เย่หวู่เชิงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในขณะที่เจ้าสำนักของวิหคสีชาดและเต่าดำต่างขมวดคิ้ว
ตามความคิดของพวกเขาแล้ว ผู้นำของสำนักควรที่จะเป็นหนึ่งในสามสำนัก
สุดท้ายแล้วทั้งสามสำนักต่างใกล้ชิดกันและแม้ว่าสำนักของพวกเขาจะไม่ใช่สำนักผู้นำก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถ้าสำนักพยัคฆ์ขาวเป็นผู้นำ
เย่หวู่เชิงเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นแก่นทองคำขั้นต้นแล้ว ตามความคิดของพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่น่าที่จะกล้าโต้เถียงเขา
“เย่หวู่เชิงกำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยละ? แน่นอนว่าคนหนุ่มเยาว์ไม่น่าเชื่อถือและจะต้องเป็นกังวลในสถานการณ์เช่นนี้”
เจ้าสำนักวิหคสีชาดแอบด่า
“เฉินเฉินไม่ควรที่จะทำตัวเย่อหยิ่งอย่างงี้ด้วยเช่นกัน เขาดูทำตัวเอ้อระเหยอยู่ทั่วทุกวัน คนหนุ่มเยาว์นี่เลวร้ายมากจริง เมื่อพวกเขายังเยาว์วัยเช่นนี้”
เมื่อพวกเขาคิดเช่นนั้นแล้ว ผู้นำของสำนักวิหคสีชาดก็ได้เห็นด้ายแดงที่อยู่บนคอของเฉินเฉิน รวมทั้งสายของสร้อยคอดอกไม้เลือดฟีนิกส์อยู่ด้วย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่สายของสร้อยคอก็ตาม เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็จำมันได้ทันที ซึ่งมันเป็นของที่เธอมอบให้กับลูกศิษย์ที่เป็นที่รักของเธอ เซี่ยวฮวง!
“มันเกิดอะไรขึ้นกั? ข้าได้มอบจี้หยกนั่นให้กับลูกศิษย์ของข้าตอนที่เธอยังเด็ก ทำไมเฉินเฉินถึงสวมมันอยู่กัน?!”
เจ้าสำนักวิหคสีชาดตกใจ ‘ของส่วนตัวของเจ้าเด็กนั่นมอบให้กับชายอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เนี่ยนะ?’
‘ลูกศิษย์ของข้าไม่ได้บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่เฉินเฉินยังสวมมันอย่างเปิดเผยอีก…’
‘หรือว่าจะเป็น? เวรเอ้ย’
เธอหันหัวไปมองยังผู้สืบทอดของสำนักเธอ เซี่ยวฮวงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เซี่ยวฮวงสังเกตเห็นสายตาของอาจารย์ของเธอก็จริง แต่เธอจะอธิบายมันอย่างไรดี
เธอคงไม่สามารถบอกได้หรอกว่าเธอได้ขายของส่วนตัวไปกับเจ้าคนหน้าด้านนั่น ถ้าเธอทำแล้ว อาจารย์ของเธอจะคิดยังไงกัน?
นอกจากนี้แล้วมันยังเป็นของที่เก็บไว้อยู่ภายในอีกด้วย ซึ่งปกติแล้วคนอื่นจะมองไม่เห็นหรอก ถ้าเธอบอกว่าถูกบังคับให้ขายไป มันจะไม่มีใครเชื่อเธอ สุดท้ายแล้วเธอไม่สามารถที่จะเปิดโชว์หน้าอกให้คนอย่างเฉินเฉินดูได้หรอก
ด้วยเหตุนี้นี่เอง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของอาจารย์ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวลงด้วยความเขินอาย
เมื่อเจ้าสำนักวิหคสีชาดเห็นมัน เธอก็ใจเสียทันที
‘ข้าไม่ได้คาดคิดเลยสักนิด! ลูกศิษย์ของข้านั้นเกี่ยวข้องกับผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนอย่างลับๆแบบนี้!”
‘เธอยังมอบของขวัญเป็นตัวแทนแห่งความรักอีก!’
‘นี่มันบ้าเกินไปแล้ว…’
‘เฮ้ แต่เหมือนเจ้าเด็กนี่ก็ดูยอดเยี่ยมเหมือนกันนะ!’
เจ้าสำนักวิหคสีชาดต้องการที่จะด่าออกมาก็จริง แต่ยามที่เธอเห็นความใจเย็นและสุขุมของเฉินเฉินแล้ว เธอก็คิดว่าเขาไม่ได้ธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกัน
เขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาและคมคายอีกยามที่เขาพูดออกมา เขาไม่ได้ดูหวาดเกรงเลยสักนิด ยามที่เขาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณ เขายังไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านี้แล้ว เขายังมีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อและเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่ขั้นแก่นทองคำด้วยอายุที่น้อยขนาดนี้
ถึงแม้ว่าเย่หวู่เชิงจะอยู่ขั้นแก่นทองคำเช่นเดียวกัน เขาก็ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เกราะมานานหลายปีและกลายเป็นพวกเสียสติไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนที่ดีพอที่จะเป็นคู่ชีวิต
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็ยิ้มออกมาและพูดอย่างใจเย็น “ข้าคิดว่าการทำให้สำนักเทียนหยุนเป็นผู้นำก็ดีเหมือนกันนะ สุดท้ายแล้วเจ้าสำนักเย่ก็ยังเด็กเกินไปและยังคงเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะรับภาระอันหนักหนาเช่นนี้”
หื้อ?!
