ส่วนที่ 4 ตอนที่ 49 - 2 เครื่องรางหยก

ความลับแห่งจินเหลียน

ในขณะนั้น เซียวเหอก็ใช้โอกาสนี้ยื่นนามบัตรให้ฉินเฮ่าแล้วแนะนำว่า “คุณฉินเฮ่า ถ้าหากในอนาคตสนใจอยากจะซื้อเครื่องประดับให้ซีเหมินจินเหลียน อย่าลืมติดต่อบริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่นะครับ” 

 

“ครับ?” ฉินเฮ่ารู้สึกแปลกใจ “คุณขายเครื่องประดับเหรอ” แน่นอนเขาก็เหมือนกับซีเหมินจินเหลียน ได้แต่คิดว่าขนาดอยู่ในงานเลี้ยงรุ่นยังจะทำหน้าที่การขาย คนคนนี้ก็ช่างรักในหน้าที่การงานของตนเองเสียจริง นอกจากนี้เมื่อกี้เขายังแอบสังเกตท่าทาง คนคนนี้ดูจะชอบการพูดคุยพบปะกับคนอื่น คนที่ชอบทำธุรกิจมักจะชอบเข้าสังคม พูดกันต่อหน้าต่อตาทำให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคัญ 

 

“ใช่แล้วครับ” เซียวเหอเผยยิ้มออกมา “ผมพอดูออกว่าคุณฉินเฮ่าค่อนข้างใส่ใจคุณซีเหมินเป็นอย่างมาก ถึงหยกจะดี แต่ถ้ามีเพชรหลายสีคอยเพิ่มเสริมเติมแต่งก็ดูไม่เลวเลยนะครับ” 

 

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทำตัวโง่เง่าเมื่อเห็นเครื่องประดับบนตัวของซีเหมินจินเหลียน แถมยังเสนอขายเครื่องประดับให้กับฉินเฮ่า เครื่องประดับธรรมดา ฉินเฮ่าคงไม่สนใจ 

 

“ได้เลยครับ ถ้าในอนาคตผมอยากจะซื้อเพชรแล้วจะไม่ลืมคุณแน่นอน คุณเซียว” ฉินเฮ่าพยักหน้าตอบรับพูดพลางเหลือบหันไปมองหลิงซูฟาง หน้าตาของเธอสวยใช้ได้ แถมยังชอบเข้าสังคม ถ้าในอนาคตให้เธอไปอยู่ฝ่ายขายเครื่องประดับของบริษัท ความสวยนี้คงสามารถใช้ประโยชน์ทำให้คนลังเลอยากจะซื้อได้ 

 

แน่นอนว่าเครื่องประดับหยกลักษณะโบราณคงต้องเป็นคนท่าทางอย่างซีเหมินจินเหลียนถึงจะขายได้ แต่สำหรับเจ้าของกิจการใหญ่ของบริษัทเครื่องประดับอัญมณีในอนาคต เธอคงไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตนไปนำเสนอขายสินค้าต่อสาธารณะชน  

 

เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว ผู้คนในงานก็สนุกสนานกันเต็มที่ เพียงแต่ตอนสุดท้ายที่จะคิดเงิน ฉินเฮ่าก็ขอจัดการเป็นนายใหญ่ยื่นบัตรออกไปให้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานได้แต่ส่งสายตาพริ้งพราว คนอายุรุ่นนี้ ยังหนุ่มยังแน่นแถมมีเงินเช่นนี้ หาพบเจอได้ยากเหลือเกิน    

 

เมื่อออกมาจากสุ่ยจงเซียน ซีเหมินจินเหลียนก็ใช้สายตาพิฆาตหันไปมองเขา 

 

เมื่อเข้าไปนั่งในรถของฉินเฮ่าแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วถามเขาว่า “จ่านป๋ายล่ะคะ?” ในเมื่อฉินเฮ่ารู้ว่าเธอมางานเลี้ยงรุ่น อีกทั้งยังรู้เวลาและสถานที่ดิบดี แม้กระทั่งรู้ว่าพาแฟนเข้าไปในงานได้ นั่นก็หมายความว่าเขาเจอกับจ่านป๋ายมาก่อน 

