ตอนที่ 636 มีผู้ลอบสังหาร / ตอนที่ 637 การข่าวและมูลเหตุ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 636 มีผู้ลอบสังหาร

 

 

เซียงฉือกระโดดลงจากรถม้า หงซีกูกูห้ามไว้ไม่ทันจึงต้องติดตามลงไป

 

 

เซียงฉือหันกลับมาดึงข้อมือหงซีกูกูแล้วสั่งว่า

 

 

“กูกูรีบกลับเข้าวังไปเฝ้าฝ่าบาททูลว่ามีคนจะลอบสังหาร ข้าจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ ขอให้ฝ่าบาทส่งคนมากวาดล้างพวกก่อความวุ่นวาย ข้าสามารถดูแลตัวเองได้”

 

 

เซียงฉือพูดจบก็ปล่อยมือ หงซีกูกูพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เซียงฉือก็ได้คว้าเสียวสี่จื่อพากันแทรกเข้าไปในกลุ่มคนโดยไม่หันกลับมามอง เพียงครู่เดียวก็ถูกกลืนหายไปกับพวกผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่

 

 

เซียงฉือแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนงดงามเหมือนดั่งปลาเงิน เดินทวนกระแสผู้คนไปอย่างรวดเร็ว เสียวสี่จื่อติดตามอยู่ข้างกายนางอย่างใกล้ชิดไม่กล้าออกห่างแม้เพียงก้าวเดียว

 

 

ไม่ง่ายนักกว่าเซียงฉือจะฝ่ากระแสผู้ลี้ภัยออกมาได้ แต่พอพบทางสองแพร่งที่เบื้องหน้าเข้าก็บังเกิดความลำบากใจ

 

 

“เสียวสี่จื่อเจ้าจำได้ไหมว่าเส้นทางไหนที่จะกลับเข้าเมืองหลวงได้”

 

 

เสียวสี่จื่อมองซ้ายแลขวาแล้วส่ายหน้า เซียงฉือได้ยินเสียงคนแว่วมาจากทางข้างหลังจึงรีบดึงแขนเสียวสี่จื่อหลบเข้าไปในพงหญ้า

 

 

“ผู้หญิงคนนั้นล่ะ ทำไมพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแล้ว นางเดินไปทางด้านไหน”

 

 

ผู้ชายสองคนที่ตามหลังมายืนอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือกับเสียวสี่จื่อในระยะไม่ห่างไกลนัก พวกมันพูดคุยกัน เซียงฉือฟังคำพูดพวกมันแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เสียวสี่จื่อเงียบเสียงหัวคิ้วขมวดมุ่น

 

 

เซียงฉือยิ่งหมอบตัวต่ำลง กลัวจะถูกผู้ชายสองคนเบื้องหน้าพบเห็นเข้า

 

 

แต่ยังดีที่ว่าข้างหน้าเป็นทางสองแพร่ง สองคนนั้นจึงแยกย้ายกันออกไปค้นหาคนละทาง เซียงฉือจึงได้ค่อยๆ โผล่ออกมาจากในพงหญ้า แล้วถอนใจยาว

 

 

“อวิ๋นผินพ่ะย่ะค่ะ คนพวกนั้นเป็นใครกันดูเหมือนจะไล่ตามอวิ๋นผินมานะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวว่าพวกมันต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่พวกเราต้องหาวิธีติดต่อทหารรักษาพระองค์หรือไม่ก็ผู้ว่าเมืองอวิ๋นหยางให้ส่งทหารมาอารักขาพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เซียงฉือลุกขึ้นยืนช้าๆ นางถอนใจเบาๆ ส่ายหน้าพูดว่า

 

 

“ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูเป็นใคร หากเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นหรือตายก็สุดจะคะเน ยิ่งตอนนี้พวกเราไม่รู้ทิศทางอีกด้วย หากเดินสะเปะสะปะไปก็จะยิ่งอันตราย”

 

 

“เสียวสี่จื่อ พวกเราตอนนี้คับขันนัก ไม่อาจบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวได้”

 

 

เสียวสี่จื่อพยักหน้า แววตาจริงจังขึ้นมา

 

 

เซียงฉือพิจารณาดูท่าทีเขาแล้วก็พยักหน้า พูดขึ้นอย่างจริงจัง

 

 

“เสียวสี่จื่อ ข้ามีภารกิจใหญ่หลวงที่จะมอบให้เจ้าๆ จะต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงจะต้องตายอยู่ในป่าเขารกร้างนี่แล้วเสียวสี่จื่อ ข้าขอฝากชีวิตของข้าไว้กับเจ้า”

 

 

