ณค่ายหนานตู้ หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนโกลาหลไปแล้ว ในตอนเช้าขณะที่คนทำความสะอาดของค่ายซึ่งกำลังทำตามหน้าที่กิจวัตรประจำวันของตัวเอง เขากวาดเศษใบไม้และเศษชิ้นส่วนต่างออกจากพื้นหญ้า ตาของเขาก็สะดุดเข้ากับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้า
”ไม่เอาน่าอย่าเป็นอย่างที่คิดเลย ขออย่าให้เป็นคนขึ้นมาจริงๆเลยนะฉันไม่อยากเดือดร้อน” และในตอนนั้นเองมู๋หรงยู่เฉิงที่เดินผ่านมาทางนี้พอเลย
ที่ค่ายหนานตู้กลุ่มคนที่รับผิดชอบเรื่องความสะอาดนั้นก็เป็นประชากรของค่าย และนี้คืองานของพวกเขาในค่าย ใครก็ตามที่มีงานทำจะมีอาหารน้ำให้กินดื่ม ส่วนคนที่ขยันมากๆก็จะถูกส่งไปทำงานตามที่พักของเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างๆ ทุกคนต่างต้องทำงานเพื่อไม่ให้เกิดการเกี่ยงงานกัน
ขณะที่ชายซึ่งเป็นภารโรงเป็นกังวลเขายกมือขึ้นปาดเหงื่อและชี้ไปที่พุ่มไม้ “เอ่อ ผม ผมทำความสะอาดตรงนั้น?”
”อะไร?”มู๋หรงยู่เฉิงไม่เข้าใจ เขานิ่วหน้าถาม “ถ้าเจอขยะก็เก็บมันไปทิ้งซะ”
”ไม่ใช่ครับท่าน”ชายภารโรงกวาดพื้นไปพร้อมพยักหน้า สายตาล่อกแล่กไปมา ตัวก็สั่นเงอะๆงะๆ มือก็ยกขึ้นชี้ไปที่ถังขยะใหญ่
เมื่อได้เห็นท่าของชายภารโรงมู๋หรงยู่เฉิงที่อยากจะไปจากตรงนี้ซะเต็มทีก็อดไม่ได้ที่จะสงสับ หรือว่ามันมีหลักฐานเกี่ยวกับไฟไหม้ที่สถาบันวิจัยเมื่อคืนนี้อยู่ในถังขยะ? ด้วยความสงสัยที่มีทำให้มู๋หรงยู่เฉิงก้าวเดินเข้าไปใกล้ถังขยะใหญ่ที่ตั้งอยู่
”พลตรีฮวงชูเจิ้น?ท่าน?” มู๋หรงยู่เฉิงจ้องไปที่ภาพตรงหน้าตาค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ตัวแดงๆของฮวงชูเจิ้ยที่นอนสลบอยู่บนหญ้าด้านหลังถังขยะใหญ่เนื้อตัวเปล่าเปลือย ผิวที่เจอความหนาวจนแข็งจนแทบจะกลายเป็นสีม่วงๆไม่ต่างอะไรกับหมูที่นอนตายอยู่บนหญ้ารอขึ้นเขียง ทำไมฮวงชูเจิ้นถึงได้หายตัวไปทั้งคืนแล้วมาปรากฏในตอนเช้าสภาพแบบนี้?
มู๋หรงยู่เฉิงยังคงเงียบสนิทเขายังไม่ได้สติกลับมาจากอาการตกใจอย่างแรง จิตใต้สำนึกของเขาเริ่มทำการเชื่อมโยงฮวงชูเจิ้นเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปเอง
เพราะงั้นภายใต้ทฤษฎีสมคิบที่ก่อตัวขึ้นในหัวมู๋หรงยู่เฉิงก็พลันถอยหลังหนี ชี้นิ้วไปที่ร่างของภารโรงซึ่งยังคงกวาดพื้นอยู่ไม่ห่าง “นาย นายชื่ออะไร?”
”ผม…”ชายภาารฏรงประหลาดใจเล็กน้อย หากก็ตอบไปด้วยเสียงเป็นกังวล “ผมชื่อเจียงเหว่ย ผะ-ผม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ อย่าทำอะไรผมเลย!”
เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของภารโรงมู๋หรงยู่เฉิงก็ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆเพื่อปลอบใจ “สบายใจได้ นายไม่ได้ทำอะไรผิด นายทำหน้าที่ของนายได้ดี นายคอยดูพื้นที่โดยรอบตรงนี้เอาไว้ อย่าให้มีปัจจัยภายนอกมาทำลายแม้แต่หญ้าหรือดินในบริเวณนี้เด็ดขาด ฉันจะรีบไปตามคนกลับมา”
”เอ่อ?ได้ ได้ครับ” เจียงเหว่ยกุมไม้กวาดในมืออย่างกังวล.ไอลีนโนเวล.
มู๋หรงยู่เฉิงรีบจดจำใบหน้าและชื่อของอีกฝ่ายไว้ในหัวทันทีและรีบออกไปตามหาคนโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาหันหลังกลับมา การที่ฮวงชูเจิ้นอยู่ในสภาพนี้ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะหลักฐานๆเล็กๆน้อยตกหล่นอยู่รอบๆ ถ้าเขาสามารถหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ที่สถาบันวิจัยเมื่อคืนนี้ ความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย!
แต่แล้วเป็นเพราะการตัดสินใจผิดๆของมู๋หรงยู่เฉงทำให้เป็นอีกครั้งที่เขาวนเวียนอยู่ในวงโคจรเดิมฮวงชูเจิ้นเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา หลังจากตื่นขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่ล้อมแน่น เขาก็ถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?ทำไมมีคนมากขนาดนี้? มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขารู้สึกหนาวจัง?
”พลตรีฮวงชูเจิ้นกรุณาตอบมาทีว่าเมื่อคืนมันเกิดอไรขึ้น?” คนคนหนึ่งซึ่งมีสายตาคมเฉียบ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่ายหนานตู้ เขาเดินตรงเข้ามาหาฮวงชูเจิ้นพร้อมกับกระดาษและปากกาในมือ น้ำเสียงราวกับกำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัย
”ฉัน…”ฮวงชูเจิ้นมึนงง หน้าตาเหรอหราก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมา เขาทั้งหนาวจนจะแข็งตายอยู่จะมาถามอะไรเขา?! “ไอ้เวรเอ๊ย! สภาพแบบนี้ยังจะถามคำถามอยู่ได้? เอาเสื้อผ้ามาให้ฉันสิ!”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เป็นคนสอบสวนฮวงชูเจิ้นขมวดคิ้วเข้ามาหากันและถามขึ้นอีกครั้ง”คุณโดนโจมตีเมื่อคืนตอนช่วงเวลากี่โมง? คุณมองเห็นมั้ยว่าเป็นฝีมือใคร?”
”ฉัน…แม่งเอ๊ยเอาเสื้อผ้าให้มากู!” ฮวงชูเจิ้นตะคอกลั่นคอแทบแตก “จะให้กูนอนอายอยู่ที่นี่อีกนายมั้ย?!”
”คุณห้ามสวมเสื้อผ้าตอนนี้เพราะเราสงสัยว่ามันอาจจะมีหลักฐานเกี่ยกวับเหตุการณ์ไฟไหม้บนตัวคุณ”
”อะไรน่ะ?สถาบันวิจัยไฟไหม้? เอาเสื้อผ้ามาให้กูก่อน! ถ้าไม่เอามาให้ฉัน ฉันจะจัดการแกแน่…” ทันทีที่ฮวงชูเจิ้นพูดจบ จู่ๆมันก็เกิดเสียงวุ่นวายมาจากทิศอื่น
มู๋หรงยู่เฉิงที่ยืนถัดจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทำการสอบสวนฮวงชูเจิ้นก็หมดความอดทนเขากวาดสายมองไปรอบๆหากก็ไม่เจออะไร
และในตอนนั้นเองก็มีผู้ช่วยคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว “มันไม่มีหลักฐานอะไรบนเสื้อผ้าเลยครับ มีแค่กุญแจของพลตรีฮวงชูเจิ้นในกระเป๋าเสื้อ”
มู๋หรงยู่เฉิงโบกมือไล่”เอาเสื้อผ้าให้เขา ดูเหมือนจไม่มีอะไรที่เราต้องการ”
”ครับ!”กลุ่มคนรีบนำเสื้อผ้ามาให้ฮวงชูเจิ้นทันที หลังจากที่ทนหนาวอยู่ข้ามคืนในที่สุดฮวงชูเจิ้นก็ได้สวมเสื้อผ้าซักที
หลังจากมู๋หรงยู่เฉิงเดินจากไปจู่ๆเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหมุนตัวกลับมาและมองหน้าเจียงเหว่ยที่ยังคงกุมไม้กวาดเอาไว้ข้างตัวไม่เปลี่ยน “เจียงเหว่ย ครั้งนี้นนายทำงานได้ดี มาทำงานที่ห้องข้อมูลในศูนย์ใจกลางของเมืองสิ!”
