ตอนที่ 634 ความโศกเศร้าในใจ
เซียงฉือไม่รู้ได้กำลังวังชามาจากที่ใด นางออกแรงกระชากจนแขนหลุดออกจากการเกาะกุมได้ เหอเจี่ยนสุยไม่ได้บีบบังคับอีก ร่างกายเขาราวกับถูกปล่อยลมออกซวนเซถอยหลังไปสองก้าว มองดูอวิ๋นเซียงฉือแล้วหายใจเข้าลึก
“เมฆหมอกปกคลุมอยากจะคาดเดาจิตใจ ทำอย่างไรจึงจะเปลื้องความทุกข์นี้ได้
“เซียงฉือ ในวังมีแต่อันตราย เหวินเซวียนปกป้องเจ้าได้ถึงเพียงตอนนี้เท่านั้นแล้ว”
น้ำเสียงเหอเจี่ยนสุยแฝงความจนใจ เขาส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ น้ำตาหยดหนึ่งกลอกกลิ้งอยู่ในเบ้าตาอวิ๋นเซียงฉือแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ร่วงหล่นลงไป
อวิ๋นเซียงฉือไม่หันหน้ากลับไปมองเหอเจี่ยนสุยอีก แต่หมุนกายไปหยิบกำไลหยกขาวที่ติดตัวมานานปีส่งคืนให้กับเขา
“ของสิ่งนี้เมื่อไม่ได้มีไว้ให้ระลึกถึงก็เป็นเพียงของธรรมดาชิ้นหนึ่ง หากอวิ๋นผินไม่ต้องประสงค์ก็ทรงโยนทิ้งได้ กระหม่อมเหอเจี่ยนสุยถึงจะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้าเฉกเช่นฝ่าบาท แต่ว่าของที่มอบออกไปแล้วจะไม่มีวันรับคืนเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ”
เหอเจี่ยนสุยโยนกำไลหยกขาวแตก มีกลิ่นหอมเร้นขึ้นมาในอากาศ แล้วเขาก็หมุนกายออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวหลัง
เซียงฉือนิ่งงันมองดูเหอเจี่ยนสุยหมุนกายจากไป นิสัยกร้าวแกร่งไม่ยอมก้มหัวของเขาบัดนี้เหมือนดั่งพยัคฆ์ที่ได้รับบาดเจ็บ ในที่สุดนางก็กลายเป็นคนที่ทำร้ายเขาอย่างลึกซึ้งที่สุด แต่ก็จนใจเพราะว่านางเป็นคนของหรงจิงไปแล้ว
ไม่ว่าร่างกายหรือหัวใจ ล้วนมีหรงจิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
นางได้แต่เพียงเก็บความสำนึกเสียใจไว้ในส่วนที่อ่อนโยนที่สุดของใจ มองดูเขาจากไปจากที่ตรงนี้
อวิ๋นเซียงฉือนั่งลงบนตั่งนุ่มอย่างแรง น้ำตาหลั่งราวคันกั้นน้ำทลาย ความทรงจำในอดีตจู่โจมเข้าหานางอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างกายนางเหนื่อยล้าหนักหน่วง นางพูดอะไรไม่ได้ เพราะนี่คือโทษทัณฑ์ที่นางจะต้องรับ
หงซีกูกูกลับเข้ามาจากข้างนอก เมื่อผลักประตูเข้ามาเห็นอวิ๋นเซียงฉือนั่งมองโคมไฟน้ำตาไหลพราก นางไม่ถามอื่นใดเพียงพูดว่า
“อวิ๋นผินเพคะ นี่ก็มืดแล้ว ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ อ่านหนังสือในตอนมืดจะทำลายดวงตาได้นะเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือหลับตาผงกศีรษะอย่างว่าง่าย นางถูกหงซีกูกูประคองเดินเข้าห้องนอน พลางสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมบางเบาวนเวียนวนแถวปลายจมูก
เซียงฉือไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่หงซีกูกูเห็นกำไลแตกอยู่เบื้องหน้าจึงพูดขึ้นว่า