เสียวสี่จื่อฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นแต่พยักหน้าอย่างหนักแน่น

 

 

“อวิ๋นผินโปรดวางพระทัย บ่าวแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็จะต้องช่วยพระองค์ออกไปให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เซียงฉือยกนิ้วมือขึ้นแล้วทั้งคู่ก็ยอบตัวลงไปอีก นางถอดเสื้อตัวนอกของเสียวสี่จื่อออกแล้วทำให้ตัวเขาเลอะเทอะเสื้อผ้ายุ่งเหยิง ทั้งยังป้ายหน้าเขาจนมอมแมม เมื่อมองดูจนเหมือนผู้ลี้ภัยที่อดอยากผอมโซแล้วจึงได้ปล่อยตัวเขา

 

 

เสียวสี่จื่อไม่ปริปาก เขารู้ว่าเซียงฉือกำลังทำอะไร จึงไม่กล้าเคลื่อนไหว

 

 

เซียงฉือพูดต่อว่า

 

 

“เมื่อครู่ข้าให้หงซีกูกูรีบกลับเข้าวัง ไม่ว่าหงซีกูกูจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแค่ไหน กว่าจะไปถึงวังก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งวัน ตอนนี้พวกเราถูกสกัดอยู่ที่นี่ ซึ่งคิดว่าพวกมันคงจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าข้าทิ้งเป็นแน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางไปซวี่ตูทันที อ้อมเขาอวี้หนี่ว์ไปยังค่ายทหารใหญ่หงฉู่เพื่อพบเหลียนชินหวัง แล้วมอบสิ่งนี้ให้กับพระองค์ ขอให้พระองค์รีบมาช่วยเหลือข้า ถ้าหากฝีเท้าเจ้าไวพอ ก็อาจจะยังมีโอกาส”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือพูดอย่างจริงจัง ตอนนี้พวกเขาอยู่บริเวณตีนเขาอวี้หนี่ว์ การอ้อมเขาอวี้หนี่ว์ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน แต่ทางนี้ไม่มีคนกีดขวาง ดังนั้นเขาจึงสามารถเร่งรุดได้เร็วกว่า

 

 

เซียงฉือสั่งการเช่นนี้ เสียวสี่จื่อพยักหน้าอย่างแข็งขัน

 

 

 

 

ตอนที่ 637 การข่าวและมูลเหตุ

 

 

เสียวสี่จื่อผละไปทันที เซียงฉือยังคงหมอบอยู่ในที่เดิมอีกพักใหญ่ เมื่อร่างของเสียวสี่จื่อหายไปจากสายตาแล้วจึงได้ลุกขึ้นยืน

 

 

นางเดินเข้าไปทางคลื่นฝูงชน หลีกเลี่ยงการเดินบนทางหลัก ลัดเลาะอยู่บนทางเล็กด้านข้างรั้งท้ายฝูงคน เซียงฉือจะไม่ยอมถูกใครรังแกง่ายๆ เช่นนี้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่คิดจะทำอะไรกับนางเช่นนี้

 

 

เมื่อส่งคนออกไปขอความช่วยเหลือแล้วนางจึงหมดห่วง แม้แต่เรื่องอื่นๆ นางก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

 

 

เซียงฉือเดินไปถึงบ้านคนหลังหนึ่งแล้วเปิดประตูลานบ้านเข้าไป นางมองเข้าไปในบ้านแต่ไม่เห็นมีใครออกมา จึงเรียกขานเบาๆ

 

 

“ไม่ทราบว่ามีใครอยู่ไหม”

 

 

เซียงฉือยื่นหน้าเข้าไป แต่ข้างในยังคงเงียบอยู่นาน กระทั่งครู่หนึ่งผ่านไปจึงได้มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนออกมาทางประตูหน้า

 

 

“ไปให้พ้น บ้านข้าไม่มีอะไรให้กิน ไปขออาหารกับพวกทหารใหม่พวกนั้นไป”

 

 

เซียงฉือเมื่อได้ยินเสียงคนจึงเดินเข้าไปพูดด้วยความอดทนว่า

 

 

“พี่สาว ข้าไม่ได้มาขอข้าวกิน ท่านเปิดประตูเถิด ข้าจะมาขอซื้อของจากท่าน”

 

 

เสียงของเซียงฉือนุ่มนวลฟังจริงใจ หญิงคนนั้นแอบมองเซียงฉือผ่านร่องประตู เห็นบนร่างนางล้วนแต่ผ้าแพรไหมดูไม่เหมือนชาวบ้านอดอยาก เมื่อนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดประตูออกซอกเล็กๆ พิจารณาดูเซียงฉืออย่างละเอียด เมื่อเห็นข้างกายเซียงฉือไม่มีใครอื่น จึงวางใจเปิดประตูออกมา