สีหน้าของเจียงเหว่ยมีทั้งความตื่นเต้นและประหลาดใจ”ผม? เอ่อ แล้วเรื่องเงินเดือนละครับ?”
มู๋หรงยู่เฉิงยิ้มบางๆ”แน่นอนว่ามันจะเพิ่มขึ้น ห้องข้อมูลมีเอกสารสำคัญของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและสำนักงานใหญ่มากมายที่จะต้องจัดการรายวัน นายจะต้องทำลายเอกสารทิ้งอย่าให้พลาดทันทีตามเวลาที่กำหนด งานมันง่ายมากแต่จำเป็นต้องมีระดับการรักษาความลับได้สูง”
”เข้าใจแล้วครับ!ผมจะทำให้ดี!” เจียงเหว่ยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น แต่แล้วก็เขินอายเล็กน้อยก็จะเอ่ยถาม “เอ่อ แล้วผมจะได้ขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่เหรอครับ?”
”ตอนนี้ห้าเท่าก่อนแต่นายไม่จำเป็นต้องมาทำวันนี้ มาทำงานพรุ่งนี้เช้า” มู๋หรงยู่เฉิงยิ้มให้ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป
มู๋หรงยู่เฉิงค่อนข้างพอใจกับภารโรงอย่างมากเขารู้สึกว่าเจียงเหว่ยเป็นคนน่าสนใจและยังชอบใจตรงที่อีกฝ่ายค่อนข้างให้ความสำคัญเรื่องเงินเดือนอย่างมาก ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น สนใจแต่เรื่องเงิน และนั่นคือจุดสำคัญที่ทำให้มู๋หรงยู่เฉิงสนใจในตัวเจียงเหว่ยเพราะมันแสดงว่าการใช้งานเจียงเหว่ยจะไม่ใช่เรื่องยากเลย
อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องดีเพราะไหนๆเจียงเหว่ยก็เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้แล้ว อีกทั้งค่ายก็ทำงานกันหนักมา มันก็ดีที่ในที่สุดจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ สุดท้ายแล้วงานประเภทนี้ก็ต้องการแค่คนที่จงรักภักดีต่อค่ายและสามารถรักษาความลับได้
แม้ว่าเงินเดือนของเจียงเหว่ยจะไม่สูงเท่ากับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่ทำงานแบบเดียวกันเพราะมันไม่เคยมีการเลือกคนนอกเข้ามาทำงานเช่นนี้มาก่อน
ทันทีหลังจากม๋หรงยู่เฉิงจากไปโดยไม่คาดคิด…เจียงเหว่ยคนที่มู๋หรงยู่เฉิงคิดว่าเป็นคนเรียบง่ายไม่มีความทะเยอทะยาน รีบติดต่อเหมิงชีเหว่ยเงียบๆ เขารายงานว่าตัวเองสามารถแทรกซึมเข้าไปในภายในศูนย์กลางได้แล้ว…
หัวหน้าหน่วยข่าวกรองใต้ดินของค่ายเขี้ยวหมาป่าอย่างเหมิงชีเหว่ยแสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งแล้ว!