 

“ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน?” ฉินเฮ่าแกล้งพูดไป “เหมือนเขาจะมีธุระบางอย่างนะ” 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ฉินเฮ่าเลยสตาร์ทเครื่องยนตร์ขับรถแล่นออกมา ไม่นานก็ขับมาถึงย่านหลานกุ้ย 

 

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียนแล้ว จ่านป๋ายก็ยังคงไม่กลับมาอย่างที่คิด ยังดีที่ฉินเฮ่ายังพอรู้เวลา เมื่อส่งเธอเสร็จก็ได้บอกลาขอตัวกลับก่อน 

 

ซีเหมินจินเหลียนเอนตัวพิงพนักโซฟา ก่อนที่จะโทรศัพท์ไปหาจ่านป๋าย เวลาหนึ่งนาทีเต็มๆ เธอก็ได้ยินแต่เสียงข้อความอัตโนมัติ  

 

[เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งคะ] 

 

เมื่อวางสายลงแล้วโทรไปหาอีกรอบก็ยังคงไม่มีใครรับ 

 

ซีเหมินจินเหลียนวางโทรศัพท์ไว้บนโซฟา เดินไปเดินมาวนอยู่ทั่วห้องรับแขก จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่านะ? ไม่ใช่ว่าไปทำเรื่องอันตรายอะไรอีก หรือว่าจะเป็นเรื่องแบบครั้งนั้นที่ถูกคนทำร้ายจนเลือดตกยางออก? 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นโคมไฟที่ห้อยอยู่ด้านบนส่ายไปมา ทำให้เธอจิตใจสงบลง สัมผัสที่หกของเธอบอกอะไรไม่ได้เลย…แม้กระทั่งในใจยังซ่อนความระแวงกลัวเอาไว้ เขาคงไม่เป็นอะไรนะ? 

 

เดินไปมาอยู่ที่ห้องรับแขก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาเขาอีกครั้ง ยังไม่มีคนรับสายอีกเช่นเคย คนที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขกอย่างเธอได้แต่นิ่งเงียบ ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจว่าจะเดินลงไปยังห้องใต้ดิน 

 

ในเมื่อว่างขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็มาเจียระไนหินต่อดีกว่า ใช้ความอึดอัดไม่สบายใจนี่มาลงกับหินหยกพวกนี้แล้วกัน หินหยกที่ซื้อมาจากงานประมูลที่เจียหยาง เก้าสิบเปอร์เซ็นถูกจ่านป๋ายจัดการลอกผิวหินไปหมดแล้ว 

 

ได้ยินมาว่าการเปิดหินทำให้คนตกหลุมรักได้ จ่านป๋ายเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ตอนที่เธอแกะสลักหยก เขาก็คอยตัดหินอยู่ข้างๆ กับเธอ แม้กระทั่งหินตามมุมห้องยังเปลี่ยนเป็นเหมือนก้อนเต้าหู้ชิ้นเล็กๆ  

 

เมื่อเหลือบไปเห็นหินที่วางไว้ตรงมุมห้องพวกนั้น หินหยกไม่ว่าก้อนเล็กใหญ่มีหมด ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจก่อนหยิบเครื่องผ่าหยกขึ้นมา ตอนนี้หินที่ถูกเปิดออกมาเกือบหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเหลือเพียงแค่สามก้อน 

 

นอกเสียจากหินแปลกประหลาดก้อนนั้นที่ดูมีอะไรบางอย่าง ก็เหลือแค่สองก้อนที่น่าจะหนักประมาณยี่สิบสามสิบกิโลกรัม ทั้งหมดนี้เธอล้วนซื้อมาจากผู้อาวุโสหู 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วคิดอีก หินหยกสองก้อนที่เหลือ ก้อนหนึ่งเป็นชนิดแก้วสีเหลือง อีกก้อนเป็นสองสี 

 

หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจที่จะตัดหินหยกสีเหลืองออกมาก่อน ใช้วิธีเจียระไนหิน แล้วก็กดปุ่มสวิตซ์ทำงาน ใบมีดได้เปิดผิวหินหยกออกไปเรื่อยๆ ในเมื่อมีความสามารถในการมองทะลุผ่านเข้าไปข้างใน เมื่อใบมีดนี้ลงไปด้วยความลึกกำลังดี ไม่มากหรือน้อยก็ทำให้หยกสีเหลืองตัดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ 

 

ไฟของห้องใต้ดินสว่างไสว ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ผิวที่ถูกตัดออกมา ได้แต่พูดอยู่ในใจว่า สีสวยจังเลย แต่ได้ยินว่าหยกสีเหลืองมีเพียงแค่สีน้ำซุปไก่สีทองที่ถึงเรียกว่าดี แต่ของเธอไม่ใช่สีน้ำซุปไก่นี่สิ แต่เป็นสีราวกับทองแท้อย่างใดอย่างนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียกว่าสีเหลืองสด 

 

 ไม่นานหินหยกสีเหลืองก็ตัดออกมาได้ ไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็ก ซีเหมินจินเหลียนคิดน้ำหนักไว้อย่างพอประมาณ หินหยกนี้น่าจะหนักสักยี่สิบห้ากิโลกรัม ส่วนข้างในที่เป็นสีเหลืองสดจริงๆ น่าจะไม่เกินสิบกิโลกรัมแน่ๆ อัตราเปรียบเทียบไม่ได้ถือว่าดี! 

 

แน่นอนถ้าหากคนที่ชื่นชอบในหยกคงจะรู้ดี หยกที่หนักประมาณสิบกิโลกรัมนั้น ในสายตาเธอไม่คิดว่าใหญ่มาก อยากจะกระอักออกมาเป็นเลือด โมโหชีวิตจนแทบจะบ้าคลั่ง 

 

แต่ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่หินหยก ไม่รู้ว่านี่เป็นลักษณะโรคที่ติดมากับผู้หญิงหรือเปล่า เธอชื่นชอบที่จะเลือกหยกก้อนใหญ่ ถ้าหากมีหยกเธอก็ไม่กังวลในเรื่องการใช้วัตถุดิบ กลับมาเธอจะตัดเท่าไหร่เธอก็ตัดเท่านั้น 

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ใช้แรงทั้งหมดที่มีย้ายหยกสีเหลืองไปวางไว้ข้างหยกสีผสม จากนั้นเอนพิงนั่งนิ่งคิดอยู่นาน หยกสีเหลืองนี่จะเอาไปทำอะไรถึงจะดีนะ? 

 

เพียงแต่เวลานี้ สมองของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด สมองไม่แล่นคิดอะไรสร้างสรรค์ไม่ออก ได้เพียงแต่นั่งมองหินหยกสองสีที่เหลืออยู่อีกก้อน 

 

ใช้เวลาไม่นาน หยกสีผสมก็ถูกเปิดออกมา สีแดงอ่อนราวกับแก้มเด็กแดงระเรื่อ ลงลึกไปข้างในเป็นเส้นหยกสีเหลือง สีไม่เลวเลย 

 

ถึงจะไม่ใช่หยกชนิดแก้วกระจก แต่ก็ถือว่าเป็นหยกชนิดน้ำแข็งชั้นสูง แถมผิวสัมผัสยังหนานุ่มลื่นเรียบเนียน 

 

สีชมพูอ่อนหรือ? ซีเหมินจินเหลียนใจเต้น รีบหยิบเครื่องตัดออกมาตัดส่วนของหยกสีแดงอ่อนออกมาทำเป็นเครื่องรางหยก    

 

เครื่องรางหยกนี้ช่วยในเรื่องความปลอดภัย แน่นอนเครื่องรางกับกำไลล้วนใช้วิธีที่เรียบง่ายเหมือนกัน การทำก็ไม่ซับซ้อน เพียงแต่การเจียระไนอาจจะค่อนข้างยุ่งยากเสียหน่อย แต่ว่าในเมื่อไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงเริ่มขัดเจียระไน 

 

เมื่อเจียระไนทำเครื่องรางเสร็จ เธอก็ลูบไล้สัมผัสไปที่เครื่องรางนั่น ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจหันไปมองเวลา ตีสองครึ่งแล้ว ทำไมจ่านป๋ายยังไม่กลับมาอีก?  