“กำไลของอวิ๋นผินทำไมจึงแตกเสียแล้วล่ะเพคะ บ่าวเห็นอวิ๋นผินสวมใส่มานาน คิดว่าคงเป็นของที่มีความทรงจำ บ่าวหาช่างฝีมือดีๆ สักคนให้ทำเป็นกำไลหยกเลี่ยมทอง เพื่ออวิ๋นผินจะได้ไม่ต้องเศร้าพระทัยนะเพคะ”
เซียงฉือมองกำไลวงนั้นแล้วพยักหน้าพูดว่า
“หมัวหมัว กำไลแตกแล้วสามารถซ่อมแซมได้ แล้วถ้าเป็นหัวใจเล่า”
หงซีฟังแล้วประคองเซียงฉือเดินเข้าข้างในต่อไป
เมื่อไปถึงข้างเตียงประคองนางลงนั่งแล้วจึงพูดว่า
“อวิ๋นผินอย่าทรงเป็นเช่นนี้เลยเพคะ วันเวลาในวังยังอีกยาวนานจะทรงคิดเช่นนี้มิได้นะเพคะ มิเช่นนั้นจะไม่อาจผ่านวันเวลาไปได้ ฝ่าบาททรงทุ่มเทจิตใจเพื่ออวิ๋นผิน ทอดพระเนตรแท่นบรรทมอุ่นกับวิสูตรไหมนี่สิเพคะ มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่ความใส่พระทัยของฝ่าบาทเพคะ”
“แต่ในพระทัยฝ่าบาทเต็มไปด้วยเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ ไม่ได้ทรงฝักใฝ่อยู่แต่เพียงความรักของหญิงชาย อวิ๋นผินอย่าได้ตรัสคำพูดบั่นทอนกำลังใจเช่นนี้เลยนะเพคะ”
เซียงฉือรู้ว่าหงซีคิดว่านางไม่สบายใจเพราะการจากไปของฝ่าบาท พอกำไลแตกหักจึงพลอยทำให้คำพูดเศร้าสลดไปด้วย เซียงฉือเพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ต่อปากต่อคำ แล้วเอนกายลงพลิกไปมาบนเตียง
นางนอนไม่หลับจริงๆ
เซียงฉือไม่แปลกใจที่เหอเจี่ยนสุยมาหานาง แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ คิดว่าคงจะออกมาพร้อมกับทหารที่มาถ่ายทอดคำสั่งละมัง
จิตใจเซียงฉือสับสนวุ่นวาย หงซีอยู่ด้านนอกได้ยินนางกระสับกระส่ายจึงได้แต่ส่ายหน้า
เซียงฉือยังคงคิดอยู่นานจนไม่อาจหลับลงได้ หงซีกูกูจนปัญญา ท้ายที่สุดจึงจุดธูปหลับใหล นางจึงได้หลับไปอย่างช้าๆ
ตอนที่ 635 ประสบภัยระหว่างทาง
ตอนรุ่งสางเซียงฉือเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยหงซีกูกูก็ประคองนางออกจากตำหนักฉุนหวา เมื่อเดินถึงหน้าประตูนางหันหน้ากลับไปมองตำหนักอันโอฬารที่เบื้องหลัง
“ได้เวลาออกเดินทางแล้วเพคะอวิ๋นผิน”
เซียงฉือตื่นจากภวังค์ พยักหน้าแล้วก้าวขึ้นรถ ขบวนนั้นไม่จัดว่าใหญ่โตอะไร มีเพียงทหารรักษาพระองค์สิบสองนายนางกำนัลสี่คนกับขันทีอีกสี่คนเท่านั้น
เสียวสี่จื๊อกับหงซีกูกูนั่งอยู่ในรถ รถเคลื่อนที่ไปช้าๆ เซียงฉือได้ยินเสียงอึกทึกที่ด้านนอกจึงเลิกผ้าม่านในรถมองออกไป
“วันนี้วันอะไรหรือ ทำไมข้างนอกคึกคักนัก”
หงซีกูกูก็สงสัยจึงยื่นหน้าออกไปเพื่อจะสอบถามกับทหารรักษาพระองค์ที่ด้านนอก
แต่ชั่วขณะนั้นบังเกิดความผิดสังเกต
“ข้างนอกนี่ทำไมจึงมีผู้ลี้ภัยมากมายนัก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
อวิ๋นเซียงฉือเลิกผ้าม่านในรถขึ้นแล้วมองออกไป ฝูงชนเป็นระลอกถือไม้เท้าเดินซวนเซมุ่งหน้าไปทางเมืองอวิ๋นหยาง
ดูจากการแต่งกายของพวกเขาแล้ว เป็นชาวบ้านที่ข้ามมาจากแถบจิ้งโจวและเจียงโจว
เซียงฉือรู้สึกประหลาดใจคิดจะลุกขึ้นแต่ตัวรถเกิดสั่นคลอนทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ต้องเร่งทรุดกายลง
