ตอนที่ 165 ยันต์ห้าผีพรากชีวิต โดย Ink Stone_Fantasy
“หรือว่าเป็นหลานชายของบ้านไหน? แต่ไม่ยักเคยเห็นมาก่อน…”
“ท่านประธานโจว คุณไม่ได้สนิทสนมกับเว่ยหงจวินหรอกหรือ? เดี๋ยวไปถามดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“
เวลานั้นที่เว่ยหงจวินตะโกนเสนอราคาออกไปแปดแสน ทุกคนล้วนพุ่งความสนใจไปที่เยี่ยเทียน ต้องเข้าใจด้วยว่า งานประมูลการกุศลประเภทนี้ ก็มีกฎเกณฑ์ที่รู้กันอยู่บ้าง
ว่ากันโดยทั่วไป เมื่อคนที่มีสถานะสูงสุดในงานนำของออกมา มักจะเป็นการประมูลราคาสูงที่สุดในงานแล้ว คนอื่นก็จะให้เกียรติในส่วนนี้
อย่างเช่นเครื่องกระเบื้องเคลือบราชวงศ์ชิงชิ้นนั้นที่เว่ยหงจวินประมูลตกมาถึงมือชิ้นแรกในราคาสามแสนแปดหมื่น ก็คือของที่ประธานบริษัทหนึ่งในบริษัทชั้นนำห้าร้อยอันดับของโลกภายในงานผู้หนึ่งนำออกมา ตอนนี้พอจี้หยกของเยี่ยเทียนถูกนำเสนอ กลับแย่งเป้าสายตาไปจากคนคนนั้น
“แปดแสน! ท่านประธานเว่ยเสนอราคาแปดแสน ขอขอบคุณท่านประธานเว่ยที่ให้การสนับสนุนงานประมูลเพื่อการกุศลและมูลนิธิแห่งความหวัง สุดท้ายนี้ขอถามอีกครั้งว่า ยังมีสหายต้องการเสนอราคาอีกไหมครับ?”
พิธีกรเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์ดูเหมือนควบคุมไม่ค่อยได้แล้ว หลังจากประกาศราคาออกไปเป็นครั้งสุดท้าย ก็พูดทันทีว่า “แปดแสน! ตกลงการซื้อขาย ขอขอบพระคุณคุณเยี่ยที่บริจาคหยกชิ้นนี้ และขอบพระคุณท่านประธานเว่ยที่ออกเงินช่วยเหลือด้วยน้ำใจ”
หลังจากได้ยินเสียงของพิธีกร เว่ยหงจวินก็รู้สึกโล่งใจ เขากลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าคนในงานจะมีความรู้เกี่ยวกับของชิ้นนี้ ที่ตัวเองบอกราคาสามแสนห้า สถานการณ์ในวันนี้ก็นับว่าได้รับความสนใจอย่างใหญ่หลวงแล้ว
“ลุงเว่ย ลุงน่ะกดราคา…“ เห็นหน้าตาของเว่ยหงจวินเต็มไปด้วยความสุขอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็เบ้ปาก
หลังผ่านการซื้อขายกับถังเหวินหย่วนครั้งนั้น เยี่ยเทียนเองก็มีวิสัยทัศน์ที่สูงขึ้น ถ้าเกิดว่าของชิ้นนี้ให้เขานำออกไปขาย ไม่ได้ราคาสองล้าน เยี่ยเทียนจะไม่มีทางปล่อยมืออย่างแน่นอน
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินก็หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เจ้าหนู ขาดเงินอีกเท่าไหร่ลุงเว่ยจะชดเชยให้ ก็ถามตั้งแต่แรกแล้วว่ามีของชิ้นนี้ไหม กระทั่งลุงเว่ยเธอยังพูดปด…”
“ลุงเว่ย ของชิ้นนี้เพิ่งแกะสลักใหม่ เดี๋ยวลุงดูแล้วจะรู้ แกะสลักดีกว่าน้ำเต้าชิ้นนั้นเยอะเลย…“
พอได้ยินเว่ยหงจวินพูดขึ้นมา เยี่ยเทียนจึงต้องอธิบายอย่างจริงจังสักหน่อย ตัวเขามายังปักกิ่ง นับว่าได้ความช่วยเหลือจากลุงเว่ยไม่น้อยเลยจริงๆ
เมื่อสองปีก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนขายหยกน้ำเต้าให้ถังเหวินหย่วน แท้ที่จริงเว่ยหงจวินเคยถามเยี่ยเทียนแล้วว่ายังมีของอย่างนี้อยู่อีกหรือไม่ เวลานั้นในมือเยี่ยเทียนก็เหลืออยู่แค่สองสามชิ้น ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ได้ให้เว่ยหงจวิน
ครั้งนี้กลับมาปักกิ่งได้ไม่นาน อีกทั้งเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความคิดจะซื้อขายเครื่องราง ดังนั้นจึงไม่ได้นำออกมา หากเมื่อครู่ไม่ถูกเจ้าอ้วนฉีคอยถากถาง เยี่ยเทียนก็จะไม่นำออกไปประมูล
“ตกลง ลุงจะดูอย่างละเอียด ฝีมือของเธอพัฒนาขึ้นอีกแล้วหรือ“
ขณะที่ของชิ้นต่อไปกำลังจะทำการประมูล หญิงสาวที่ดูอ่อนน้อมผู้หนึ่งถือถาดวางจี้หยกมายังข้างหน้าโต๊ะเยี่ยเทียน พอเว่ยหงจวินจ่ายเช็ควางลงบนถาด ก็นำหยกชิ้นนั้นถือไว้กับมือ
“ประธานเว่ย ขอผมดูหน่อย…”
เว่ยหงจวินยังไม่ทันได้พิจารณาสิ่งของนี้ ก็โดนเหลยอู้แย่งไป พลิกดูไปมาสักพัก ปากก็บ่นพึมพำว่า “ประธานเว่ย ของชิ้นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนี่นา? ทำไมมันถึงมีมูลค่าตั้งแปดแสน?”