 

เธอหยิบโทรศัพท์โทรไปหาจ่านป๋ายอีกรอบ แต่ยังคงไม่มีคนรับสาย เลยรู้สึกว้าวุ่นไม่สบายใจที่จะกดปุ่มโทรต่อไป แต่ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะรับ… 

 

ซีเหมินจินเหลียนเริ่มแกะสลักทำหยกที่เธอกำลังทำอยู่ เธอมองไปที่โครงร่างของแท่นหยกนั่น อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำที่จางจิ้นอยากจะให้แกะสลัก ช่างลึกซึ้งเหมือนหยก! ตอนแรกตอนที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะสัมผัสจ่านป๋าย ความรักมันก็เหมือนหยกไม่ใช่เหรอ? 

 

หยิบมีดแกะสลักขึ้นมา ก่อนที่เธอเริ่มจะแกะสลัก 

 

… 

 

“จินเหลียน จินเหลียน…” ในความเงียบสงบนั้น มีเสียงที่กำลังร้องเรียกเธออยู่ 

 

ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้าง หันไปทางจ่านป๋ายอย่างมึนงง พร้อมมองไปที่รอบๆ แต่ยังคงสติไม่คืนกลับมา 

 

“ทำไมคุณมานอนอยู่ที่นี่ ไม่หนาวเหรอครับ?” จ่านป๋ายถอนหายใจยื่นมือมาสัมผัส หน้าผากของเธอมีไอร้อนแผ่วเบากระจายขยายรังสีออกมา เหมือนจะเป็นไข้ “แค่ผมไม่อยู่คืนเดียว คุณก็เป็นแบบนี้แล้ว” 

 

“เสี่ยวป๋าย คุณกลับมาแล้ว?” ในความมึนงงของซีเหมินจินเหลียน เธอยังสงสัยว่านี่อาจเป็นความฝัน เช่นนั้นจึงออกแรงกัดลิ้นตัวเอง และนั่นทำให้เธอเกือบจะร้องลั่นออกมา เธอตื่นแล้วนี่นา เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างปลอดภัย ไม่ได้เลือดตกยางออก เธอก็ผ่อนคลายลง 

 

เมื่อมองไปรอบด้าน ก็เห็นว่าที่แท้เธอก็นอนอยู่ในห้องใต้ดิน เมื่อวานแกะสลักหยกดึกไปหน่อยเลยง่วงเผลอตัวฟุบลงนอนบนโต๊ะทำงาน 

 

จริงสิ แล้วเครื่องรางของเธอล่ะ? 

 

ตอนที่จ่านป๋ายกลับมา ห้องรับแขกก็สว่างไสว ที่แท้กลัวว่าซีเหมินจินเหลียนอยู่คนเดียว เลยกลัวว่าเธอจะกลัวความมืด เขาเลยไม่ได้ปิดไฟไว้ แต่ผลคือเขาเห็นว่าประตูห้องใต้ดินกลับเปิดออก กำลังจะโทษว่าเธอหละหลวมเกินไป ของภายในห้องใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นเมืองหยกเลยก็ว่าได้ ทำไมเธอถึงได้เปิดประตูไว้แล้วไปนอน? 

 

ตอนที่เขาเดินลงไปที่ห้องใต้ดินก็เห็นซีเหมินจินเหลียนฟุบตัวอยู่ที่โต๊ะทำงาน อีกทั้งเธอยังใส่ชุดกระโปรงตัวเดิมกับที่ไปงานเลี้ยงรุ่นอีก เมื่อคืนเธอไม่ได้เปลี่ยนชุด… 

 

มองซีเหมินจินเหลียนพลิกตัวไปมาอยู่ไม่เป็นที่ จ่านป๋ายก็เลยถามว่า “จินเหลียน คุณหาอะไรอยู่เหรอครับ”