เสียวสี่จื๊อประคองเซียงฉือไว้ หงซีกูกูยื่นศีรษะออกไปดูทันที มองเห็นข้างนอกชุลมุนวุ่นวายสับสนเป็นอย่างยิ่ง
คำถามที่ถามไปเมื่อครู่ไม่มีใครตอบได้ ทหารรักษาพระองค์ในชุดทหารสีเงินถูกกลืนเข้าไปในฝูงชนและหายสาบสูญไปสิ้นในระหว่างผลักดันกันไปมา หงซีตระหนกขึ้นมา นางรีบหดศีรษะกลับเข้าไป รถทั้งคันสั่นคลอนรุนแรงขึ้นอีก
“อวิ๋นผินเพคะ ดูเหมือนด้านนอกพวกชาวบ้านจะก่อจราจลแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะ” ใบหน้าหงซีกูกูย่นเข้ามาเป็นกอง ไม่รู้จะทำอย่างไร
รถทั้งคันโยกคลอนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝูงชนที่ก่อความวุ่นวายด้านนอกร้องตะโกนโหวกเหวก
เซียงฉือก็ขมวดหัวคิ้วแน่น
“ขอของกินให้ข้า ข้าต้องการอาหาร”
“เป็นเพราะพวกเจ้าทุจริตเอาเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเราไป เจ้าพวกหนูทั้งหลาย”
“บุกเข้าไปฆ่าคนในรถเลย ใช้เลือดพวกมันมาล้างหนี้เลือด”
“ยึดครองที่นา สวรรค์ต้องไม่ยกโทษให้”
เซียงฉือที่เพิ่งจะนั่งลงได้ตัวโยกโงนเงนไปตามรถ นางได้ยินเสียงตะโกนร้องที่ด้านนอกและพอจะจับใจความได้ ดูจากเสื้อผ้าพวกเขาแล้ว น่าจะเป็นราษฎรจากเจียงโจวกับชิงโจว
นางใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้น
“อวิ๋นผินเสด็จออกไปไม่ได้นะเพคะ พวกนั้นกำลังโกรธเกรี้ยว หากอวิ๋นผินทรงถูกทำร้าย บ่าวรับโทษทัณฑ์ไม่ไหวนะเพคะ”
เรื่องที่เซียงฉือคิดจะทำไม่อาจพ้นจากสายตาหงซีกูกูได้ นางดึงตัวเซียงฉือไว้ไม่ให้ออกไป
เซียงฉือผลักไสแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ถึงข้าไม่ออกไปก็ต้องถูกฆ่าตายอยู่ในรถอยู่ดี มิสู้ออกไปยังอาจพอมีทางรอดบ้าง”
เซียงฉือมองดูพวกอัญมณีเครื่องประดับในรถแล้วเอื้อมมือไปหยิบเครื่องประดับ นางลุกขึ้นมุดออกด้านนอกทันทีแล้วนั่งชันเข่าอยู่ข้างหน้ารถ จับด้านข้างของรถไว้แล้วรีบโยนอัญมณีเครื่องประดับออกไปทันที
จากนั้นยื่นมือไปขอรับจากหงซีกูกูอีกแล้วก็โยนออกไปอีก
“สร้อยคอโมราสีแดงมีค่าควรเมือง ใครแย่งไปได้ก็เป็นของคนนั้น”
อวิ๋นเซียงฉือโยนออกไปได้ไม่ไกลนัก แล้วก็เห็นสายตาของคนมากมายในกลุ่มเบนออกไป
เซียงฉือเห็นพวกเขาแก่งแย่งกันก็รีบโยนถุงเงินในรถออกไปด้วยทันที
ฝูงชนเฮโลเข้าไปทันควัน ทหารรักษาพระองค์ที่แคล่วคล่องหลายคนช่วยกันนำนางกำนัลกับขันทีที่ได้รับบาดเจ็บเคลื่อนเข้ามาใกล้เซียงฉือ เซียงฉือพอสบช่องว่างจึงมองไปรอบด้าน
นางเห็นสายตาของคนหลายคนในกลุ่มมองมาที่นางถี่ๆ
พวกนั้นชี้มือชี้ไม้ เซียงฉือรู้เจตนาพวกมันทันทีเพียงแต่ขณะนั้นไม่ใช่เวลาที่จะคิดใคร่ครวญ รถม้าเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไปนางจึงรีบกระโดดลงจากรถ
พวกก่อจลาจลเมื่อครู่ต้องถูกคนปลุกปั่นขึ้นมาอย่างแน่นอน มิฉะนั้นหากพบเห็นขบวนรถม้าขบวนใหญ่พร้อมด้วยขันทีจะต้องไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าโอบล้อมเช่นนี้เป็นแน่