดีจริงๆเลย!” แล้วเธอก็หันมาหามู่หรงเสวี่ยพร้อมทั้งพูดออกมาว่า “ศิษย์น้อง ถ้าหลังจากที่ฝึกแล้วไม่เข้าใจจริงไหนก็มาถามฉันได้นะ ไม่ต้องเกรงใจศิษย์พี่หรอกนะ…”
มู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้สีหน้าของหลิวเจียซินดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร เธอเห็นได้อย่างชัดเจนแต่ก็ยังไม่เข้าใจเสียงและสีหน้าของเธออยู่ดี “ขอบคุณนะคะศิษย์พี่ ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ…”
หลิวเจียซินรีบพูดออกมาทันที “พวกเราต่างก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของอาจารย์คนเดียวกันทั้งนั้น ไม่ต้องขอบคุณหรอก…”
ต้องบอกเลยว่าท่าทางและการแสดงออกของ หลิวเจียซินยอดเยี่ยมอย่างมาก ถ้าเธอไม่ได้เห็นประกายเย็นชาจากศิษย์พี่ของเธอ เธอก็คงจะคิดว่าเธอเป็นศิษย์พี่ที่ใจดีอย่างมากแน่ๆ