เจ้าสำนักเต่าดำที่อยู่ด้านข้างรีบหันมามองเธออย่างสับสน เมื่อเซี่ยวอู่โยวบินออกไปก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างพูดคุยกันและตกลงว่าจะไม่ให้สำนักเทียนหยุนเป็นผู้นำ แต่เธอกลับเปลี่ยนความคิดเนี่ยนะ
‘ผู้หญิงคนนี้มันเชื่อถือไม่ได้เสียจริง’
เย่หวู่เชิงประหลาดใจเช่นเดียวกัน ‘ข้าพูดช้าไปเลยถูกทรยศแบบนี้เนี่ยนะ?’
เจ้าสำนักวิหคสีชาดเมินพวกเขาไปและจ้องไปที่เฉินเฉินด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในช่วงเวลาเช่นนี้แล้ว เธอรู้ดีว่าใครกันเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุด
หลังจากที่สบตากับเจ้าสำนักวิหคสีชาด เฉินเฉินอดที่จะตัวสั่นไม่ได้ ก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นยืนและทำสีหน้าจริงจัง
เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกกังวล
…
การเปลี่ยนแปลงไปของเจ้าสำนักวิหคสีชาดทำให้เย่หวู่เชิงได้พลิกสถานการณ์ไป สองจากสี่สำนักได้สนับสนุเซี่ยวอู่โยวและพวกเขาต่างอยู่บนเส้นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจะแข่งขันกับเซี่ยวอู่โยวได้อย่างไรกัน ซึ่งเขานั้นอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณระดับกลางอีก?
นอกจากนี้แล้ว เฉินเฉินยังมีตราของสำนักพยัคฆ์ขาวอยู่อีก
เจ้าสำนักเต่าดำก็ยอมแพ้ด้วยเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าอย่างเหม่อลอย เหมือนว่าเขาต้องการที่จะไม่ต้องการเสนอความคิดเห็น
เมื่อตระหนักได้ว่าอาจารย์ของเขากำลังมองไปยังด้านนอก ซวนฮงก็รีบทำตามโดยทันที เขาพึ่งจะพบว่ามันไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ด้านนอกเลย
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เย่หวู่เชิงหายใจเข้าลึก เขาลุกขึ้นยืนและมองไปยังเฉินเฉินที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป
“เฉินเฉิน ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าจะกลายเป็นเจ้าสำนักเทียนหยุนในอนาคตหรือไม่?”
เฉินเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เซี่ยวอู่โยวที่นั่งอยู่ข้างเขาพูดขัดขึ้นมาแทน “แน่นอนว่าเขาจะขึ้นมาเป็นเจ้าสำนัก เมื่อเขาก้าวมาอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณ ข้าจะลงจากตำแหน่งและปล่อยให้เขากลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนหยุน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เซี่ยวอู่โยวก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เยี่ยมมาก ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว เฉินเฉิน เจ้าและข้าจะต้องประลองกัน ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ สำนักพยัคฆ์ขาวจะยอมสละตำแหน่งนี้ให้เอง แต่ถ้าเจ้าพ่ายแพ้แล้ว สี่สำนักควรที่จะอยู่ภายใต้การนำของสำนักพยัคฆ์ขาวจะดีกว่า”
“มันไม่ใช่ว่าข้านั้นจะกลับคำพูด แต่เพราะเรื่องนี้มันสำคัญมาก หลังจากการต่อสู้กันก่อนหน้านี้ สำนักพยัคฆ์ขาวได้รับการสูญเสียอันหนักหนา ถ้าข้าไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าแล้ว ข้าจะทำให้ผู้อาวุโสและบรรพบุรุษของสำนักพยัคฆ์ขาวเสื่อมเสียชื่อเสียงไปได้”
“แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ คำสั่งของสำนักพยัคฆ์ขาวยังคงอยู่ ข้าจะให้เจ้าสั่งข้าทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างในอนาคต”
ทันทีที่เย่หวู่เชิงพูดจบ เจ้าสำนักวิหคสีชาดพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจก่อนที่เฉินเฉินจะได้พูดอะไร
“เจ้าสำนักเย่ ท่านกำลังพูดจาไร้สาระอยู่ ทันทีที่ท่านก้าวขึ้นมาสู่ขั้นแก่นทองคำ ท่านได้ขัดเกลาเกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ขาวที่สวมใส่อยู่จนกลายเป็นสมบัติธรรมะและได้เก็บกลับเข้าไปในร่าง เฉินเฉินยังไม่มีเวลาสร้างสมบัติธรรมะของตัวเองเลย ท่านไม่คิดว่ามันเป็นการรังแกเขา โดยการท้าประลองคนที่ยังไม่มีสมบัติประจำตัวหรืออย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้ว หน้าของเย่หวู่เชิงตึงขึ้นทันที
‘ทำไมเจ้าสำนักวิหคสีชาดถึงเอาแต่พูดจายั่วยุข้าเสียจริง?’