 

 

นางพิจารณาเซียงฉืออยู่นาน เอ่ยปากขึ้นว่า

 

 

“ฮูหยินท่านนี้จะซื้ออะไรหรือ”

 

 

เซียงฉือเหลียวซ้ายแลขวาแล้วจึงหยิบก้อนเงินออกมาวางลงในมือหญิงชาวนา พูดว่า

 

 

“ตรงนี้ลมแรง ไม่ทราบว่าจะให้ข้าเข้าไปคุยด้วยข้างในจะได้หรือไม่”

 

 

หญิงชาวนาใช้ฟันขบก้อนเงินแล้วก็ยิ้มอย่างร่าเริงขึ้น เห็นท่าทางบอบบางของเซียงฉือแล้ว จึงได้เปิดประตูให้นางเข้าไป

 

 

เซียงฉือนั่งอยู่ในห้องมองดูรอบตัวที่ค่อนข้างมืด นางสำรวจรอบกายแล้วรับน้ำร้อนที่หญิงชาวนายกมาให้ วางไว้ในมือโดยยังไม่ดื่ม

 

 

“พี่สาว ข้ามาจากหลานโจวตั้งใจจะเข้าเมืองอวิ๋นหยางแต่ถูกพวกผู้ลี้ภัยข้างนอกนั้นขวางทางทำให้คลาดกับบ่าวไพร่หลายวันก่อนยังดีอยู่เลย ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอกนั่น ทำไมจึงมีผู้ลี้ภัยมากมายเช่นนั้น”

 

 

หญิงชาวนาสวมเสื้อกันหนาวยัดนุ่นสีเทาคนนั้นเติมฟืนลงไปขณะเดิน แล้วจึงพูดว่า

 

 

“พวกเราก็ไม่รู้ พวกเราเป็นครอบครัวนายพราน สามีข้าขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หลายวันนี้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากจากเจียงโจวชิงโจว อีกทั้งยังมีจิ้งโจวติดตามมาอีกด้วย เห็นพูดอะไรว่าหรงเสวี่ยกั๋วจะเปิดศึกกับเซี่ยวจิ่งกั๋วเรา จะรบกันแล้วจะไม่วุ่นวายได้หรือ”

 

 

อวิ๋นเวียงฉือฟังอย่างรู้สึกประลาดใจ ถามต่อว่า

 

 

“ระหว่างหรงเสวี่ยกั๋วกับเซี่ยวจิ่งกั๋วมีกองกำลังเกราะเหล็กสามสิบหมื่นของฝ่าบาท อีกทั้งทหารม้าอีกยี่สิบหมื่นที่ขุนพลจินนำทัพอยู่ทางเทือกเขาสวินหลงมิใช่หรือ เหตุใดราษฎรจากเจียงโจวชิงโจวจึงต้องกรูกันมาถึงอวิ๋นหยางนี่”

 

 

เซียงฉือถามขึ้นเช่นนี้ หญิงขาวนาได้แต่เกาศีรษะอย่างอึดอัด พูดว่า

 

 

“ข้าเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง เพียงได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น สามีข้าก็ยังไม่กลับ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งข้าก็คงไม่เปิดประตูให้หรอกนะ สภาพสังคมตอนนี้มันวุ่นวายสับสนจริงๆ”

 

 

เซียงฉือออกแรงน้อยๆ บนมือที่ถือถ้วยน้ำไว้ นางฟังเสียงข้างนอกยิ่งบังเกิดความสงสัย เพราะเหตุใดจึงมีผู้ลี้ภัยมากมายถึงเพียงนี้

 

 

หรงจิงถูกตามตัวกลับอย่างเร่งด่วน ด้วยนิสัยของเขาแล้วคิดว่าครั้งนี้คงจะเข้าสู่สมรภูมิด้วยตนเอง ไม่รู้เพราะเหตุใดเซียงฉือจึงได้รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้

 

 

เซียงฉือครุ่นคำนึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า

 

 

“ที่นี่อลหม่านนับวันยิ่งไม่ปลอดภัย ข้าตัวคนเดียวหากแต่งกายแพรวพราวเช่นนี้เกรงว่าจะถูกคนไม่ดีจับตัวไป ไม่ทราบว่าข้าจะขอแลกเสื้อผ้าบนตัวข้ากับเสื้อผ้าของท่านสักชุดได้หรือไม่”

 

 

เซียงฉือเหลือไว้เพียงเสื้อคลุมสีขาว นอกนั้นใช้แลกเปลี่ยนกับหญิงชาวนาคนนั้นไปหมด