“ไม่คุ้มราคาแปดแสนแล้วเมื่อกี้คุณตื่นเต้นอะไร?” พอคำพูดของเหลยอู้เงียบเสียงลง ก็ถูกภรรยาที่อยู่ข้างๆ ประชดประชัน
“หึๆ นี่เป็นของที่น้องเยี่ยนำออกมาไม่ใช่หรือ? อย่างไรเสียเหล่าเหลยอย่างผมก็ต้องช่วยผลักดัน“
เหลยอู้หัวเราะขึ้นมา ถือจี้หยกไว้และขบคิดสาเหตุไม่ออก จึงส่งมันกลับให้เว่ยหงจวิน พูดว่า “ท่านประธานเว่ย คุณยังติดค้างคำอธิบายผมอยู่นะ…”
พอเหลยอู้พูดออกไป คนบนโต๊ะไม่กี่คนก็หูผึ่งขึ้นมา โดยเฉพาะฉีอี้ เมื่อครู่เขาเองก็ดูออกว่า ท่าทางที่เว่ยหงจวินตะโกนเสนอราคา ไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนเยี่ยเทียน ดูเหมือนว่าหยกชิ้นนี้จะมีที่มาจริงๆ
การกระทำเมื่อครู่ไม่สามารถกดหัวเยี่ยเทียนได้ แม้ฉีอี้รู้สึกไม่สบลุงรมณ์ แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยหงจวินกับเหลยอู้ที่มีต่อเยี่ยเทียนนั้นนับว่าไม่เลวเลย หากก่อเรื่องย่อมส่งผลไม่ดีต่อตนเองเช่นกัน
แน่นอน ครั้งนี้หัวหน้าฉีตัดสินใจแล้วว่า พรุ่งนี้ต้องทำให้อวี๋ชิงหย่าลำบากใจให้ได้ หากไม่สามารถทำให้เธอร้องไห้อ้อนวอนตน ผลการฝึกงานครั้งนี้ก็อย่าหวังจะได้รับ
“นี่หรือ?”