เฉินเฉินยังคงสับสนเล็กน้อย ‘ข้าเป็นคนที่เกี่ยวข้อง แต่ข้ายังไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเลยสักนิด ทำไมท่านถึงพูดแย้งแทนทำไมกันนี่ย? ข้าไม่ใช่ลูกเขยท่านสักหน่อย!’
เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น “ได้ ข้ายอมรับการท้าประลองนี้”
เย่หวู่เชิงโล่งอกที่ได้ยิน โชคยังดีที่เฉินเฉินตกลง ไม่อย่างงั้นแล้วเขาคงจะทำให้ตัวเองอับอายเป็นอย่างมาก
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว มาทำให้เรื่องนี้จบให้เร็วกว่าเดิมกันเถอะ”
…
หลายชั่วขณะต่อมา กลุ่มคนได้มาถึงสนามประลองของสำนักพยัคฆ์ขาว
ด้านบนสังเวียน เฉินเฉินและเย่หวู่เชิงต่างยืนเผชิญหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรกันออกมาสักคำ
เกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ขาวบนตัวของร่างเย่หวู่เชิงลอยออกมาจากร่างของเขา
เฉินเฉินรู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเข้าไปบนสังเวียน เจ้าสำนักวิหคสีชาดได้มอบของมาให้เขาหลายอย่าง ในเวลานี้เขาได้สวมชุดคลุมขนฟีนิกส์และถือดาบยาวไฟลุกอยู่ในมือ เขาดูเหมือนกับผู้หญิงที่แต่งตัวราวกับหัวหน้าใหญ่
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินอยู่บนสังเวียนแล้ว เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็พึงพอใจมากและเธอก็หันไปมองเซี่ยวอู่โยวที่นั่งอยู่ข้างเธอ เธอยิ้มกว้างออกมา
“ศิษย์น้องเซี่ยว พวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
เซี่ยวอู่โยวประหลาดใจกับคำพูดของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะพึ่งเลื่อนขึ้นมายังขั้นก่อกำเนิดวิญญาณก็ตามและได้พัฒนาออร่าของเขาทรงพลังยิ่งกว่าแต่ก่อนก็ตามที เขายังคงมีใจให้กับโยวหลัวฉุยเพียงแค่คนเดียว
‘เจ้าสำนักวิหคสีชาดพูดนั้นหมายถึงอะไรกัน? เธอกำลังจะทำอะไรกับข้ากัน?’
‘เจ้ากำลังคิดว่าข้าทำอะไรก็ได้ เนื่องจากเจ้าสนับสนุนสำนักเทียนหยุนให้กลายเป็นผู้นำของสี่สำนักหรืออย่างไร?’
‘เวรเอ้ย! ข้าไม่สนใจมันแล้ว!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็เดินห่างออกไปไกลจากเจ้าสำนักวิหคสีชาดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโอหัง
ด้านบนสังเวียน เย่หวู่เชิงมองไปที่เฉินเฉินด้วยท่าทางพิลึกพิลั่น “เฉินเฉิน ความเป็นจริงแล้ว เมื่อเจ้าได้ถูกเลือกให้ไปอยู่ในห้องสวรรค์แทนที่สำนักพยัคฆ์ขาวบนยานเหาะของสำนักอู๋ซิ่น ข้าต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้ามาก ยังไงก็ตาม ข้าตัดสินใจที่จะเก็บกักมันไว้ เพื่อคนโดยรวม”
“ในตอนหลัง ยามที่ข้าได้มาถึงเมืองหลวง ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของเจ้าแล้วมันทำให้ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้เก็บความอยากที่จะสู้กับเจ้าเอาไว้”
“ในตอนนี้ เมื่อข้ามาถึงขั้นแก่นทองคำและหลุดพ้นจากพันธนาการของเกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์และมันกลายเป็นตัวช่วยตัวสำคัญของข้าแบบนี้แล้ว”
“มันก็ถึงเวลาที่ข้าเข้าใจถึงเจตนารมที่ดีของอาจารย์ที่บอกให้ข้าใส่ชุดเกราะนี้ลงไป ดังนั้นเพื่อที่จะทำตามคำปรารถนาของอาจารย์และแผนการของข้า ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง เฉินเฉิน อย่าโทษที่ข้าได้รังแกเจ้าละ!”
เมื่อได้ยินคำพูดยาวๆของเขาแล้ว เฉินเฉินยิ้มออกมา “เย่หวู่เชิง โจมตีมาได้แล้ว มันมีประโยชน์อะไรกับการพูดมากขนาดนี้?”