เว่ยหงจวินมองเยี่ยเทียนอย่างลำบากใจเล็กน้อย หลังจากเห็นเยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมานิดหนึ่ง จึงพูดว่า “เหล่าเหลย เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน…”
เถ้าแก่เหลยก็เป็นคนสายตาแหลมคมเช่นกัน หลังจากได้เห็นอากัปกริยาของเว่ยหงจวินกับเยี่ยเทียน ก็หัวเราะขึ้นมา “ได้ งั้นรองานนี้เลิก พวกเราค่อยไปหาที่นั่งคุยกัน น้องเยี่ย เธอเองก็ต้องมาด้วยล่ะ…”
“ตกลงครับ คืนนี้เราไปนั่งคุยกัน”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วพยักหน้า ลุกขึ้นพูดว่า “ผมจะไปห้องน้ำสักหน่อย” ตอนเยี่ยเทียนลุกขึ้น ก็เอาผ้ากันเปื้อนบนโต๊ะติดมือไปด้วย
ห้องน้ำของโรงแรมห้าดาวนั้นเรียกได้ว่าหรูหรา ข้างหูได้ยินเสียงดนตรีคลอ แตกต่างจากห้องน้ำธรรมดาที่มีกลิ่นเหม็นหึ่งพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง
“ให้ตาย นี่ชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ…”
หลังจากเข้าไปในห้องน้ำ เยี่ยเทียนพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ห้องน้ำส่วนใหญ่เป็นสถานที่กักเก็บสิ่งสกปรก ทั้งบรรยากาศชั่วร้ายก็เข้มข้นเป็นที่สุด แต่ในห้องน้ำแห่งนี้ที่ถูกทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม เยี่ยเทียนกลับไม่สัมผัสถึงการมีอยู่ของไอชั่วร้ายสักเท่าไหร่
เยี่ยเทียนมาห้องน้ำ เพื่อที่จะหลบเลี่ยงสายตาคนอื่น แม้ว่าในห้องน้ำจะไม่มีคน แต่สภาพแวดล้อมทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
หลังจากเดินวนรอบห้องน้ำซึ่งมีพื้นที่ประมาณสี่ห้าสิบตารางเมตรหนึ่งรอบ เยี่ยเทียนคิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่สักครู่ หันร่างล็อคประตูห้องน้ำจากด้านใน จากนั้นปลดกลอนห้องที่เหลือออกจนหหมด
เสร็จธุระแล้ว เยี่ยเทียนก็ใช้ผ้ากันเปื้อนวางพาดบนอ่างล้างมือ ก้าวเท้าด้วยท่วงท่าพิสดาร เดินไปมาอยู่ภายในห้องน้ำ
ด้วยท่าเดินแปรปรวนของเยี่ยเทียน พลังงานชั่วร้ายภายในห้องน้ำจึงรวมตัวมาทางเขา ในช่วงเวลานั้น ในห้องน้ำราวกับมีลมร้ายพัดผ่าน หากเวลานั้นมีคนอยู่ข้างใน เกรงว่าคงจะขนลุกกราวขึ้นมาทั่วร่าง
ผ่านไปประมาณห้าหกนาที เยี่ยเทียนก็หยุดฝีเท้าทันควัน ยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ สองมือวาดลงบนพื้นที่ว่างเปล่า ตะคอกเสียงดังออกมาจากปากหนึ่งครั้ง “ชู่ว!”
ตามด้วยเสียงตวาด นิ้วโป้งบนสองมือที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาประกบเข้ากัน เผยรอยฝ่ามืออันแปลกประหลาด กดลงไปด้านล่างอย่างแรง จากนั้นตามด้วยสัญญาณมือจากเขา ไอร้ายที่อยู่รอบตัวก็หายวับไปกับตา
“แม่เอ๊ย ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถลงยันต์ด้วยมือเปล่าได้จริงๆ!”
รอยประทับมือนี้ราวกับใช้พลังงานเยี่ยเทียนจนหมดทั้งร่าง มองเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกซีดเผือด ทั้งหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเป็นเม็ด เยี่ยเทียนก็อดยิ้มแห้งออกมาไม่ได้ เปิดก็อกน้ำแล้วล้างหน้า
การวาดยันต์ด้วยมือเปล่า ก็เป็นวิชาที่เยี่ยเทียนได้รับสืบทอดมา ยันต์ที่เขียนขึ้นทั่วไปเก็บได้เพียงสามวัน ทว่ากำลังภายในของเยี่ยเทียนยังต่ำอยู่ แม้เมื่อครู่จะวาดยันต์ได้สำเร็จ แต่ก็สามารถคงอยู่ได้สามถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น
แต่ว่ายันต์ไร้สีไร้รูปพวกนี้ กลับสามารถควบคุมแสดงผลโดยคนที่สร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งผลกระทบหนักกว่าไอร้ายเข้าสู่ร่างกายร้อยเท่า เยี่ยเทียนมีพลังงานไม่พอ จึงยืมผ้ากันเปื้อนผืนนั้นมาเป็นตัวนำ
ยันต์ที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้นมานี้ เรียกว่ายันต์ห้าผีพรากชีวิต หากถูกยันต์นี้เข้า ห้าผีจะพันธนาการร่าง ไอชั่วร้ายเข้าสู่อวัยวะภายใน อย่างเบาอาจทำให้เจ็บป่วยและเกิดเคราะห์ร้าย อย่างหนักอาจทำให้ป่วยถึงตาย
“ใครอยู่ข้างใน? ทำไมประตูห้องน้ำเปิดไม่ออก?”
ได้ยินเสียงคนเรียกจากข้างนอก เยี่ยเทียนรีบก็เก็บผ้ากันเปื้อนที่เขาลงยันต์นั้นทันที แล้วเปิดประตูห้องน้ำ
“ดูท่าวันหลังเราคงต้องไปเสาะหาขุนเขาชื่อดังแม่น้ำสายใหญ่ หาถ้ำวิญญาณเปี่ยมกระแสพลังมงคลมาหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว…” หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ เยี่ยเทียนรู้สึกว่าเท้าของเขาเบาหวิว เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะเมื่อครู่เขาได้เสียพลังงานไปมาก
เช่นเดียวกับผลข้างเคียงที่เยี่ยเทียนได้รับจากการฝืนลิขิตพลิกชะตาให้กับนักพรตเฒ่า หากใช้สมุนไพรรักษาคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ทางที่ดีที่สุดคือไปหาถ้ำที่มีกระแสพลังมงคล แล้วฝึกลมปราณอยู่ในนั้น
แต่ว่าถ้ำแบบนั้นมีให้เห็นน้อยมาก บนโลกมนุษย์ล้วนถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว หลายปีมานี้เยี่ยเทียนหาได้แค่สองที่ และถ้ำนั้นก็เล็กเกินไป พลังงานที่มีก็สามารถปลุกเสกเครื่องรางได้แค่ไม่กี่อย่าง
“เฮ้ เยี่ยเทียน ทำไม่ไปนานขนาดนี้ล่ะ นี่ก็ใกล้จะจบแล้ว…” ตอนเยี่ยเทียนเดินกลับมาถึงโต๊ะตนเอง หงเว่ยจวินก็ลุกขึ้นมาทัก
“ไม่มีอะไรครับ ลุงเว่ย ไม่รู้ว่าทำไมปวดท้องขนาดนี้” เยี่ยเทียนพูดพลาง เท้าเขาพลันสะดุดถูกบางอย่าง ตัวเขาจึงพุ่งไปข้างหน้าราวกับเสียสมดุล มือข้างหนึ่งผลักไปโดนหลังของฉีอี้
โดยไม่มีใครเห็น ขณะมือขวาที่มีผ้ากันเปื้อนของเยี่ยเทียนแตะถูกหลังของฉีอี้ เขากดยันต์ห้าผีพรากชีวิตที่ใส่ลงในผ้ากันเปื้อนอย่างแรงแวบหนึ่ง เข้าไปยังตัวฉีอี้ในชั่วพริบตา
หลังจากยันต์เข้าไปในตัว ฉีอี้ก็ไม่รู้สึกถึงอะไร หันกลับมามองเยี่ยเทียน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังเดินไม่เป็นหรือไง”
“ขอโทษครับ ท้องเสียขาเลยอ่อนแรง…” เยี่ยเทียนดึงมือขวาของเขากลับ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเยาะ ยังไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่เดินไม่เป็น
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ฉีอี้ก็เหลือบมองจานที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนด้วยสายตาดูถูก สีหน้าเผยนัยหาเรื่อง “ไม่มีความรู้ แต่มากินถึงที่นี่…”
เหลยอู้เห็นฉีอี้ที่เริ่มพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนอีกครั้ง ก็อดแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “หัวหน้าฉี แก่ขนาดนี้ยังไม่ลงรอยกับเยี่ยเทียนอีกหรือ? มีเรื่องอะไรเล่าให้เหล่าเหลยอย่างผมฟังก็ได้?”
“ไม่มีอะไร ผมกับเขาหรือจะเข้ากันไม่ได้?”
ฉีอี้แม้ไม่กลัวเหลยอู้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับเขา จึงลุกขึ้นทันทีพลางหัวเราะเฮฮาเดินไปทางอื่น งานประมูลการกุศลครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว คนในงานก็ลุกขึ้นพูดคุยเตรียมตัวแยกย้ายกัน
“อะไรของมัน!”
เหลยอู้สบถไปทางร่างฉีอี้ มองไปทางเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน เดี๋ยวเหล่าหลิวก็มาด้วย พวกเราไปนั่งเล่นที่สโมสรอิงหลันกันเถอะ”
“ถ้าเป็นสโมสรอิงหลันก็ช่างเถอะครับ ที่นั่นไกลไป หาร้านกาแฟสักแห่งนั่งก็พอ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขารู้สึกไม่ค่อยดีกับสถานที่แบบนั้นสักเท่าไหร่ ไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนจิบน้ำชาคุยกันใต้ต้นไม้ภายในบ้านเรือนสี่ประสาน
“ไป ออกไปแล้วค่อยว่ากัน”
เห็นฉีอี้เดินไปทางประตูแล้ว เยี่ยเทียนก็รีบดึงอวี๋ชิงหย่าไว้ ยันต์ห้าผีพรากชีวิตนี้ออกฤทธิ์แค่สามชั่วโมง แรงกายที่เขาทุ่มเทลงไปนั้นจะต้องไม่เสียเปล่า
…………………………-